Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
มภร.10/1 Case Bed 21 Diagnosis : Cirrhosis with Ascites - Coggle Diagram
มภร.10/1 Case Bed 21
Diagnosis : Cirrhosis with Ascites
ข้อมูลผู้ป่วย
ผู้ป่วยชายไทย เตียง 21 ตึก มภร. 10/ 1
Admit วันที่ 22 /1/62 อายุ 51 ปี
อาการสำคัญ ( Chief Complaint )
ไข้สูง 1 ชั่วโมงก่อนโรงพยาบาล
อาการเจ็บป่วยปัจจุบัน ( Present illness )
1 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล ผู้ป่วยมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดท้องทั่วๆ ถ่ายเหลว 1 ครั้ง คลื่นไส้ อาเจียน จึงมา Emergency Room
อาการปัจจุบัน ( General Appearance )
1/02/64
ผู้ป่วยชายไทย อายุ 51 ปี รู้สึกตัวดี พูดคุยโต้ตอบได้ ช่วยเหลือตนเองได้บนเตียง เช่น แปรงฟัน รับประทานอาหาร เช็ดหน้า เช็ดตัว ผมสั้นสีดำปนขาว สีผิวเหลือง ตาเหลือง scleraเหลือง หูทั้ง2ข้างไม่ค่อยได้ยิน ปากมีสีคล้ำ ไม่มีความชุ่มชื้น ฟันไม่ครบ32 ซี่และมีสีเหลือง หายใจ room air รับประทานอาหารได้เองทางปาก อาหารอ่อน DM เพิ่มไข่ขาว 2 ฟองต่อมื้อ คอปกติ ไม่มีเส้นเลือดที่คอโป่งพอง on injection plug แขนซ้ายและแขนขวา ผิวหนัง ขาดความชุ่มชื้น ท้องบวมโต และtop gauze ที่หน้าท้องจากการทำ abdominal tapping ปัสสาวะและอุจจาระในแพมเพิส มีรอยจ้ำที่ข้อเท้าซ้าย ขาทั้งสองข้างบวม กดบุ๋ม 2+
สัญญาณชีพ : T= 37.1 องศาเซลเซียส
Pulse = 98 ครั้งต่อนาที
อัตราการหายใจ = 19 ครั้งต่อนาที
BP = 100/66 mmHg
Oxygen satulation = 98 %
2/02/64
ผู้ป่วยชายไทย อายุ 51 ปี รู้สึกตัวดี สีหน้าสดใส พูดคุยโต้ตอบได้ ช่วยเหลือตนเองได้บนเตียง เช่น แปรงฟัน รับประทานอาหาร เช็ดหน้า เช็ดตัว ผมสั้นสีดำปนขาว ผิวคล้ำแห้ง ไม่มีความชุ่มชื่น ตาเหลือง sclera เหลือง หูทั้ง 2 ข้างไม่ค่อยได้ยิน ปากสีคล้ำแห้ง ฟันไม่ครบ 32 ซี่และมีสีเหลือง หายใจ Room air หายใจเหนื่อย รับประทานเองได้ทางปาก อาหารอ่อนDM เพิ่มไข่ขาว 2 ฟองต่อมื้อ คอปกติ ไม่มีเส้นเลือดที่คอโป่งพอง off injec plug ที่แขนขวา ท้องบวมโต top gauze ที่หน้าท้องจากการทำ abdominal tapping ปัสสาวะ 250 ซีซี อุจจาระ 1 ครั้งลักษณะนิ่มใน
แพมเพิส มีรอยจ้ำที่ข้อเท้าทางซ้าย ขาทั้งสองข้างบวม
กดบุ๋ม 2+ รอบท้อง 106 เซนติเมตร
สัญญาณชีพ T=36.6 องศาเซลเซียส
Pulse = 100 ครั้งต่อนาที
อัตราการหายใจ = 20 ครั้ง/นาที
BP= 121/70 mmHg
Oxygen satulation = 99%
3/02/64
ผู้ป่วยชายไทย อายุ 51 ปี รู้สึกตัวดี สีหน้าสดใส พูดคุยโต้ตอบได้ อ่อนเพลียเล็กน้อย ช่วยเหลือตนเองได้บนเตียง เช่น แปรงฟัน รับประทานอาหาร เช็ดหน้า เช็ดตัว ผมสั้นดำปนขาว ผิวคล้ำแห้ง ไม่มีความชุ่มชื้น ตาเหลือง ตาเหลือง sclera เหลืองหูทั้ง 2 ข้างไม่ค่อยได้ยิน ปากสีคล้ำแห้ง ฟันไม่ครบ 32 ซี่และมีสีเหลือง หายใจ Room air หายใจเหนื่อย รับประทานเองได้ทางปาก อาหารอ่อน DM เพิ่มไข่ขาว 2 ฟองต่อมื้อ คอปกติไม่มีเส้นเลือดที่คอโป่งพอง ท้องบวมโต ปวดแน่นมากขึ้น top gauze ที่หน้าท้องจากการทำ abdominal tapping ปัสสาวะ 600 ซีซี อุจจาระ 2 ครั้ง ลักษณะเป็นน้ำสีเหลืองในแพมเพิส มีรอยจ้ำที่ข้อเท้าซ้าย ขาทั้งสองข้างบวมกดบุ๋ม 2+ รอบท้อง 106 ซม.
