Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 3 พยาบาลบุคคลที่มีปัญหาจิตสังคมบุคคลที่มีความวิตกกังวลและความเครียด,…
บทที่ 3 พยาบาลบุคคลที่มีปัญหาจิตสังคมบุคคลที่มีความวิตกกังวลและความเครียด
ความหมาย ลักษณะอาการและอาการแสดง การตอบสนองของความวิตกกังวลและความเครียด
ความวิตกกังวล
ความวิตกกังวล หมายถึง ความรู้สึกไม่สบาย สับสน กระวนกระวายกระสับกระส่าย หรือตื่นตระหนกต่อสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตและเกรงว่าจะเกิดอันตรายหรือความเสียหายซึ่งอาจเกิดขึ้นจริงหรือคิดขึ้นเองจากสิ่งที่ไม่รู้ ไม่แใจ ซึ่งบอกไม่ได้ชัดเจน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและพฤติกรรม
ลักษณะอาการและอาการแสดงของบุคคลที่มีความวิตกกังวล
1) การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย
ระบบทางเดินอาหาร จะมีอาการกลืนลำบาก ปากแห้ง ท้องอืด ท้องเฟ้อ อึดอัดแน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องเดิน
ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ จะมีอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะไม่สุด มีการเปลี่ยนแปลงในรอบเดือน ความรู้สึกทางเพศลดลง
ระบบทางเดินหายใจ จะมีอาการสะอีก หายใจเร็ว หายใจลำบาก
ระบบประสาท จะมีอาการปวดศีรษะจากความเครียด ตาพร่า หูอื้อ ปากแห้ง เหงื่อออก มือสั่น รูม่านตาขยาย
ระบบหัวใจและหลอดเลือด จะมีภาวะหัวใจเต้นเร็ว ผิดจังหวะ เจ็บหน้าอก ใจสั่น ความดันโลหิตสูง หน้าแดงแต่ถ้ามีความวิตก กังวลระดับรุนแรงสุดขีดจะทำให้เกิดอาการเป็นลมหน้ามืด ความดันโลหิตลดต่ำลง ผิวซีด
ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ จะมีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย มือ
2) การเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจและอารมณ์ บุคคลจะมีความรู้สึกหวาดหวั่น กลัว ขาดความ เชื่อมั่นในตนเอง มองตนเองไร้ค่า สับสน กระวนกระวาย ตกใจง่าย หงุดหงิด เจ้ากี้เจ้าการ โกรธง่าย ก้าวร้าว เศร้าเสียใจง่าย ร้องไห้ง่าย เมื่อเกิดเรื่องเพียงเล็กน้อย สงสัยบ่อย ซักถามมากขึ้น
3) การเปลี่ยนแปลงด้านสังคม บุคคลจะขาดความสนใจ ขาดความคิดริเริ่ม รู้สึกว่า ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ มีปัญหาเรื่องสัมพันธภาพกับผู้อื่น มีพฤติกรรมเรียกร้องมากเกินไป พึ่งพาผู้อื่นหรือ แยกตัว
4) การเปลี่ยนแปลงด้านสติปัญญา ความคิด ความจำลดลง คิดไม่ออก ครุ่นคิด หมกมุ่น ไม่ค่อยมีสมาธิ การพูดติดขัด เปลี่ยนเรื่องพูดบ่อยหรือไม่พูดเลย การรับรู้และการตัดสินใจผิดพลาด มีความคิด และการกระทำซ้ำๆ
การตอบสนองของบุคคลต่อความวิตกกังวล
1) พฤติกรรมที่แสดงออกถึงการต่อสู้ (acting out behavior) เปลี่ยนไปเป็นความโกรธ โต้เถียง ข่มขู่ ต่อต้าน ก้าวร้าว ทำลายข้าวของ พฤติกรรมรุนแรง เจ้ากี้เจ้าการ เป็นต้น
2) พฤติกรรมชะงักงันหรือถดถอย (paralysis and retreating behavior) บุคคลจะหลีกเลี่ยงการแกัปัญหา แยกตัว เก็บตัว หลับ ซึมเศร้า หลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องตัวเอง
