Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทฤษฎีการผลิต (PRODUCTION THEORY) - Coggle Diagram
ทฤษฎีการผลิต (PRODUCTION THEORY)
การผลิต (Production)
-กระบวนการเปลี่ยนแปลงปัจจัยการผลิตให้ออกมาเป็นผลผลิต
ปัจจัยการผลิตทางเศรษฐศาสตร์ (Factor of Production)
การผลิต
คือ กระบวนการหรือกิจกรรมใดๆ ที่เปลี่ยนแปลงหรือแปรรูปปัจจัยการผลิตให้เป็นสินค้า
และบริการ
สินค้าและบริการที่ผลิตได้ถือเป็ นเศรษฐทรัพย์
เป้าหมายของผู้ผลิต คือ กาไรสูงสุด ํ (Maximize Profit)
การผลิตเป็นการสร้างอรรถประโยชน์ของสินค้าให้เพิ่มขึ้น มี 4 แบบ
Time Utility : เป็นการผลิตเพื่อถนอมอาหารไว้บริโภคในยามขาดแคลนหรือมิใช่ฤดูกาล
Service : เป็นการผลิตในรูปของการให้บริการที่ทําให้ผู้บริโภคได้รับความสะดวกหรือได้รับสินค้าที่ตน ต้องการ เป็นการเพิ่มอรรถประโยชน์
Place Utility : เป็ นการเคลื่อนย้ายสินค้าจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งเพื่อเพิ่มความพอใจให้แก่ผู้บริโภค
Form Utility : เป็นการผลิตที่ทําให้ผู้บริโภคมีความพอใจเพิ่มขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของสินค้า
ความสําคัญของทฤษฎีการผลิต
Demand = พฤติกรรมผู้บริโภค = ดุลยภาพ
Supply = พฤติกรรมผู้ผลิต = ดุลยภาพ
ความหมายการผลิตและผู้ผลิต
ผู้ผลิต = ผู้ขาย = หน่วยธุรกิจ หมายถึง ผู้ที่ก่อให้เกิดมีสินค้าหรือบริการที่สามารถนํามาบําบัด
ความต้องการของผู้บริโภคได้ สําหรับหน่วยธุรกิจทั้งหมดที่ผลิตสินค้าชนิดเดียวกัน เรียกว่า
อุตสาหกรรม (industry)
ทฤษฎีการผลิตและฟังก์ชันการผลิต
เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหวางปัจจัยการผลิต ่ (input) และผลผลิตที่ได้รับ (output)
สามารถเขียนความสัมพันธ์ในรูปแบบฟังกชันได้ดังนี้ Q = f (x1 , x2 , x3 ..... xn)
เมื่อ Q = จํานวนผลผลิต
x1 , x2 , x3 .....xn = ปัจจัยการผลิตชนิดต่างๆ
ประสิทธิภาพของการผลิต
ประสิทธิภาพทางเทคนิค (technical efficiency)
หมายถึง วิธีการผลิตที่ให้ผลผลิตจํานวนเท่ากัน แต่ใช้ปัจจัยการผลิตน้อยที่สุด หรือวิธีการที่ใช้จํานวนปัจจัยการผลิตเท่ากันแต่ให้ผลผลิตมากกว่า
ประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ(economic efficiency)
หมายถึง วิธีการผลิตที่ให้ผลผลิตจํานวนเท่ากันแต่มีต้นทุนการผลิตตํ่าที่สุด
การผลิตที่มีประสิทธิภาพทางเทคนิค ไม่จําเป็นต้องเป็นการผลิตที่มีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ
แต่การผลิตที่มีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจต้องเป็นการผลิตที่มีประสิทธิภาพทางเทคนิคเสมอ
การผลิตแบ่งออกเป็น 2 ระยะ
ระยะสั้น (Short-Run)