สัญญาณชีพ T= 36.8 องศาเซลเซียส
Pulse = 96 ครั้งต่อนาที
อัตราการหายใจ = 20 ครั้งต่อนาที
BP= 117/71 mmHg
Oxygen satulation = 100%
4/02/64
ผู้ป่วยชายไทย อายุ 51 ปี รู้สึกตัวดี สีหน้าสดใส พูดคุยโต้ตอบได้ อ่อนเพลียเล็กน้อย ช่วยเหลือตนเองได้บนเตียง เช่น แปรงฟัน รับประทานอาหาร เช็ดหน้า เช็ดตัว ผมสั้นดำปนขาว ผิวคล้ำแห้ง ไม่มีความชุ่มชื้น ตาเหลือง sclera เหลืองหูทั้ง 2 ข้างไม่ค่อยได้ยิน ปานสีคล้ำแห้ง ฟันไม่ครบ 32 ซี่และมีสีเหลือง หายใจ Room air หายใจเหนื่อย รับประทานอาหารเองได้ทางปาก อาหารอ่อน DM เพิ่มไข่ขาว 2 ฟองต่อมื้อ คอปกติไม่มีเส้นเลือดที่คอโป่งพอง ท้องบวมโต Abdominal tapping หน้าท้องด้านขวา 2500 ml มี top gauze ที่หน้าท้องจากการทำ abdominal tapping ปัสสาวะ 400 ซีซี ขาทั้งสองข้างบวมกดบุ๋ม 2+ รอบท้อง 106 ซม.
สัญญาณชีพ T= 36.7 องศาเซลเซียส
Pulse = 96 ครั้งต่อนาที
อัตราการหายใจ = 20 ครั้งต่อนาที
BP= 107/60 mmHg
Oxygen satulation = 97 %
การเจ็บป่วยในอดีต ( Past History illness )
Alcoholic hepatitis
Alocoholic dependence
Alcoholic cirrhosis
มีประวัติ ดื่มสุราเป็นประจำทุกวันมา 30 ปีเลิกเมื่อ 27/12 63 สูบบุหรี่ รักษาด้วยยาหม้อ
ประวัติการแพ้ยา ( Drug Allergy )
ไม่มีประวัติการแพ้
ยา
ZINC OXIDE CREAM 20% 30 GM. ทาบริเวณที่เป็น วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น
ข้อบ่งใช้ : ใช้ภายนอกสำหรับลดอาการระคายผิวหนัง ออกฤทธิ์ช่วยปกป้องผิวจากสารก่อความระคายเคืองและความชื้น ใช้รักษาโรคผื่นผ้าอ้อม ลมพิษ ผื่นคัน แผลไฟไหม้ที่ไม่รุนแรง หรือผิวแตก
ผลข้างเคียง : อาจมีอาการระคายเคืองบริเวณผิวหนัง
MEPENEM 1 GM. INJ. ให้ 1 g IV q 8 Hrs. (อนุมัติ 10 วัน) + สารน้ำ 0.9% Nacl
ข้อบ่งใช้ : รักษาการติดเชื้อภายในช่องท้อง
ผลข้างเคียง : ปวดบริเวณที่ฉีด มีผลต่อระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก อาการแสบเส้น เกิดพิษเนื้อตายบริเวณผิวหนัง ปวดศรีษะ
VASALINE 30 GM. ทาบริเวณที่เป็น วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น
ข้อบ่งใช้ : ทาป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง ถนอมความชุ่มชื่นให้อยู่กับผิวหนัง
ผลข้างเคียง : อาจเกิดการระคายเคืองได้
BACIDAL 2% OINT 5 GM.( MUPIROCIN 2 % OINT 5 GM .) ทาวันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น
ข้อบ่งใช้ : ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ใช้รักษาการติดเชื้อที่ผิวหนัง
ผลข้างเคียง: แสบ คัน และระคายเคือง
UNIMA ENEMA (SOD. BIPHOSPHATE + SOD.PHOSPHATE SOL. ) 7/19GM. 118 ML.IN 133 ML BOTTLE
ใช้สวนทวารหนักเวลาท้องผูก
ข้อบ่งใช้ : รักษาอาการท้องผูก
ผลข้างเคียง : อาจทำให้ปวดท้อง ท้องเดิน
OMEPRAZOLE CAPSULES 20 MG. (GPO)
รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร เช้า เย็น
ข้อบ่งใช้ : รักษาอาการกรดไหลย้อนหรือโรคที่มีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป รักษาโรคหลอดอาหารอักเสบจากกรดในกระเพาะ และยังใช้ควบคู่กับยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ไพโลไร (H. pylori)