3) มีการเจ็บป่วยทางกาย (somatizing) เช่น เครียดแล้วมีอาการปวดศีรษะ หายใจลำบาก ปวดเกร็งกล้ามเนื้อ ปวดท้อง มีการเปลี่ยนแปลงของรอบเดือน เป็นต้น
4) มีพฤติกรรมเผชิญความวิตกกังวลในเชิงสร้างสรรค์ (constructive behavior) เช่นการแก้ปัญหาโดยกระบวนการแก้ปัญหา (problem solving) โดยการที่ค้นหาและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาสาเหตุและวิธีการแก้ไขปัญหา ตัดสินใจเลือกวิธีที่ดีทีสุด ลงมือกระทำ และประเมินผลการกระทำนั้น
ความเครียด
ความเครียด หมายถึง ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายและจิตใจที่มีต่อสิ่งกระตุ้น (stressor) และบุคคลนั้นได้ประเมินแล้วว่าสิ่งกระตุ้นนั้นคุกคามหรือทำให้ตนเองรู้สึกไม่มั่นคง ปลอดภัย หากบุคคลมีความครียดระดับสูงและสะสมอยู่นาน ๆ จะก่อให้เกิดโรคทางกายและทางจิตได้
ลักษณะอาการและอาการแสดงของบุคคลที่มีความเครียด
2) การเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจ สังคม ได้แก่ วิตกกังวล โกรธง่าย หงุดหงิด ซึมเศร้า ท้อแท้ การตัดสินใจไม่ดี สมาธิสั้น ขี้ลืม ความจำไม่ดี ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มองโลกในแง่ร้าย แยกตัว มีปัญหาด้านสัมพันธภาพ หรือไม่มีความสุขกับชีวิต เป็นต้น
3) การเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรม ได้แก่ ร้องไห้ กัดเล็บ ดึงผมตัวเอง รับประทานอาหารเก่ง ติดบุหรี่ สุรา ก้าวร้าว เปลี่ยนงานบ่อย หรืออาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุขณะทำงานได้ เป็นต้น
1) การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย ได้แก่ มึนงง ปวดศีรษะ หูอื้อ มีเสียงด้งในหู ปวดตามกล้ามเนื้อ อ่อนแรงไม่อยากทำอะไร มีปัญหาเรื่องการนอน กัดฟัน อ่อนเพลีย หัวใจเต้นเร็ว หายใจไม่อิ่ม มือย็น แน่นจุกท้อง เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ท้องร่วง ท้องผูก เป็นตัน
การตอบสนองของบุคคลต่อความเครียด
1) การตอบสนองด้านร่างกาย เมื่อมีเหตุการณ์มากระตุ้น
:star: ระยะการต่อต้าน (stage of resistance) บุคคลจะปรับตัวต่อต้านความเครียดเต็มที่โดยจะใช้กลไกการป้องกันตัวที่เหมาะสม และพยายามจำกัดสิ่งที่มากระตุ้นให้น้อยลงทำให้ความเครียดลดลงเข้าสู่ภาวะปกติ
:star:ระยะหมดกำลัง (stage of exhaustion)เกิดภาวะอ่อนล้า เหนื่อยและหมดแรง มีการใช้กลไกป้องกันตัวเองที่ไม่เหมาะสม มีพฤติกรมแปรปรวน มีการรับรู้ความเป็นจริง บิดเบือน น้ำหนักตัวลดลง ต่อมไร้ท่อต่าง ๆ โตขึ้น ระดับฮอร์โมนสำคัญต่าง ๆ สูงขึ้น ถ้ามีความเครียดในระดับสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ อาจทำให้เสียชีวิตได้
:star:ระยะเตือน (alarm reaction) ร่างกายมีภาวะตื่นตัวและเกิดแรงที่จะป้องกันตนเอง โดยแบ่งเป็น 2 ระยะย่อย
