Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การอนามัยโรงเรียน สถานการณ์ที่1 - Coggle Diagram
การอนามัยโรงเรียน สถานการณ์ที่1
อนามัยสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน
4.การถ่ายเทอากาศและแสง
ห้องเรียน ห้องสมุด ห้องพยาบาล ควรมีความเข้มแสง 300 ลักซ์
ห้องน้ำ ห้องส้วม ทางบันได ห้องเก็บของ ห้องประชุม ห้องรับประทานข้าว ควรมีความเข้มแสง 100 ลักซ์
จัดให้แสงส่องเข้าด้านซ้ายเพื่อลดการเกิดเงา
ห้องเรียนระดับความดังเสียงไม่เกิน 35-40 เดซิเบล
ภายในห้องควรมีการระบายอากาศที่ดี เพื่อให้หายใจได้สะดวก
ห้องดนตรีมีระดับเสียงน้อยกว่า 40 เดซิเบล
โรงอาหาร 50-55 เดซิเบล บริเวณภายนอกอาคารน้อยกว่า 70 เดซิเบล ห้องพยาบาลน้อยกว่า 45 เดซิเบล
7.น้ำดื่ม-น้ำใช้
มีน้ำใช้45ลิตร/คน/วัน น้ำดื่มจัดให้เพียงพอ 5 ลิตร/คน/วัน
ควรมีจุดบริการน้ำมีอ่างน้ำพุสำหรับดื่ม1 ที่ต่อเด็ก75คน โดยความสูงของน้ำพุ ประถมศึกษาตอนต้น 60 ซม ประถมตอนปลาย 75 ซม
โรงเรียนต้องมีปริมาณน้ำที่เพียงพอและสะอาด
อ่างล้างมือ 1 ที่/50คน โดยต้องควบคุมคุณภาพน้ำดื่มเพื่อป้องกันนักเรียนมิให้เจ็บป่วยโรคต่างๆ เช่น โรคอุจจาระร่วง
5.ห้องพยาบาลสำหรับโรงเรียน
จัดให้มีน้ำดื่มในห้องพยาบาลเพียงพอและไม่ใช้แก้วร่วมกัน
มีตู้ยาสามัญประจำโรงเรียน1ตู้
มีห้องน้ำอยู่ภายในหรืออยู่ใกล้เพื่อความสะดวกของผู้ป่วย
มีสมุดทะเบียนรายการยา/เวชภัณฑ์สำหรับควบคุมกำกับการเบิก-จ่ายยาและเวชภัณฑ์
มีอ่างล้างมือพร้อมก๊อกน้ำและสบู่ล้างมือ
มีสมุดบันทึกการให้บริการประจำห้องพยาบาลสำหรับบันทึกการให้บริการทุกครั้ง โดยระบุ ชื่อ นามสกุล อายุ ชั้นเรียน อาการ การรักษาและลงลายมือชื่อผู้บันทึก
นักเรียนจำนวน500-1000 คน ควรมีห้องพยาบาลที่มีเนื้อที่ไม่น้อยกว่าครึ่งห้องเรียนหรือ32 ตารางเมตรและมีเตียง อย่างน้อย 4 เตียง
แยกชาย-หญิง
มีครูทำหน้าที่ครูพยาบาลหรือครูอนามัย อย่างน้อย 1 คน และครูผู้ช่วยอย่างน้อย1คน
8.สนามกีฬา
ด้านข้างและเนื้อที่ระหว่างอาคารควรทำเป็นสนามขนาดเล็กลงและมีสวนหย่อมเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจให้กับเด็ก
พื้นสนามควรปรับให้เรียบไม่มีก้อนหิน เศษแก้ว เศษกระจก มีการระบายน้ำดี ไม่มีน้ำท่วมขัง ไม่มีฝุ่นในฤดูแล้งหรือเป็นโคลนตมในฤดูฝน
ควรมีสนามใหญ่อยู่ด้านหน้าของโรงเรียนเพื่อใช้ประโยชน์ในการสอนพลศึกษาและการออกกำลังกายที่ใช้เนื้อที่มาก