ผลข้างเคียง : ปวดศรีษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง มีแก๊สในกระเพาะอาหาร
B CO - ED TAB ( VITAMIN B COMPLEX TAD )
รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น
ข้อบ่งใช้ : รักษาและป้องกันการขาดวิตามินบีชนิดต่าง ๆ เนื่องมาจากทุพภาวะโภชนาการ โรคบางชนิด ติดสุรา หรืออยู่ในช่วงตั้งครรภ์
ผลข้างเคียง : อาจมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย รู้สึกวูบวาบได้เล็กน้อย
HEPALAC SYRUP 100 ML.( LACTULOSE 66.7% SYR. 100 ML.) รับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ (30 cc) วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน เวลามีอาการ
ข้อบ่งใช้ : รักษาอาการท้องผูก เพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้ รักษาผู้ป่วยโรคตับที่มีระดับแอมโมเนียในเลือดสูงโดยจะช่วยดูดแอมโมเนียมาที่ลำไส้แล้วขับออกไปทางทวารหนัก
ผลข้างเคียง : ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้
INSULATARD HM 100 IU/ML.INJ 10 ML. ( INSULIN ISOPHANE 100 IU/ML. INJ.10 ML. )
ฉีดใต้ผิวหนัง ก่อนอาหาร เช้า 8 ยูนิต
ข้อบ่งใช้ : ลดน้ำตาลในเลือด
ผลข้างเคียง : อาจทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ ปวดบริเวณที่ฉีด ผิวหนังบริเวณที่ฉีดบุบหรือช้ำ ผื่นแพ้ คัน
SODIUM BICARBONATE 300 MG. TAB
( SODIUM BICARBONATE 300 MG. TAB )
รับประทานครั้งละ 2 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น
ข้อบ่งใช้ : รักษาภาวะเลือดเป็นกรด ปรับปัสสาวะให้เป็นด่าง บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย
ผลข้างเคียง : ภาวะเกลือโซเดียมต่ำ ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ อาการปวดบีบท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ผายลม
FUROSEMIDE 40 MG.TAB. ( FUROSEMIDE 40 MG. TAB. ) รับประทานครั้งละ 1/2 เม็ด วันละ 1 ครั้ง หลังอาหารเช้า
ข้อบ่งใช้ : ขับปัสสาวะ ลดอาการบวมน้ำ และลดความดันโลหิต
ผลข้างเคียง : ระดับโซเดียมในกระแสเลือดต่ำ ภาวะเลือดเป็นด่าง ระดับโพแทสเซียมในกระแสเลือดต่ำ ปวดศีรษะ ง่วงซึม เกร็งกล้ามเนื้อ ตะคริว ความดันโลหิตต่ำ
HYLES 100 MG. TAB.( SPIRONOLACTONE 100 MG. TAB. ) รับประทานครั้งละ 1/2 เม็ด วันละ 1 ครั้ง หลังอาหารเช้า
ข้อบ่งใช้ : ใช้ขับปัสสาวะ รักษาอาการบวมน้ำ ความดันโลหิตสูง โพแทสเซียมในเลือดต่ำ
ผลข้างเคียง : อาจเกิดอาการเกลือแร่ในร่างกายขาดสมดุล เช่น ปากแห้ง กระหายน้ำ ง่วงซึม ไม่มีแรง
PHOSPHATE SOLUTION 180 CC. ( PHOSPHATE SOLUTION 180 ML. )
รับประทานครั้งละ 10 cc. วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร (1day)
ข้อบ่งใช้ : รักษาภาวะ Hypophosphatemia
ใช้สำหรับเป็นยาเสริมกับยาต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทางเดินปัสสาวะ (Adjunct to urinary antibacterials) และใช้ป้องกันโรคนิ่วในไต (Prophylaxis of calcium renal calculi)
ผลข้างเคียง : หัวใจเต้นผิดปกติ ปวดศีรษะ มึนงง ชา หายใจลำบาก
CHELAMAG 100 MG. TAB .