• ระยะช็อก (shock phase) ประสาทอัตโนมัติเกิดปฏิกิริยาและทำหน้าที่หลั่งสารเอพิเนฟรินและคอร์ติโชน (epinephrine and cortisone) บุคคลจะรับรู้ต่อสิ่งกระตุ้นแบบรู้ตัว หรือไม่รู้ตัว บุคคลเตรียพร้อมที่จะสู้หรือถอยหนี ระยะอาจใช้เวลาประมาณตั้งแต่ 1 นาที ถึง 24 ชั่วโมง
• ระยะตอบสนองการช็อก (counter shock phase shock phase) ร่างกายจะปรับตัวกลับสู่สภาพเดิม
2) การตอบสนองด้านจิตใจ เมื่อมีเหตุการณ์มากระตุ้น
หนีหรือเลี่ยง
การปฏิเสธว่าตนกำลังมีความเครียด หรืออาจหันไปทำกิจกรรมอื่นๆทดแทนทั้งทางบวกและทางลบ เช่น การเลี่ยงไม่รับรู้ด้วยการนอนหลับ หันไปใช้สารเสพติด ดื่มสุรา หรือ เพ้อฝันในสิ่งที่กลบเกลื่อนความเครียด เป็นต้น
ยอมรับ
คือการต่อสู้กับความเครียดที่มีอยู่โดยการแก้ไขเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียดหรือแก้ไขปรับเปลี่ยนตนเอง เช่น การแสวงหาความช่วยเหลือ หาข้อมูลเพื่อปรับแก้สถานการณ์จากภายนอก หรือการสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างความเข้มแข็งให้กับตนเองให้สามารถรับความเครียดได้มากขึ้น เป็นต้น
เผชิญกับความเครียด
ชนิด ระดับของความวิตกกังวลและความเครียด
วิตกกังวล
ระดับของความวิตกกังวล (level of anxiety)
1) ความวิตกกังวลต่ำ (mild anxiety) +1 เกิดขึ้นเป็นปกติในบุคคลทั่วไป จะช่วยกระตุ้นให้บุคคลตื่นตัว และพยายามแก้ปัญหาในการทำกิจกรรมต่างๆ ได้สำเร็จ การเปลี่ยนแปลงของร่างกายเล็กน้อย เช่น อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น การหายใจเร็วขึ้น กล้ามเนื้อตึงตัวบริเวณใบหน้า ต้นคอ หรือหลัง มือเท้าเย็น เป็นต้น
4) ความวิตกกังวลท่วมท้น (panic anxiety) +4 เมื่อไม่ได้รับการระบายออกหรือแก้ไขให้ลดลง จะมีการสะสมความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนบุคคลไม่สามารถจะทนต่อไปได้ ความผิดปกติของความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม แสดงออกให้เห็นโดยมีภาวะขาดสติสัมปชัญญะ ตื่นตระหนก มึนงง สับสน วุ่นวาย เกรี้ยวกราด หวาดกลัวสุดขีด ควบคุมตนเอง
2) ความวิตกกังวลปานกลาง (moderate anxiety) +2 เมื่อมีเหตุการณ์มากระตุ้นให้เกิดความวิตกกังวล บุคคลจะมีความตื่นตัวมากขึ้น พยายามควบคุมตนเองมากขึ้น และใช้ความพยายามในการแก้ปัญหาสูงขึ้นสติสัปชัญญะยังคงมีอยู่แต่มีคลื่อนไหวมากขึ้นจเกือบจะลุกลี้ลุกลน การรับรู้แคบลง ทำความเข้าใจและมองห็นความสัมพันธ์ของปัญหาต่างๆ ลดลง กระบวนการแก้ปัญหาได้แต่ต้องควบคุมสมาธิมากขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายมากขึ้น
3) ความวิตกกังวลรุนแรง (severe anxiety) +3 บุคคลจะมีระดับสติสัมปชัญญะลดลง สมาธิในการรับฟังปัญหาและข้อมูลต่าง ๆลดลง หมกมุ่นครุ่นคิดในปลีกย่อยจนไม่สามารถติดตามเนื้อหาของเรื่องราวได้อย่างกว้างขวางปลีกย่อย มึนงง กระสับกระส่าย ไม่อยู่กับที่ ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม การคิดการมองสิ่งต่างๆ แปรปรวนไปจากสภาพความเป็นจริง
ชนิดของความวิตกกังวล