ระยะสั้น (Short Run) : ช่วงเวลาที่จะต้องมีปัจจัยคงที่อยางน้อยหนึ่งปัจจัยเป็นระยะเวลาที่สั้นจนผู้ผลิตไม่สามารถเปลี่ยนแปลงปัจจัยการผลิตบางชนิดได้เช่น ขนาดของโรงงาน ขนาดที่ดิน หรือขนาดของเครื่องจักร เป็นต้น
ปัจจัยการผลิตกับระยะเวลาในการผลิต
ปัจจัยคงที่ (Fixed factor) เป็นปัจจัยการผลิตที่ไม่ผันแปรตามปริมาณผลผลิตได้ภาย
ในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น อาคาร โรงงาน เครื่องจักร เป็นต้น
ปัจจัยผันแปร(Variable factor) เป็นปัจจัยการผลิตที่ผันแปรตามปริมาณการผลิต ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ได้แก่ แรงงาน วัตถุดิบ วัสดุสินเปลือง เป็นต้น
• ปัจจัยการผลิตในระยะสั้น
-ปัจจัยคงที่ (eg. land, capital)
-ปัจจัยแปรผัน (eg. labor, raw material)
• ฟังกชันการผลิต
การแสดงความสัมพันธ์ระหวางปัจจัยการผลิตต่างๆ และจํานวผลผลิต เมื่อกำหนดเทคนิคการผลิตให้
Total Product (TP) = f (a1, a2, a3)
= f (ปัจจัยคงที่, ปัจจัยแปรผัน)
ผลผลิต
ผลผลิตรวม (Total Product: TP)
ผลผลิตทั้งหมดที่ได้รับจากกระบวนการผลิต โดยการใช้ปัจจัยคงที่ร่วมกบปัจจัยแปรผัน
ผลผลิตเฉลี่ย(Avrage Product:AP)
-ผลผลิตเฉลี่ยจะบอกว่าปัจจัย แปรผันแต่ละหน่วยโดยเฉลี่ยแล้ว ก่อให้เกิดผลเท่าใด หาได้จากสูตร
AP =TP
L
ผลผลิตหน่วยสุดท้าย (Marginal Product:MP)
-จำนวนผลผลิตทั้งหมด ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเพิ่มปัจจัย แปรผันอีก 1 หน่วย
MP บอกให้รู้ว่า การใช้ปัจจัยแปรผัน เพิ่มขึ้นแต่ละหน่วย จะทำให้ ปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้นเท่าใด
-จำนวนผลผลิตรวมทั้งหมดเฉลี่ยต่อปัจจัยการผลิต 1 หน่วย
กฎการลดลงของผลได้ (Law of Diminishing Returns)
เป็นกฎของการผลิตในระยะสั้น ซึ่งปริมาณผลผลิตที่ได้รับจากการใช้ปัจจัยคงที่ร่วมกับปัจจัยแปรผัน เป็นไปตามกฎการลดน้อยถอยลงของผลได้ กฎนี้กล่าวว่า “การผลิตที่มีการใช้ปัจจัยคงที่ร่วมกับปัจจัยแปรผัน เมื่อใช้ปัจจัยแปรผันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในระยะแรกนั้น ผลผลิตรวมเพิ่มขึ้นในอัตราที่เพิ่มขึ้น (Increasing Returns) ต่อมาผลผลิตรวมจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง (Diminishing Returns) จนกระทังถึงระดับที่ผลผลิตรวมสูงสุด หากยังเพิ่มปัจจัยแปรผันต่อไปอีก ผลผลิตรวมจะลดลง (Negative Returns)”
สรุปความสัมพันธ์ระหว่าง TP & MPL
-ช่วงที่ MPL ลดลง (MPL >0) TP จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง (Diminishing Returns)
-เมื่อ MPL มีค่าติดลบ TP จะลดลง (Decreasing Returns)
-ช่วงที่ MPL เพิ่มขึ้น TP จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่เพิ่มขึ้น (Increasing Returns)