2.อาคารเรียนและสิ่งก่อสร้าง
เพดานสูงจากพื้นอย่างน้อย 3.5 เมตร บันไดไม่ชัน ขั้นบันไดกว้าง
ไม่ต่ำกว่า25 ซม. ตัวบันไดกว้างไม่ต่ำกว่า 1.5 เมตร สูงไม่เกิน 3 เมตร
หรือ14ขั้น อาคาร 2 ชั้นขึ้นไป มีทางหนีไฟหรือเหตุฉุกเฉิน
พื้นห้องเรียนไม่ลื่น ผนังห้องหนากันเสียงรบกวนได้
สีห้องควรเป็นสีขาวหรือสีอ่อน
ตัวอาคารเรียน ควรหันรับลมได้สะดวก
รูปแบบอาคารควรเป็นรูปตัวอักษร E L T U I
เพื่อสะดวกในการขยายและการบริหารงาน
9.อุปกรณ์เครื่องใช้
ความยาวของโต๊ะเรียนไม่ควรน้อยกว่า 70 ซม หรือ 2 ศอก กว้างประมาณ 35 ซม พื้นโต๊ะควรมีความลาดเอียงประมาณ15องศา
เก้าอี้ควรมีความสูง ขนาดที่นั่งแล้วสามารถวางเท้ากับพื้นได้ เข่างอเป็นมุมฉากได้ความกว้างของเก้าอี้ต้องไม่กว้างหรือแคบจนเกินไป
6.โรงอาหาร
บริเวณรอบเป็นระเบียบ ไม่มีน้ำเสีย ไม่มีกองขยะ
โต๊ะ เก้าอี้ แข็งแรงจัดเป็นระเบียบ
สะอาด เป็นอาหารสดต้องมีคุณภาพดี แยกเก็บเป็นสัดส่วน ระเบียบ พื้นทำด้วยวัสดุ แข็ง เรียบ ไม่ดูดซึมน้ำ ทำความสะอาดง่าย
มีการระบายอากาศที่ดีในการรับประทานอาหารสถานที่ปรุงอาหาร ไม่ปรุงบนพื้น โต๊ะเตรียมแรุงอาหารสูงจากพื้นอย่างน้อย 60 ซม อาหารและเครื่องดื่มในภาชนะที่ปิดสนิท
10.สุขาภิบาล
ความสะอาดของพื้น ผนังเพดาน โถส้วม ปัสสาวะที่กดปัสสวะ อ่างล้างมือ ก็อกน้ำ กระจก มีความสะอาด ไม่มีคราบสกปรกอยู่ในสภาพดี
ความเพียงพอ ส้วมสาธารณะพร้อมใช้งานตลอดเวลาเปิดให้บริการ
ห่างจากโรงครัว โรงอาหารไม่น้อยกว่า 30 เมตร
มีแสงสว่างอย่างน้อย50 ลักซ์
ความปลอดภัย บริเวณส้วมไม่อยู่ที่ลับตา ให้แยกห้องหญิง ชาย ออกจากกันโดยมีป้ายสัญลักษณ์ชัดเจน
3.ห้องเรียน
ห้องเรียนอนุบาลควรมีพื้นที่ที่กว้างกว่าห้องเรียนเด็กโต 50
และควรมีห้องน้ำห้องส้วม อ่างล้างมือ อยู่ในห้องเรียนหรือบริเวณใกล้เคียง
โต๊ะ เก้าอี้ ต้องมีขนาดเหมาะสมกับตัวเด็ก จัดให้มีช่องทางเดินระหว่างแถว แถวหน้าควรห่างจากกระดานดำไม่เกิน 2 เมตร แถวหลังสุดไม่ควรอยู่ห่างจากกระดานดำเกิน 9 เมตร
ควรเป็นสี่เหลี่ยมพื้นผ้า โดยมีขนาดไม่น้อยกว่า 1.5-2 ตร.ม/นร1 คน
11.การกำจัดขยะ
มีถังขยะ 1 ที่/ห้องและจุดพัก และทุกระยะทาง 50 เมตร
มีฝาปิดทำด้วยวัสดุแข็งแรงทนทานไม่รั่วซึม ทำความสะอาดได้
มีที่พักขยะรวม อย่างน้อย 1 ที่/1 โรงเรียน
1.พื้นที่สร้างโรงเรียน
ไม่ควรตั้งอยู่ใกล้ทางรถไฟหรือจราจรคับคั่ง โรงงานหรือตลาดสดที่เสียงดังรบกวน
ไม่ควรอยู่ห่างย่านชุมชนเกิน2กม.