( MAGNESIUM 100 MG.TAB )
รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร (3 day)
ข้อบ่งใช้ : รักษาอาการจากภาวะแมกนีเซียมในเลือดต่ำ และใช้เสริมระดับแมกนีเซียมในร่างกาย
ผลข้างเคียง : ปวดท้อง ท้องอืด และท้องเสีย
LAB ค่าที่ผิดปกติ
Complete Blood count
Coagulation test
31/01/64
PT (Prothrombin time )18.5 สูง(ค่าปกติ 10.3-12.8)
แสดงถึง โรคตับ, ขาด vitamin K, ขาด factor VII
INR ( international normalized ratio ) 1.62 สูง( ค่าปกติ 0.88- 1.11 ) แสดงถึง เลือดแข็งตัวช้า
APTT ( Activated Partial Thromboplastin Time) 40.3 สูง ( ค่าปกติ 22.4- 30.6 ) แสดงถึง อาจเกิดโรคตับแข็ง
31/01/64
Hemoglobin ( Hb ) 9.4 g/dL ต่ำ (ค่าปกติ|12.8-16.1) แสดงถึงการเกิดภาวะโลหิตจาง
Hematocrit (Hct) 28.3 % ต่ำ ( ค่าปกติ 38.2-48.3) แสดงถึงการเกิดภาวะโลหิตจาง
Red Blood cell 2.83 10^ 6/ul ต่ำ ( ค่าปกติ 4.03-5.55 10^ 6/ul ) แสดงถึงการเกิดภาวะโลหิตจาง
MCV ( Mean Corpuscular Hemoglobin) 99.9 fL สูง(ค่าปกติ 78.9-98.6 fL แสดงถึง เกิดภาวะโลหิตจาง
RDW ( RBC distribution width ) 19.1 %สูง ( ค่าปกติ ) 11.8- 15.2% ) แสดงถึง การเกิดภาวะโลหิตจางบางอย่าง
WBC ( White Blood cell ) 11.85 10^3/uL สูง ( ค่าปกติ 4.03-10.77 10^3/uL ) แสดงว่า การเกิดการอักเสบติดเชื้อในร่างกาย
Neutrophils 77.6 %สูง ( ค่าปกติ 48.1- 71.2% ) แสดงถึง การติดเชื้อ หรือเกิดการอักเสบ
Lymphocyte 8.9%ต่ำ ( ค่าปกติ 21.1-42.7%) แสดงถึง การเกิดโรคจากการติดเชื้อ
Monocyte 10.6%สูง ( ค่าปกติ 3.3-10.2% ) แสดงถึง ร่างกายได้รับการติดเชื้อในบางโรค
Platelet count 124 10^3/uLต่ำ (ค่าปกติ 154-384 10^3uL) แสดงถึง เซลล์เกล็ดเลือดลดลง มาจากหลายสาเหตุ เช่น จากไวรัส จากการติดเชื้อ
เคมีคลินิก
31/01/64
Creatinine 0.67 mg/dL (Normal 0.73-1.18 mg/dL)
มีความเสี่ยงภาวะขาดสารอาหาร ดูดซึมอาหารไม่ดี กล้ามเนื้ออ่อนแรง
Total Protein 6.0 g/dL (Normal 6.4-8.3 g/dL)
ตับทำงานผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถผลิตโปรตีนออกมาได้ในระดับที่ควร
Albumin 1.7 g/dL (Normal 3.5-5.2 g/dL)
ตับทำหน้าที่สังเคราะห์สารบางอย่างไม่ได้
Globulin 4.3 g/dL (Normal 2.7-3.5 g/dL)
อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย
Direct Billirubin 10.62 mg/dL (Normal 0.0-0.5 mg/dL)
อาจมีปัญหาที่ถุงน้ำดีจึงทำให้ค่าสูงล้นเข้าสู่กระแสเลือด
Total Bilirubin 14.19 mg/dL (Normal 0.2-1.2 mg/dL)
เนื่องจากตับเปลี่ยน bilirubin ให้กลายเป็น direct bilirubin ไม่ทัน
จึงทำให้ค่าสูงขึ้น
Alk.phosphatase 164 U/L (Normal 40-150 U/L)
อาจเกิดจากโรคตับอักเสบ
AST (SGOT) 76 U/L (Normal 5-34 U/L)
อาจเกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อหัวใจ ตับ ตับอ่อน
Phosphorus 2.1 mg/dL (Normal 2.3-4.7 mg/dL)
อาจเกิดจากดื่มแอลกอฮอล์จัด
Sodium 128 mmol/L (Normal 136-145 mmol/L)
อาจเกิดภาวะ hyponatremia
CO2 17.3 mmol/L (Normal 22-29 mmol/L)
อาจเกิดสภาวะความเป็นกรดจากโรคเบาหวาน
3/02/64
Creatinine 0.59 mg/dL (Normal 0.73-1.18 mg/dL