-ดังนั้น TP จะมีค่าสูงสุด เมื่อ MPL มีค่าเท่ากับ 0
การผลิตระยะยาว(long-run period)
ระยะยาว (Long Run) :ในระยะยาวผู้ผลิตสามารถเปลี่ยนแปลงปัจจัยการผลิตทุกชนิด
ได้ตามความเหมาะสม ดังนั้น ปัจจัยการผลิตซึ่งเคยเป็นปัจจัยคงที่ในระยะสั้นจะสามารถ
เปลี่ยนแปลงได้ในระยะยาว เช่น โรงงาน ที่ดิน เครื่องจักร การผลิตในระยะยาวนั้น ผลผลิตที่ได้
เป็นจะไปตามกฎการผลิตระยะยาว ที่ เรียกว่า“กฎผลได้ต่อขนาด” (Law of Returns to Scale)
การวิเคราะห์การผลิตระยะยาว
-การวิเคราะห์การผลิตระยะยาว ทําได้โดยใช้เครื่องมือ
เส้นผลผลิตเท่ากัน (Isoquant Line)
เส้นต้นทุนเท่ากัน (Isocost Line)
-กฏผลได้ต่อขนาด (Law of return to scale)
-การประหยัดและไม่ประหยัดเนื่องจากขนาด (Economies of scale and Diseconomies of scale)
กฎผลได้ต่อขนาด (Law of Returns to Scale)
เมื่อผู้ผลิตเพิ่มปัจจัยการผลิตทุกชนิดในสัดส่วนเดียวกัน จะมีผลต่อปริมาณผลผลิตอย่างไรกฎผลได้ต่อขนาด แบ่งการผลิตออกเป็น 3 ขนาด ดังนี้
-ผลได้ต่อขนาดเพิ่มขึ้น (Increasing Returns to Scale)
อัตราการเพิ่มขึ้นของผลผลิตมากกว่าอัตราการเพิ่มของปัจจัยการผลิต มักเกิดขึ้นในระยะแรก ๆ ของการขยายการผลิต
-ผลได้ต่อขนาดคงที่ (constant return to scale)
อัตราการเพิ่มขึ้นของผลผลิตเท่ากับอัตราการเพิ่มของปัจจัยการผลิต มักเกิดขึ้นในระยะกลาง ๆ ของการขยายการผลิต
-ผลได้ต่อขนาดลดลง (decreasing return to scale)
อัตราการเพิ่มขึ้นของผลผลิตน้อยกว่าอัตราการเพิ่มของปัจจัยการผลิต มักเกิดขึ้นในระยะหลัง ๆ ของการขยายการผลิต
เส้นผลผลิตเท่ากัน (Isoquant Curve)
เส้นที่แสดงส่วนประกอบต่างๆของปัจจัยการผลิตสองชนิด (K,L) ที่ให้ผลผลิต (Q)จํานวนเท่ากัน
คือ ทุกๆ จุดบนเส้นผลผลิตเท่ากันจะให้ได้ผลผลิตในจํานวนเดียวกัน
อัตราการทดแทนทางเทคนิคหน่วยสุดท้าย Marginal Rate of technical Substitution: MRTS
ปัจจัยการผลิตทุกชนิดเป็นปัจจัยผันแปร ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงผลผลิต (Q) ย่อมมาจากการเปลี่ยนแปลงในปริมาณของปัจจัยการผลิตทุกชนิด (ทั้ง K และ L)จํานวนปัจจัยการผลิตชนิดหนึ่งที่ลดลงโดยที่ปัจจัยการผลิตอีกชนิดหนึ่งเพิ่มขึ้น 1 หน่วย เพื่อให้ได้ผลผลิตจํานวนเท่าเดิม slope ของเส้นผลผลิตเท่ากัน
-การเปลี่ยนแปลงปัจจัยที่ทดแทนกันนี้้เป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามนั่นคือถ้าใช้ปัจจัยอยางหนึ่งเพิ่มขึ้น
อีกอยางต้องลดลง
ลักษณะของเส้น Isoquant เป็นเส้นโค้งเว้าเข้าหาจุดกำเนิด และมีความชันเป็นลบเป็นเส้นโค้งเว้าเข้าหาจุดกำเนิด คำของ MRTSLK จะลดลงเรื่อยๆ แสดงวาปัจจัย 2 ชนิดทดแทนกันได้แต่ไม่สมบูรณ์
-เส้น Iqจะไม่ตัดกัน
-เส้น Iq มีได้หลายเส้น
เส้นต้นทุนเท่ากัน (Iso-cost Curve)