ไม่เป็นพื้นที่เสี่ยงอันตราย
บริเวณโรงเรียนมีต้นไม้ใหญ่ใต้ร่มเงา มีม้านั่งประจำ
การคมนาคมสะดวก
พื้นที่ขนาดเหมาะสมกับจำนวนนักเรียน
มีพื้นที่สนามและบริเวณพักผ่อนไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่บริเวณโรงเรียน
12.สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
การจัดการสิ่งแวดล้อมในสนามเด็กเล่น
การติดตั้งเครื่องเล่นสนามต้องคำนึงถึงการฝังรากฐานหรือการยึดติดกับพื้นที่การตก
การจัดวางเครื่องเล่นสนามควรมีระยะห่าง 1.5-1.8เมตรโดยรอบ
พื้นที่สนามควรปูพื้นสนามด้วยทรายหนา 30 เซนติเมตร หรือ ปูพื้นด้วยยางสังเคราะห์
การดูแลตรวจสอบควรมีคู่มือติดตั้ง มีอะไหล่ วัสดุ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาใช้บำรุงรักษา
สุขศึกษาในโรงเรียน
วัตถุประสงค์
1.เพื่อให้เด็กวัยเรียนและเยาวชนมีทักษะสุขภาพและทักษะชีวิต
2.เพื่อให้เด็กวัยเรียนและเยาวชนมีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมติดตัวไปสู่วัยผู้ใหญ่
เรื่องที่ควรสอนสุขศึกษา
5.งดบุหรี่ สุรา สารเสพติด การพนันและสำส่อนทางเพศ
6.การสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น
4.กินอาหารที่สุก สะอาด
7.การป้องกันอุบัติภัยด้วยความไม่ประมาท
3.การล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหารและหลังขับถ่าย
8.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
2.การรักษาฟันและแปรงฟันทุกวันอย่างถูกต้อง
9.ทำจิตใจให้ร่าเริงอยู่เสนอ
1.การดูแลรักษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด
10.มีสำนึกต่อส่วนรวม ร่วมสร้างสรรค์สังคม
การตรวจสุขภาพนักเรียน
การตรวจ
ท่าที่ 5-สำหรับนักเรียนหญิง ใช้มือขวาเปิดผมไปทัดไว้ที่ด้านหลังหูขวา หันหน้าไปทางซ้ายส่วนนักเรียนชายหันหน้าไปทางซ้ายเท่านั้น
ท่าที่ 7ให้กัดฟันและยิ้มกว้าง ให้เห็นเหงือกเหนือฟันบน และเห็นฟันล่างให้เต็มที่
สิ่งที่สังเกต- ไก้แก่ ริมฝีปากซีดมาก เป็นแผลที่มุมปาก มุมปากเปื่อย เงือกบวมเป็นหนอง ฟันผุ ผิวหนังบริเวณใบหน้า
สิ่งที่สังเกต- เช่น เหา หูน้ำหนวก แผล ต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณหลังหู เป็นต้น
ท่าที่ 6-ในท่าเดียวกันนักเรียนหญิง ใช้มือซ้ายเปิดผมไปทัดไว้ด้านหลังหูซ้าย หันหน้าไปทางขวา ส่วนนักเรียนชายให้หันหน้าไปทางขวาเท่านั้น
ท่าที่ 8-ให้อ้าปากกว้างแลบลิ้นยาว พร้อมทั้งร้อง “อา” ให้ศีรษะเอนไปข้างหลังเล็กน้อย
สิ่งที่สังเกต- ได้แก่ คอแดง เจ็บ หรือเป็นฝ้าขาว ๆ ฟันผุ แผลแดงอักเสบบริเวณเยื่อบุจมูก มีน้ำมูก ไอ ต่อมทอลซิลโต
สิ่งที่สังเกต-ในเรื่องของโรคผิวหนัง การบวมโตของคอ ซึ่งอาจมีลักษณะของไทรอยด์โต เป็นต้น