1) ความวิตกกังวลปกติ (normal anxiety) เป็นความวิตกกังวลที่พบได้ทั่วไปเป็นแรงผลักดันให้ชีวิตประสบความสำเร็จ มีผลให้บุคคลตื่นตัว กระตือรือร้นที่จะแก้ปัญหา การรับรู้ว่องไว และถูกต้อง ความจำและสมาธิดี อารมณ์ และการกระทำไม่เปลี่ยนไปจากปกติมากนัก
2) ความวิตกกังวลเฉียบพลัน (acute anxiety) เป็นความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีเหตุการณ์เข้ามากระทบหรือคุกคาม ทำให้บุคคลเกิดความวิตกกังวล เช่น ความวิตกกังวลต่อผลการตรวจเลือด ความวิตกกังวลต่อการต้องนำเสนอรายงานต่อหน้าคนจำนวนมาก เป็นต้น
3) ความวิตกกังวลเรื้อรัง (chronic anxiety) เป็นความรู้สึกหวาดหวั่นไม่เป็นสุขขาดความมั่นคงปลอดภัยที่แฝงอยู่ในตัวของบุคคลตลอดเวลา เกิดจากการอบรมเลี้ยงดูของครอบครัวตั้งแต่เด็ก มีการเลี้ยงดูที่ไม่หมาะสม ขาดความรัก ความเอาใจใส่
ความเครียด
ชนิดของความเครียด
2) ความเครียดเรื้อรัง (chronic stress) เกิดขึ้นทุกวันและร่างกายไม่สามารถตอบสนองต่อความเครียดนั้น มักมีความเครียดโดยที่ไม่รู้ตัวหรือไม่มีทางหลีกเลี่ยง เช่น ความเครียดจกการทำงาน หรือการประกอบอาชีพบางอย่าง ความเครียดจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความเหงา เป็นต้น
1) ความเครียดฉับพลัน (acute stress) ความเครียดที่เกิดขึ้นทันทีและร่างกายก็ตอบสนองต่อความเครียดนั้นทันที่ มักเกิดจาก เสียง อากาศเย็นหรือร้อน ชุมชนที่คนมากๆ ความกลัว ตกใจ อันตราย
ระดับของความเครียด
1) ความเครียดระดับต่ำ (mild stress) เป็นความเครียดในระดับน้อยและหายไปได้ในระยะเวลาสั้น ไม่คุกคามต่อการดำเนินชีวิต ความเครียดในระดับนี้ถือว่ามีประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เป็นแรงจูงใจในที่นำไปสู่ความสำเร็จในชีวตได้
2) ความเครียดระดับปานกลาง (moderate stress) เกิดขี้นได้ในชีวิตประจำวัน เนื่องจากมีสิ่งคุกคามหรือเหตุการณ์ที่ทำให้เครียด อาจรู้สึกวิตกกังวลหรือกลัวแต่ไม่แสดงออกถึงความเครียดที่ชัดเจน ไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรือเป็นผลเสียต่อการดำเนินชีวิตส่วนใหญ่ จะสามารถปรับตัวซึ่งช่วยคลายเครียด เช่น ออกกำลังกาย ฟังเพลง อ่านหนังสือ ทำงานอดิเรก หรือพูดคุยระบายความไม่สบายใจกับบุคคลที่ไว้วางใจ
3) ความเครียดระดับสูง (high stress) เกิดจากเหตุการณ์รุนแรง สิ่งต่าง ๆ สถานการณ์หรือเหตุการณ์รอบตัวที่แก้ใขจัดการปัญหานั้นไม่ได้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดความผิดปกติเช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง อารมณ์ฉุนเฉียวง่ายหงุดหงิด เป็นต้น การคลายเครียดระดับนี้คือ การฝึกหายใจ คลายเครียด พูดคุยระบายความเครียดกับผู้ไว้วางใจ
4) ความเครียดระดับรุนแรง (severe stress) จ็บป่วยรุนแรง เรื้อรังมีความพิการ สูญเสียคนรัก ทรัพย์สินหรือสิ่งที่รักจนทำให้บุคคลนั้นมีความล้มเหลวในการปรับตัวมีความบกพร่องในการดำเนินชีวิตประจำวัน ควรเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์
สาเหตุของบุคคลที่มีความวิตกกังวลและความเครียด
ความเครียด
2) สาเหตุภายในตัวบุคคล