ต่ำกว่าปกติ มีความเสี่ยงภาวะขาดสารอาหาร ดูดซึมอาหารไม่ดี กล้ามเนื้ออ่อนแรง
Albumin 1.6 mg/dL ( Normal 3.5-6.2 mg/dL )
ต่ำกว่าปกติ ตับสังเคราะห์โปรตีนไม่ได้
Calcium 7.2 ( Normal 8.8-10.6 mg/dL)
ต่ำกว่าปกติ เกิดจากหลายสาเหตุ เช่นขาดสารอาหาร โรคตับ ไตวาย
Phosphorus 2.0 mg/dL ( Normal 2.3-4.7 mg/dL)
ต่ำกว่าปกติ เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์
Magnesium 1.42 mg/dL ( 1.6-2.6 mg/dL )
ต่ำกว่าปกติ มาจากหลายสาเหตุเช่น การใช้ยาลดกรดไหลย้อน ยาปฏิชีวนะ โรคไต
Sodium 127mmol/L ( Normal 136-145 mmol /L )
ต่ำกว่าปกติ เกิดภาวะ hyponatremia
Co2 18.1 mmol/L ( Normal 22-29 mmol/L )
ต่ำกว่าปกติ อาจเกิดจากโรคตับ โรคไต
จุลชีววิทยา
31/01/64
specimen : Abdomen Fluid
Gram stain
No microorganisms found
พยาธิสภาพของโรค
พยาธิสรีรวิทยาของตับแข็ง
เกิดจากมีการตายของเซลล์ตับ ทำให้เกิดเป็นพังผืด (fibrosis) และแผลเป็น (scar) อุดกั้นการไหลเวียนเลือดในตับ เซลล์ตับที่งอกใหม่มีลักษณะเป็นปุ่ม (nodules) เป็นผลให้โครงสร้างและประสิทธิภาพของเซลล์ตับเปลี่ยนแปลง เกิดความไม่สมดุลของสารน้ำ และ แร่ธาตุ ไม่สามารถเผาผลาญฮอร์โมนและกำจัดของเสียออกจากร่างกาย รวมทั้งไม่สามารถดูดซึมไขมันและวิตามินที่ละลายในไขมันได้ ในระยะแรกจะมีอาการไม่ชัดเจน ตับแข็งที่ยังทำงานได้ดีเรียก ว่าระยะ compensate cirrhosis แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงภายในเซลล์ตับมากขึ้น หลอดเลือดใน ตับจึงหลั่งไนตริกออกไซด์ (nitric oxide) และ กลูคากอน (glucagon) ทำให้เกิดการขยายตัวทั้ง หลอดเลือดดำ และหลอดเลือดแดง เป็นผลให้ความ ดันในหลอดเลือดพอร์ทัลสูง จนเกิดการย้อนกลับ ของเลือดในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้แรงดัน ในหลอดเลือดฝอยสูงขึ้น
มีการรั่วซึมของสาร น้ำ เข้าไปในช่องท้อง เกิดภาวะท้องมาน โซเดียม และสารน้ำ คั่งในร่างกาย ส่งผลให้ผู้รับบริการมี ระดับโซเดียมในเลือดต่ำ ระยะนี้จะเรียกว่า decompensated cirrhosis ขณะเดียวกันเลือดไม่ สามารถไหลผ่านตับเข้า Inferior vena cava เพื่อ กลับเข้าสู่หัวใจได้ ส่งผลให้ cardiac output ลดลง ร่างกายจึงกระตุ้นฮอร์โมน renin-AngiotensinAldosterone system (RAAS) เพื่อเพิ่มปริมาณ น้ำ และโซเดียมในระบบไหลเวียนเลือด ขณะ เดียวกันความสามารถของไตจะลดลง เป็นผลให้ เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา อัตราการเสีย ชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนจึงเพิ่มมากขึ้น
การประเมินระดับความรุนแรงจากพยาธิสภาพของโรคตับแข็ง
(Child turcotte Pugh ctp scoring system)
ใช้การรวบรวมและบันทึกคะแนนจาก parameter 5 ตัว ดังนี้
Total bilirubin
น้อยกว่า 2 = 1 คะแนน
2.0-3.0 = 2 คะแนน
มากกว่า 3.0 = 3 คะแนน
Ascites
None = 1 คะแนน
Mild to moderate = 2 คะแนน
Severe หรือไม่ตอบสนองต่อยาขับปัสสาวะ = 3 คะแนน
Hepatic Encephalopathy (grade)
None = 1 คะแนน
Mild to moderate (grade 1 or 2) = 2 คะแนน
Severe หรือไม่ตอบสนองต่อยาขับปัสสาวะ (grade 3 or 4) = 3 คะแนน
Serum albumin (gm/dl)
มากกว่า 3.5 = 1 คะแนน
2.8-3.5 = 2 คะแนน
น้อยกว่า 2.8 = 3 คะแนน