ท่าที่ 4-ใช้มือทั้งสองข้าง ดึงคอเสื้อออกให้กว้าง ภายหลังที่ปลดกระดุมหน้าอกเสื้อ แล้วหมุนตัวซ้ายและขวาเล็กน้อยเพื่อจะได้เห็นรอบ ๆ บริเวณคอ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
ท่าที่ 9-สำหรับนักเรียนหญิง ให้แยกเท้าทั้งสองข้างห่างกัน 1 ฟุต ใช้มือทั้ง 2 ข้างจับกระโปรงดึงขึ้นเหนือเข่าทั้งสองข้าง ส่วนนักเรียนชายเพียงแยกเท้าทั้งสองข้างให้ห่างกัน 1 ฟุต
:
ท่าที่ 3-งอแขนพับข้อศอก ใช้นิ้วแตะเปลือกตาด้านล่างเบา ๆ ดึงเปลือกตาด้านล่างพร้อมกับเหลือกตาขึ้นและลง แล้วจึงกรอกตาไปด้านขวาและซ้าย
สิ่งที่สังเกต-ไก้แก่ ตาแดง ขี้ตา คันตา ขอบตาล่างแดงมากอักเสบ
ท่าที่ 10-นักเรียนหญิง ชาย อยู่ในท่าที่ 9 ให้กลับหลังหัน สังเกตด้านหลังบ้างแล้วให้เดินไปข้างหน้าประมาณ 4-5 ก้าว แลเวเดินกลับหันเข้าหาผู้ตรวจ
สิ่งผิดปกติที่ควรสังเกต- ความผิดปกติของรูปร่าง การโก่งงอของขา น่อง ความผิดปกติของฝ่าเท้า
ท่าที่ 1-ยื่นมือไปข้างหน้าให้สุดแขนทั้งสองข้าง คว่ำมอกางนิ้วทุกนิ้ว
สิ่งที่สังเกต-เล็บยาวสกปรก ผิวหนังบวมเป็นแผลตุ่มสากด้านข้าง
ท่าที่ 2-เป็นท่าต่อเนื่งจากท่าที่ 1 คือ พลิกมือ หงายมือ
สิ่งที่สังเกต-เกี่ยวกับ เล็บ ผิวหนัง แผล ผื่น ตุ่มคันหรือความพิการอื่น ๆ เช่น นิ้วเกิน เป็นต้น
การเตรียมนักเรียน
ให้นักเรียนทุกคนพับแขนเสื้อขึ้น ปลดกระดุมเสื้อบริเวณอกออก 1 เม็ด
ถอดรองเท้าถุงเท้า ทำท่าต่าง ๆ ให้นักเรียนดู และอธิบายถึงเหตุผลของการกระทำนั้น ๆ ด้วยให้เป็นที่เข้าใจเสียก่อน แล้วให้นักเรียนลองหัดทำจนเห็นว่าเข้าใจดีแล้ว เพื่อสะดวกและประหยัดเวลาสำหรับการตรวจ
การทดสอบการได้ยิน
วิธีการตรวจสอบสมรรถภาพหู
2.ให้ผู้ทำการทดสอบอยู่ทางด้านหลังของเด็กและถูนิ้วหัวแม่มือเข้ากับนิ้วชี้ 5-6 ครั้ง ที่ข้าง ๆ หูข้างใดข้างหนึ่งของเด็ก ห่างออกมาประมาณ 5 เซนติเมตร
3.ให้เด็กยกมือข้างที่หูตนเองได้ยิน (ให้เด็กยกมือค้างตลอด)
1.ให้เด็กที่จะทำการทดสอบนั่งเก้าอี้และปิดตา
4.ให้ทำข้อ 2 และ 3 ซ้ำไปมาเพื่อทดสอบว่าการได้ยินปกติหรือไม่
อุปกรณืที่ใช้ตรวจและการเตรียมตัว
2.เตรียมเก้าอี้ให้เด็กนั่ง
3.ให้ผู้ดำเนินการตรวจสอบทำนิ้วมือให้แห้งไว้เพื่อจะได้เกิดเสียงตอนถูนิ้วมือ
1.ปิดประตูและหน้าต่างของห้องที่จะทำการตรวจสอบเพื่อตัดเสียงรบกวน
การวัดสายตา
การเตรียมสถานที่
2.ต้องเป็นสถานที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ
3.มีแผ่นฝาเรียบทึบสำหรับติดแผนวัดสายตา
1.สถานที่มีความยาวไม่น้อยกว่า 6 เมตร
วิธีการวัดสายตา
2.กำหนดระยะห่างจากแผนวัดสายตาที่ระยะ 1,2,3,4,5, และ 6 เมตร