ภาวะสุขภาพของตนเอง
ความผิดปกติของสรีะร่างกายที่มีมาแต่กำเนิด
ความพิการ
ภาวะเจ็บป่วยที่เผชิญอยู่
การเจริญเติบโต
พัฒนาการล่าช้า
1) สาเหตุจากภายนอก
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ
ภัยพิบัติ
การย้ายถิ่นฐานที่อยู่
สภาพภูมิอากาศ
การเปลี่ยนงาน
ความเจ็บป่วยของบุคคลอันป็นที่รัก
การหย่าร้าง
ปัญหาความสัมพันธ์กับรอบครัวและบุคคลอื่น ๆ
การขาดเพื่อน
การขาดแคลนปัจจัย 4 ในการดำเนินชีวิต
วิตกกังวล
3) สาเหตุทางด้านสังคม เชื่อว่าความวิตกกังวลเกิดจากสัมพันธภาพระหว่างบุคคลไม่ดี ระดับความมีคุณค่าในตนเองนี้มีความสัมพันธ์กับความวิตกกังวล บุคคลที่มีความวิตกกังวลได้ง่าย มักจะเป็นบุคคลที่ถูกคุกคามทางอารมณ์ได้ง่าย เนื่องจากมีระดับความมีคุณในตนองต่ำ บุคคลประเภทนี้จะมองตนเองในแง่ไม่ดี และจะไม่มั่นใจในความสามารถของตนอง
2) สาเหตุทางด้านจิตสังคม
ด้านพฤติกรรมและการรู้คิด (cognitive-behavioral theory) เป็นผลมาจากการเรียนรู้ต่อสิ่งอันตราย (noxious stimulus) ของมนุษย์ที่มีการเรียนรู้และปรับตัวตามสิ่งที่เรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อที่จะได้ปรับตัวได้หมาะสมกับสถานการณ์และเรียนรู้วิธีการเผชิญกับสิ่งที่เข้ามาคุกคามว่าจะสู้หรือจะหนี และหากวิธีการเผชิญนั้นช่วยทำให้บุคคลรู้สึกว่าตนเองปลอดภัย บุคคลก็จะเลือกใช้วิธีการเชิญแบบนั้นซ้ำๆบางคนไม่มั่นใจวิธีการเผชิญปัญหาที่ตนเองเลือกใช้ว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาหรือช่วยให้ตนเองปลอดภัยได้จริงหรือไม่ จึงยิ่งส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้านจิตวิเคราะห์ (psychoanalytic theory) ความขัดแย้งกันของ id และ superego ในระดับจิตใต้สำนึก (unconscious) ซึ่ง ego ของบุคคลที่ไม่สามารถควบคุมหรือจัดการกับความขัดแย้งนั้นได้ทำให้เกิดเป็นความวิตกกังวล บุคคลใช้กลไกการป้องกันตนเอง (defense mechanism) เพื่อลดความวิตกกังวลนั่นเอง
1) สาเหตุทางด้านชีวภาพ
ด้านชีวเคมี (biochemical factors) เช่น caffeine lactate ที่มีในเลือดสูงจะกระตุ้นให้เกิดอาการตื่นตระหนก (panic disorder) ได้ง่าย ความผิดปกติของ thyroid hormone อาจเกิดได้จาก hyperthyroidism
ด้านการเจ็บป่วย (medical factors) พบได้ในผู้ป่วยที่มีการเจ็บป่วยเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคหัวใจแบบเฉียบพลันหรือการเจ็บป่วยรุนแรงอื่น
ด้านกายภาพของระบบประสาท (neuroanatomical factors) ระบบประสาทบกพร่องมาแต่กำเนิดส่งผลให้การสื่อสารทางชีวเคมีบางอย่างแตกต่างกับผู้อื่นจึงกระตุ้นให้ตื่นตระหนกได้ง่าย
การพยาบาลบุคคลที่มีความวิตกกังวลและความเครียด
การพยาบาลบุคคลที่มีความวิตกกังวล
2) การวินิจฉัยการพยาบาล จะมุ่งเน้นการลดความวิตกกังวลให้แก่ผู้ป่วย
เป้าหมายระยะสั้น
เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยให้กลับปกติ
เป้าหมายระยะยาว
เพื่อให้ผู้ป่วยได้รู้และเข้าใจถึงเหตุและผลของความวิตกกังวล