เส้นที่แสดงให้เห็นถึงการใช้ปัจจัย 2 ชนิดในสัดส่วนที่แตกต่างกัน โดยผู้ผลิตเสียต้นทุน
ยกตัวอย่างเช่น
มีงบประมาณ 1,000 บาท
K ราคาหน่วยละ 200 บาท
L ราคาหน่วยละ 100 บาท
การเปลี่ยนแปลงของเส้นต้นทุนเท่ากัน
-การเปลี่ยนแปลงของเงินทุนเงิน (ทุนเพิ่มขึ้น)
-การเปลี่ยนแปลงของต้นทุนอันเนื่องมาจากราคาของปัจจัยการผลิตเปลี่ยนแปลง (ราคาต้นทุนปัจจัย ลดลง)
ส่วนประกอบของปัจจัยการผลิตที่ให้ต้นทุนตํ่าสุด หรือจุดดุลยภาพของการผลิต
เส้นแนวทางการผลิต (expansion path)
เส้นขยายการผลิต เป็นเส้นที่ลากผ่านจุดดุลยภาพของการผลิต เมื่อผู้ผลิตขยายการผลิตออกไปใน แต่ละระดับผลผลิตโดยกำหนดให้ราคาของปัจจัยการผลิตคงที่
การประหยัดต่อขนาด และการไม่ประหยัดต่อขนาด
-การประหยัดต่อขนาด (economies of scale)
การประหยัดต่อขนาด หมายถึงต้นทุนต่อหน่วย (ต้นทุนเฉลี่ย) ลดลง จากการที่ธุรกิจขยายขนาดการผลิต
-การประหยัดทางด้านแรงงาน เกิดการแบ่งงานกันทํา มีความชํานาญเฉพาะอย่าง ทําให้ประสิทธิภาพการผลิตสูงขึ้น
-การประหยัดทางด้านเทคนิค เกิดขึ้นเมื่อหน่วยธุรกิจมีขนาดใหญ่ และมีความสามารถที่จะนําเอาเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพสูงมาใช้
-การประหยัดทางด้านการจัดการ เป็นผลจากการกระจายต้นทุนคงที่ เช่น เงินเดือนผู้จัดการ ค่าเช่าสถานที่ ค่าเบี้ยประกัน เป็นต้น หากหน่วยธุรกิจสามารถขยายการผลิตได้มากขึ้น ต้นทุนคงที่ต่อหน่วยจะลดลง
-การประหยัดทางด้านการตลาด
-ซื้อวัตถุดิบ : การซื้อเป็นจํานวนมากๆ จะได้รับส่วนลด ทําให้ต้นทุนลดลง
-ขายสินค้า : ต้นทุนค่าขนส่งลดลง ค่าโฆษณาลดลง คือ หน่วยธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ แม้จะมีต้นทุนในการ ขายสูง แต่ก็จะสามารถทําให้ขายได้มากขึ้น ต้นทุนเฉลี่ยจะลดลง
-การประหยัดทางด้านการเงิน
-เนื่องจากกิจการขนาดใหญ่ จะเป็นที่เชื่อถือในวงการธุรกิจ ได้รับเครดิตในการซื้อสินค้า และสามารถกู้เงินได้ง่าย เสียดอกเบี้ยตํ่า
การไม่ประหยัดต่อขนาด (diseconomies of scale)
-การไม่ประหยัดต่อขนาด หมายถึง ต้นทุนต่อหน่วย (ต้นทุนเฉลี่ย) เพิ่มขึ้น จากการที่ธุรกิจขยายขนาดการผลิต นั่นคือ ขยายขนาดการผลิตมากเกินไป
-ความยุงยากในการบริหารงาน ปัญหาการดูแลไม่ทัวถึง ปัญหาการติดต่อประสานงานปัญหาทางด้านการจัดการแรงงาน
-การขาดแคลนปัจจัยการผลิต
การประหยัดภายใน และการไม่ประหยัดภายใน
-การประหยัดภายใน (internal economies) หมายถึง การประหยัด (ต้นทุนเฉลี่ยลดลง) ที่เกิดจากการ
ดําเนินการของธุรกิจ(นโยบายการบริหารงาน)
-การไม่ประหยัดภายใน (internal diseconomies) หมายถึง การไม่ประหยัด (ต้นทุนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น) ที่เกิดจากการดําเนินการของธุรกิจ