Prothrombin time
1) Prolonged ยาวนานกว่าปกติ (วินาที)
น้อยกว่า 4 = 1 คะแนน
4-6= 2 คะแนน
มากกว่า 6 = 3 คะแนน
2) INR
น้อยกว่า 1.7 = 1 คะแนน
1.7-2.3 = 2 คะแนน
มากกว่า 2.3 = 3 คะแนน
แบ่งประเภทตามระดับความรุนแรงจากพยาธิสภาพของโรคตับแข็ง
Child class A :score 5-6
สามารถการรักษาทางทันตกรรม ทั่วไปท่ีไม่ทำให้เกิดบาดแผล
เลือดออกได้อย่างระมัดระวัง
ระมัดระวังการทำหัตถการท่ีทำให้เกิดบาดแผลเลือดออก*
พิจารณาใช้สารห้ามเลือดเฉพาะที่
Child class B : score 7-9
ควรให้การรักษาในโรงพยาบาล
ให้การรักษาทางทันตกรรม เท่าที่จำเป็นและใช้ระยะเวลาสั้นๆ
พิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อก่อนทำหัตถการ
ควรเตรียมการห้ามเลือด เฉพาะที่ให้พร้อมก่อนการรักษา
ระวังปริมาณยาชาที่ใช้ ปรับลดขนาดยาที่มีเมตตาบอลิซึมผ่านตับ
Child class C : score 10-15
ควรทำการรักษาในโรงพยาบาล
ให้การรักษาเฉพาะทันตกรรมฉุกเฉิน
พิจารณาให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อก่อนทำหัตถการ
ควรเตรียมการห้ามเลือดเฉพาะที่ให้ พร้อมก่อนการรักษา
ระวังปริมาณยาชาที่ใช้
ระวังการฉีกขาดหรือชอกช้ำของเนื้อเยื่ออ่อน
เฝ้าระวังภาวะเลือดออกผิดปกติหลังทำหัตถการ
อาจต้องให้ส่วนประกอบเลือดทดแทนกรณีท่ีมีเลือดออกผิดปกติ
หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่เมตาบอริซึมผ่านตับหรือเป็นพิษต่อ
สาเหตุและปัจจัย
ตับแข็ง
แบ่งออกตามกายวิภาค
1.1 Micronodular cirrhosis จะพบ
การงอกใหม่ของเซลล์ตับเป็นปุ่มเล็กขนาดเกือบเท่า ๆ กัน ประมาณไม่เกิน 1 ซม. สาเหตุเกิดจากการที่มีสารทำลายเซลล์ตับเป็นเวลานาน ๆ ที่พบบ่อยคือแอลกอฮอล์
1.2 Macronodular Cirrhosis เซลล์ตับงอกใหม่เป็นปุ่มขนาดใหญ่ไม่เท่ากันมีการตายของเซลล์ค่อนข้างมากและมีแผลเป็นหนาอยู่ทั่วๆไปมักเกิดตามหลังการเป็นตับอักเสบไวรัสบี
1.3 Mixed type เป็นเซลล์ตับงอกใหม่ที่มีทั้งปุ่มเล็กและปุ่มใหญ่รวมอยู่ด้วยกัน
ตับแข็ง
แบ่งตามสาเหตุที่พบบ่อย
2.1 Postnecrotic cirrhosis เซลล์ตับถูกทำลายภายหลังการติดเชื้อได้รับสารเคมีสารพิษหรือยาบางชนิดพบบ่อยภายหลังการเกิดตับอักเสบจากเชื้อไวรัสบีขนาดของตับลดลงและมีการสร้างปุ่มแบบMacronodular จำนวนมากโดยมีเนื้อเยื่อพังผืดแยกออกจากกัน
2.2 Laenec's cirrhosis, Alcoholic เป็นตับแข็งที่พบบ่อยมากที่สุด เกิดจากพิษสุราเรื้อรังเซลล์งอกใหม่เป็นแบบ Micronudular
2.3 Biliary cirrhosis เป็นผลจากโครงสร้างของตับรอบ ๆ ท่อทางเดินน้ำดีเสียไปทำให้การขับน้ำดีลดน้อยลงเกิดมีการคั่งของน้ำดีในท่อน้ำดีเล็ก ๆภายในตับหรืออาจมีการอุดตันของทางเดินน้ำดีภายนอกตับตับโตเชลล์ตับมีการเปลี่ยนแปลงแบบ Macronodular
2.4 Cardiac cirrhosis เกิดขึ้นจากความผิดปกติของหัวใจ เช่นภาวะหัวใจด้านขวาวายอย่างรุนแรงมีการบีบรัดของเยื่อหุ้มหัวใจเป็นเวลานานมักเกิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจมานาน
อาการและอาการแสดง
ระยะแรกอาจไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยมาก อาการจะไม่จำเพาะต่อโรค เนื่องจากตับยังสูญเสียหน้าที่ไม่มาก เช่น อ่อนเพลีย น้ำ หนักลด เบื่ออาหาร
ดีซ่าน (jaundice)