เพื่อให้ผู้ป่วยได้เรียนรู้วิธีลความวิตกกังวลที่สร้างสรรค์ เพื่อลดความถี่ของการเกิดความวิตกกังวล
เพื่อปรับบุคลิกภาพและการใช้กลไทางจิตให้เหมาะสม
เพื่อขจัดความขัดแย้งและบรรเทาประสบการณ์ที่เจ็บปวดให้กับผู้ป่วย
ตัวอย่างการเขียนข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มีความวิตกกังวลระดับรุนแรงเนื่องจากคิดว่าตนเองไม่สามารถควบคุม หรือแก้ไขปัญหาได้
การเผชิญปัญหาไม่เหมาะสมเป็นผลมาจากมีความวิตกกังวลระดับรุนแรง
มีความผิดปกติด้านเนื่องจากวิตกกังวลในระดับรุนแรง
มีความวิตกกังวลระดับปานกลางเนื่องจากรู้สึกว่าชีวิตถูกคุกคามและถูกบีบคั้นทางจิตวิญญาณ
1) การประเมินสภาวะความวิตกกังวล
การประเมินความเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม เมื่อมีกังวลเกิดขึ้น
การประเมินระดับความรุนแรงของความวิตกกังวล
การประเมินสาเหตุของความวิตกกังวลและวิธีการเผชิญกับภาวะวิตกกังวล จากการซักประวัติจากผู้ป่วยและบุคคลใกล้ชิด รวมทั้งการสังเกตพฤติกรรมในขณะนั้น
ประเมินสมรรถภาพและองค์ประกอบในด้านอื่น ๆของผู้ป่วย เช่น รูปแบบในการแก้ปัญหาในอดีต การศึกษา ฐานะทางเศษฐกิจ แหล่งสนับสนุนทางสังคม เป็นต้น
4) การประเมินผลทางการพยาบาล
ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายได้มากขึ้น
ผู้ป่วยสามารถแยกแยะและประเมินระดับความวิตกกังวลของตนเองได้
ผู้ป่วยสามารถบอกถึงความรู้สึกวิตกกังวลที่มีต่อตนเองและผู้อื่นได้
ผู้ป่วยสามารถอธิบายเชื่อมโยงผลของความวิตกกังวลที่มีต่อตนเองและผู้อื่นได้
ผู้ป่วยสามารถบอกวิธีการที่เหมาะสมในการแก้ไขความวิตกกังวลได้
ผู้ป่วยสามารถแสวงหาแหล่งสนับสนุนช่วยเหลือทางสังคมเพื่อลดความวิตกให้กับตนเองได้อย่างสร้างสรรค์มากขึ้น
3) กิจกรรมการพยาบาล
:star:1) สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วยเพื่อปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ระบายความไม่สบายใจความทุกข์ใจและปัญหาต่าง ๆ ออกมาโดยที่พยาบาลรับฟังอย่างตั้งใจ ด้วยมีท่าทีที่สงบ เข้าใจ และ ยอมรับพฤติกรรมของผู้ป่วยไม่กล่าวตำหนิผู้ป่วย
:star:2) ใช้คำพูดง่าย ๆ ข้อความสั้น ๆ กะทัดรัดได้ใจความตรงไปตรงมา น้ำเสียงทีต้องชัดจน นุ่มนวล ในการการติดต่อสื่อสารกับผู้ป่วย
:star:3) ให้กำลังใจโดยอาจสัมผัสผู้ป่วยเบา ๆ เพื่อผู้ป่วยให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นใจที่มีคนอยู่เป็นเพื่อน
:star:4) นำผู้ป่วยออกจากสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวล ซึ่งผู้ป่วยไม่อาจทนหรือควบคุมตนเองได้
:star:5) จัดสิ่งแวดล้อมให้สงบลดสิ่งกระตุ้นผู้ป่วย เช่น ผู้คนที่พลุกพล่าน การเคลื่อนย้ายสิ่งของ เสียงวิทยุ โทรทัศน์ เป็นต้น
:star:6) ดูแลเอาใจใส่ผู้ป่วยที่มีอาการทางกาย เช่น ชีพจรเร็ว หายใจขัด คลื่นไส้ ท้องเดิน ปวดศีรษะ แต่หลีกเสี่ยงการสนับสนุนให้ผู้ป่วยหมกมุ่นกับอาการของของตนเอง และ ควรอธิบายให้ผู้ป่วยรับรู้ว่าอาการทางกายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากความวิของตนเอง
:star:7) ดูแลป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยและบุคคลอื่น
:star:8) ให้ความช่วยเหลือดูแลและกระตุ้นให้ผู้ป่วยสนใจเรื่องสุขภาพอนามัยของตนเอง เช่น เรื่องอาหาร การขับถ่าย ความสะอาดของร่างกาย
:star:9) ผู้ป่วยที่ไม่มีสมาธิ ลังเล ตัดสินใจไม่ได้ ควรพยายามให้ผู้ป่วยใช้ความคิด และ การตัดสินใจง่าย ๆ
:star:10) ส่งเสริมให้ร่วมกิจกรรมที่ง่าย ๆ ไม่ชับซ้อน ใช้เวลาสั้น เพื่อให้โอกาสผู้ป่วยพบความสำเร็จและเกิดความอบอุ่นใจ มั่นใจในความสามารถของตัวเองมากขึ้น
:star:11) ส่งเสริมให้ผู้ป่วยเกิดการเรียนรู้ในเรื่องสาเหตุของความวิตกกังวล ความสัมพันธ์ของความวิตกกังวลและกลไกการเกิดพฤติกรมหรืออาการต่างๆ ของผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยได้ตระหนักถึงการลดความวิตกกังวล และกระตุ้นให้ผู้ป่วยเผชิญปัญหาต่างๆ ที่มาคุกคาม
:star:12) รายงานแพทย์เพื่อให้ได้รับยาลดความวิตกกังวล ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยได้นอนหลับพักผ่อนมากขึ้น
:star:13) ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งบันทึกรายงานอาการ และพฤติกรรมของผู้ป่วยโดยละเอียด เพื่อตรวจสอบดูความก้าวหน้าของการรักษาพยาบาล
การพยาบาลบุคคลที่มีความเครียด
2) การวินิจฉัยทางการพยาบาล
เน้นปัญหาและพฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำๆ และเป็นผลมาจากความเครียด
:tada:เป้าหมายระยะสั้น
เพื่อลดความเครียดของผู้ป่วยให้กลับสู่ภาวะปกติ
เพื่อให้การบำบัดรักษาอาการทางกายที่มีอยู่ในตอนนั้น
:tada:เป้าหมายระยะยาว
เพื่อให้ผู้ป่วยได้รู้และเข้าใจกลวิธีในการปรับตัวต่อเหตุกรณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียดของตนเอง
เพื่อให้ผู้ป่วยได้จัดการความเครียดที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้นและไม่ก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา
เพื่อลดความถี่ของการเกิดความเครียด
เพื่อปรับบุคลิภาพและการใช้กลไก
ทางจิตให้เหมาะสมมากขึ้น
:explode:ตัวอย่างการเขียนข้อวินิฉัยทางการพยบาล
ความดันโลหิตสูงกว่าปกติเนื่องจากมีการปรับตัวต่อภาวะเครียด
มีภาวะเครียดในระดับสูงเนื่องจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
แบบแผนการนอนหลับพักผ่อนเปลี่ยนแปลงเนื่องจากมีภาวะเครียด
3) กิจกรรมการพยาบาล
:star:1) สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด เพื่อให้ผู้ป่วยได้รู้และเข้าใจตนเองถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียดและการเชื่อมโยงถึงอาการทางกายของผู้ป่วย
:star: 2) ส่งเสริมและให้กำลังในการฝึกและเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้เรียนรู้และเลือกกลวิธีในการจัดการความเครียดที่สร้างสรรค์ที่ผู้ป่วยสนใจเหมาะสมกับบริบทในชีวิตของผู้ป่วย ไปใช้ในการจัดการความเครียด