3.ให้นักเรียนยืนที่ระยะห่างจากแผ่นวัดสายตา 6 เมตร ใช้ Occluder ปิดตาซ้ายโดยไม่ให้กดลูกตา อ่านตัวเลขบนแผ่นป้ายวัดสายตาด้วยตาข้างขวา ตั้งแต่แถวบนสุดลงมาจนถึงแถวล่างสุด การตัดสินว่า “อ่านผ่าน” คือ ต้องอ่านตัวเลขถูกต้องเกินครึ่งของจำนวนตัวเลขในบรรทัดนั้น เช่น แถวที่มีตัวเลข 7 ตัว ต้องอ่านได้ถูกต้องอย่างน้อย 4 ตัว ถือว่า “อ่านผ่าน”
1.ติดแผ่นวัดสายตาโดยให้แถวสุดท้ายของแผ่นวัดสายตาอยู่ในระดับสายตาของนักเรียน
4.การบันทึกผลความสามารถในการมองเห็น (Visual Acuity =V.A.) เป็นเศษส่วนโดย เศษ หมายถึง ระยะทางที่ผ่านทดสอบยืน(6,5,4,3,2,1 เมตร) และส่วน หมายถึง ระยะตัวอักษรที่อ่านได้บนแผ่นวัดสายตา(6,9,12,18,24,36,60 เมตร)
5.ถ้าอ่านได้แถวล่างสุด (แถวที่มีตัวเลข 6 กำกับ) ถูกต้อง ถือว่ามีสายตาปกติ ให้บันทึกค่าสายตาที่วัดได้คือ 6/6 เมตร ถ้าอ่านไม่ได้ถึง 6/6 ให้บันทึกเลขส่วนของค่าสายตาที่นักเรียนอ่านได้ตามตัวเลขที่กำกับไว้ในแถวนั้น เช่น 6/9,6/12,6/18,6/24,6/36 หรือ 6/60 ในกรณีที่อ่านผิดให้บันทึกด้วย เช่น อ่านตัวเลขแถว 6/12 ผิดไป 2 ตัวก็บันทึกค่าสายตาเป็น 6/12-2
6.ในกรณีที่นักเรียนมีค่าสายตาต่ำกว่า 6/6 ให้นักเรียนโดยมองผ่านรู P.H.(Pinhole) แล้วอ่านแถวเดิมที่อ่านไม่ได้ ถ้าอ่านได้ถูกต้องแสดงว่าสายตาที่ต่ำกว่าปกติเกิดจากแสงหักเหคลาดเคลื่อน (Refractive error) จากสาเหตุสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง แต่ถ้ายังอ่านไม่ได้เหมือนเดิมแสดงว่าสายตาต่ำกว่าปกติจากสาเหตุโรคทางตา
7.ถ้าในระยะ 6 เมตร แล้วไม่สามารถมองเห้นตัวเลขที่บรรทัดบนสุดได้(แถวระยะ60 เมตร) ให้เลื่อนระยะที่ยืนให้ก้าวมาทีละ 1 เมตร แล้วอ่านตัวเลขเฉพาะแถวบนสุด จนกว่าจะอ่านได้ถ้าอ่านได้เมื่อยืนที่ระยะ 3 เมตร แสดงว่ามีค่าสายตา 3/60
8.ถ้ายืนที่ระยะ 1 เมตร แล้วไม่สามารถอ่านตัวเลขแถวบนสุดได้ (แถวระยะ 60 เมตร) ให้หยุดการทดสอบด้วย Snellen Chart แล้วทดสอบโดยการใช้นิ้วมือและไฟฉายต่อไป
9.กรณีที่นักเรียนสวมแว่นตาอยู่แล้วให้วัด 2 ครั้ง คือ วัดก่อนสวมแว่นตา แลัวบันทึกผลในช่อง “วัดสายตาไม่สวมแว่น” ต่อมาให้นักเรียนสวมแว่นแล้ววัดอีก 1 ครั้ง เพื่อจะได้ทราบว่า แว่นสายตาของนักเรียนเหมาะสมกับสายตาหรือไม่ แล้วบันทึกผลในช่อง “วัดสายตาสวมแว่น”
10.ให้ทดสอบตาข้างซ้ายด้วยวิธีเดียวกัน และบันทึกผลการตวจตัวอย่างการบันทึกผลค่า V.A ตาขวา 6/18 ตาซ้าย 6/36 ค่า V.A with Pin Hole ตาขวา 6/18 ตาซ้าย 6/12 ค่า V.A ไม่สวมแว่น ตาขวา 6/18 ตาซ้าย 6/36-1 ค่า V.A สวมแว่นตาขวา 6/6 ตาซ้าย 6/12
อุปกรณ์
ที่ปิดตา
สำลีชุบแอลกอฮอล์
เทปวัดระยะทาง
ถังขยะ
Snellen Chart/Box
ภาชนะใส่ที่ปิดตา
วัคซีน
ประถมศึกษาปีที่5