มีตาเหลืองตัวเหลืองเกิดจากตับไม่สามารถขับ bilirubin ออกได้ จึงเกิดการคั่งในตับและถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดแล้วไป สะสมที่ชั้นไขมันใต้ผิวหนังเกิดตัวเหลือง และไปสะสมที่ชั้นนอกของลูกตา (sclera) โดยจับกับโปรตีนอีลาสตินทำให้ตาเหลือง
อาการคัน (itching)
เกิดจากสารใน bilirubin คั่งในชั้นไขมันใต้ผิวหนังไปกระตุ้นปลายประสาทที่รับความรู้สึกชนิดคัน
ท้องมาน (ascites)
และบวมตามร่างกาย (edema)
เกิดจากตับสร้างอัลบูมินลดลงทำให้น้ำและโซเดียมรั่วออกจากหลอดเลือดไป สะสมตามช่องว่างระหว่างเซลล์และช่องในร่างกาย เช่น ช่องท้อง
เกิดรอยฟกช้ำและจ้ำเลือดตามตัว
เนื่องจากตับสร้างโปรตีนที่เป็นปัจจัยการแข็งตัวของเลือดลดลง ได้แก่ factor I (fibrinogen), factor II (prothrombin), factor V, VII, IX, X, XI, protein C, protein S และ antithrombin ทำให้เลือดออกง่ายแต่หยุดยากเกิดรอยจ้ำ เลือดตามตัว และเลือดออกตามไรฟันได้
อาการทางสมอง (hepatic encephalopathy)
เกิดจากตับไม่สามารถเปลี่ยนแอมโมเนียไปเป็นยูเรียได้ ทำ ให้ระดับแอมโมเนียสูงและผ่านเข้าสู่สมอง เกิดอาการทางสมองในที่สุด
หลอดเลือดดำรอบสะดือโป่งพอง (caput medusae)
เกิดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของตับและเลือด ไม่สามารถไหลผ่านหลอดเลือด พอร์ทัล (portal vein) ได้ ทำให้เกิดภาวะ portal hypertension จึงเกิดแรงดันย้อนกลับทางหลอดเลือดดำที่ผนังหน้าท้อง (epigastric vein) ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือดรอบๆสะดือ ผิวหนังโดยรอบจึงพบ spider nevi มีลักษณะเป็นจุดแดงตรงกลางและมีขาแตกแขนงออกไปคล้ายขาแมงมุม
ม้ามโต (splenomegaly)
เกิดจากมีภาวะ portal hypertension และเลือดไม่สามารถไหลผ่าน Portal vein จึงย้อนกลับเข้าหลอดเลือดดำของม้าม (splenic vein) ทำให้เกิดม้ามโตได้
หลอดเลือดดำ บริเวณทางเดินอาหารโป่งพอง (esophageal varices)
เมื่อเลือดไม่สามารถไหลผ่าน portal vein จนเกิดภาวะ portal hypertension ทำให้เลือดดำไหลผ่านหลอดเลือดดำของกระเพาะอาหารด้านซ้าย (left gastric vein) เข้าสู่หลอดเลือดดำบริเวณหลอดอาหาร (esophageal vein) ทำให้เกิดการโป่งพองของหลอดเลือดดำในชั้น submucosa
ถ่ายอุจจาระดำ (melena) หรืออาเจียนเป็นเลือด (hematemesis)
เกิดจากมีภาวะแรงดันสูงในระบบหลอดเลือดดำของตับ (portal hypertension) เป็นผลให้หลอดเลือดดำบริเวณหลอดอาหาร และกระเพาะอาหารขยายตัวออก (varices) หลอดเลือดดำ เหล่านี้จึงมีผนังบางและแตกง่าย หากมีความดันภายในหลอดเลือดสูงมาก หลอดเลือดดำนี้จะแตกและเกิดภาวะเลือดออกในหลอดอาหารหรือกระเพาะอาหารได้ ผู้ป่วยจะมีอาการ ถ่ายดำ หรืออาเจียนเป็นเลือด
รอยแดงบริเวณฝ่ามือ (palmer erythema)
เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมน estrogen และตับไม่สามารถเผาผลาญสเตียรอยด์ฮอร์โมนได้
ผู้รับบริการจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ต่อมหมวกไตผลิตฮอร์โมน estrogen มากขึ้น ทำให้
ผู้ชายมีเต้านมโต (gynaecomastia)
ระดับความเข้มข้นของฮอร์โมน testosterone ลดลง ทำให้อวัยวะเพศชายมีขนาดเล็กลง ความรู้สึกทางเพศลดลง ผู้หญิงมีความผิดปกติของประจำเดือน
ติดเชื้อง่าย