:star:3) สอนและแนะนำให้ประเมินระดับความเครียดด้วยตนเอง เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เข้ามากระตุ้นให้เกิดความเครียด โดยอาจใช้การสังเกตอาการและอาการแสดงทางกายของตนเองหรือใช้แบบประเมินความเครียดด้วยตนเอง
:star:4) กระตุ้นและให้กำลังใจผู้ป่วยวางแผนการเปลี่ยนแปลงตนเอง ในการใช้ชีวิตเพื่อผ่อนคลายความเครียด เช่น การหากิจกรรมที่ชอบและเหมาะสมกับตนเองทำยามว่างด้วยการออกกำลังกาย การวิปัสสนา เล่นดนตรี ฟังเพลง เพื่อหลีกเลี่ยงการหมกครุ่นคิดกับเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียด หรืออาจพูดคุยระบายกับบุคคลที่ไว้วางใจ หรือแนะนำสถานบริการที่ช่วยในการให้คำปรึกษาเรื่องความเครียดในกรณีที่ไม่ไว้วางใจใคร
:star:5) ฝึกทักษะการคิดเชิงบวก เพื่อปรับเปลี่ยนมุมมองต่อสถานการณ์ที่กระตุ้นให้เกิดความเครียด
:star:6) ให้ความช่วยเหลือดูแลให้ผู้ป่วยได้รับวิตามินและเกลือแร่ในปริมาณที่เพียงพอเช่น รับประทานผักให้มากขึ้นเพราะจะทำให้สมองสร้าง serotonin เพิ่มช่วยลดความครีย
:star:7) ส่งเสริมและกระตุ้นให้ผู้ป่วยทำตารางเวลาของชีวิต (body clock) ในการออกกำลังกายหรือกิจกรรมผ่อนคลายอื่นๆ อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้นอนหลับพักผ่อนได้ดีขึ้นจะช่วยให้ผู้ป่วยสดชื่นขึ้นและช่วยลดความเครียดได้
:star:8) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์
1) การประเมินสภาวะความเครียด
ประเมินอาการแสดงทางร่างกายที่เป็นผลมาจากความเครียดหรืออาการทางกายที่มีอยู่เดิมกำเริบ เช่น แบบแผนการนอนหลับพักผ่อน การรับประทานอาหาร ระบบการย่อยอาหาร อาการปวดศีรษะ มึนงง ปวดตามกล้ามเนื้อ ไม่อยากทำอะไร อ่อนพลีย หัวใจเต้นเร็ว หายใจไม่อิ่ม มือเย็น แน่นจุกท้อง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง ท้องผูก อาการเหล่านี้อาจนำไปสู่การวินิจฉัยโรคทางกายที่อื่นๆ เช่น โรคทางเดินอาหาร โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ หรือโรคมะเร็ง เป็นต้น
ประเมินอาการแสดงทางจิตใจ เช่น ด้านอารมณ์บุคคลอาจมีความวิตกกังวล มีความโกรธ ก้าวร้าว หรือความกลัว อาจมีการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ เช่น สูญเสียสมาธิ ความสามารถในการจำลดลง มีการเปลี่ยนแปลงด้านการรู้คิดและสติปัญญา รวมถึงพฤติกรรมการใช้กลไกทางจิตที่ไม่เหมาะสม และอาจเป็นสาเหตุนำไปสู่ภาวะซึมศราและการฆ่าตัวตายได้อีกด้วย
แบบประเมินความเครียดด้วยตนเองด้วย เช่น แบบคัดกรองความเครียด (ST5) แบบประเมินระดับความเครียด (ST20) เป็นต้น
4) การประเมินผลทางการพยาบาล
อาการทางกายทุเลาหรือกลับสู่ภาวะปกติ
ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ระดับความเครียดลดลง
ผู้ป่วยสามารถเชื่อมโยงอาการ และอาการแสดงที่สัมพันธ์กับความเครียดของตนเองได้
ผู้ป่วยสามารถประเมินระดับความเครียดด้วยตนเองได้
ผู้ป่วยสามารถบอกวิธีการจัดการความเครียดที่เหมาะสมกับตนเองได้
ผู้ป่วยสามารถแสวงหาแหล่งสนับสนุนช่วยเหลือทางสังคม เพื่อลดความเครียดให้กับตนเองได้มากขึ้น
:star:
นางสาวธาริณี ไหวพริบ รหัส 180101120