(นักเรียนหญิง)
HPV1 และ HPV2
(วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อเอชพีวี)
ประถมศึกษาปีที่6
dT
(วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก)
ประถมศึกษาปีที่1
(ตรวจสอบประวัติและเก็บตกวัคซีน)
dT
(วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก
IPV
(วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดฉีด)
LAJE
(วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้ออ่อนฤทธิ์)
MMR
(วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน)
HB
(วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี)
OPV
(วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน)
BCG
(วัคซีนป้องกันวัณโรค)
บันทึกสมุดสุขภาพนักเรียน (สค.3)
การลงบันทึกให้ลงผลตามสัญลักษณ์ที่กำหนดให้
การได้ยิน ให้ลงบันทึกทั้งหูซ้ายและหูขวา
โดยลงปกติหรือไม่ปกติ
การตรวจอวัยวะต่างๆ ปกติลงบันทึก 0 ผิดปกติลงบันทึก ระบุชื่อโรค/ความผิดปกติที่พบเป็นภาษาไทย ไม่ได้ตรวจลงบันทึก -
เช่น ผมศีรษะ =ไข่เหา, ตา = ตาบวม, หู = มีขี้หู, ปาก|ลิ้น = มีตุ่มน้ำ,
คอ = มีคราบไคล, ฟัน = ให้นับเฉพาะฟันแท้ผุเท่านั้น ถ้าผุให้ลงบันทึกว่า “ผุ..ซี่” ถ้าฟันน้ำนมผุ ให้ลงบันทึก= น้ำนมผุ
บันทึกการตรวจสายตา ให้ลงบันทึกทั้งซ้ายและตาขวา
หากสวมแว่นต้องวัดทั้งสวมแว่นและถอดแว่น
ลงบันทึกเป็นเศษส่วน โดย
เศษ:ระยะทางที่ผู้ถูกทดสอบยืน (6,5,4,3,2,1 เมตร)
ส่วน:ระยะตัวอักษรที่อ่านได้บนแผ่นวัดสายตา (6,9,12,18,24,36,60เมตร)
ความสะอาดของร่างกายและเสื้อผ้า ให้ลงบันทึกดังนี้
1= สะอาด นักเรียนที่มองดูมีความสะอาดทั้งร่างกายและเสื้อผ้า
2= พอใช้ นักเรียนที่มองดูร่างกายและเสื้อผ้าไม่ค่อยสะอาด
3= สกปรก นักเรียนที่มองดูร่างกายและเสื้อผ้าสกปรก
อายุ ให้ลงบันทึก ปี/เดือน
โดยให้คำนวณวันที่ตรวจ
ร่างกาย-วัน/เดือน/ปี
ข้อมูลลงบันทึกสมุดสุขภาพนักเรียน
ประวัติการเจ็บป่วย/ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว
การแพ้ยา
การผ่าตัด
โรค
การเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง
บันทึกการเจริญเติบโต ปีละ2ครั้ง
น้ำหนัก(กก.)
ส่วนสูง(ซม.)
อายุ ปี/เดือน
ภาวะการณ์เจริญเติบโต/ความสมบูรณ์ร่างกาย
ประวัติทั่วไป
การย้ายโรงเรียน
ชื่อ-สกุล บิดา มารดา ผู้ปกครอง
ที่อยู่
วัน เดือน ปีเกิด
ชื่อ-สกุล เพศ
ชื่อโรงเรียน สถานที่ตั้ง
วัน เดือน ปี ที่ขึ้นทะเบียน
การบริการอนามัยที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่สาธาณสุข
การสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน
การรักษาพยาบาล
ผลการตรวจสุขภาพ
การติดตามผลการรักษา