เนื่องจากเม็ดเลือดขาวหรือแมคโครฟาจ (macrophage) ที่อยู่ในตับ ซึ่งเรียก ว่า kuffer cell ไม่สามารถทำงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อได้ง่าย
การวินิจฉัยโรค
ซักประวัติหาปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดตับแข็งและตรวจร่างเพื่อหาสิ่งแสดงว่าเป็นตับแข็งหรือไม่ เช่น ตัวเหลืองตาเหลือง ท้อง และเท้าบวม ฝ่ามือแดง palma erythema มีจุดแดง spider telangiectasia ตามตัวหรือไม่ คลำตับพบว่า ผิวแข็งขรุขระ ขอบไม่เรียบ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ แพทย์จะเจาะเลือดตรวจการทำงานของตับความผิดปกติที่อาจพบได้คือ ไข่ขาวต่ำ มีการคั่งของน้ำดี bilirubin บางรายอาจตรวจ ultrasound หรือเจาะเนื้อตับ
การรักษา
รักษาสาเหตุ ขึ้นกับว่าต้นเหตุเกิดจากอะไรก็รักษาไปตามสาเหตุ เช่นถ้าเกิดจากสุราก็ให้หยุดสุรา เกิดจากยาก็ให้หยุดยา เกิดจากไวรัสก็ให้ยาบางชนิด โรคตับแข็งรักษาให้หายขาดไม่ได้แต่สามารถชะลอหรือหยุดการดำเนินของโรค
รักษาโรคแทรกซ้อน
ท้องมานและบวมหลังเท้า แนะนำให้ลดอาหารเค็ม และจะให้ยาขับปัสสาวะเพื่อลดบวม
คันตามผิวหนัง ให้ลดอาหารพวกโปรตีน และให้ยาแก้แพ้
ลดของเสีย แพทย์จะให้ยาระบายเพื่อลดของเสียที่อยู่ในลำไส้ซึ่งจะถูกดูดซึมหากมีมากในลำไส้
ผู้ป่วยที่มีความดันในตับสูงแพทย์จะให้ยาลดความดันกลุ่ม beta-block เช่น propanolol
การดำเนินไปของโรค
Compensated cirrhosis
ในระยะนี้ผู้ป่วยยังมีเนื้อตับที่ดีเหลือยู่ผ้ปู่วยระยะนี้ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการใดๆ ในรายที่เนื้อตับที่เหลือทำงานไม่เพียงพอผู้ป่วยอาจมีอาการอ่อน เพลียเหนื่อยง่ายเบื่ออาหารคลื่นไส้อาเจียนเมื่อ ตรวจร่างกายอาจพบอาการแสดงของโรคตับเรื้อรังเช่นฝ่ามือแดงผิดปกติ(palmarerythema)หรือมีจุดแดงที่หน้าอก (spider nevi)
Decompensated cirrhosis
ระยะนี้ผู้ป่วยจะเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่ตับและอวัยวะอื่นๆอย่างชัดเจนผู้ป่วยมักมีอาการดีซ่านท้องมานน้ำหนักตัวลด มีความผิดปกติของระบบต่อมไร้ ท่ออาจพบจุดเลือดออกจ้ำตามตัวเนื่องจากการลดการสังเคราะห์coagulationfactorsอาจมีอาเจียนเป็นเลือด จากการแตกของเส้นเลือดขอดทีหลอดอาหาร(esophagealvarices)ซึ่งอาจช็อกและตายได้ในระยะสดุท้ายเมื่อมีภาวะ ตับวายก็จะเกิดอาการทางสมอง(hepaticencephalopathy)มีอาการซึมเพ้อและไม่ค่อยรู้สึก
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
1. ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ Hepatic encephalopathy เนื่องจากประสิทธิภาพของตับในการขจัดของเสียลดลง
ข้อมูลสนับสนุน
OD :ผู้ป่วยมี มีปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น มือสั่น (flapping tremor)
ผู้ป่วยมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง
ผู้ป่วยมีภาวะท้องมาน (Ascites)ขนาดรอบเอว106เซนติเมตร
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการเคมีคลินิก
(31/01/64)ค่า Direct Bilirubin ได้ 10.62mg/dL
(ค่าปกติ 0.0-0.5 mg/dL)
ค่าTotal Bilirubin ได้ 14.19 mg/dL (ค่าปกติ 0.2-1.2 mg/dL )
ค่า AST(SGOT) ได้ 76 U/L (ค่าปกติ 5-34 U/L )
วัตถุประสงค์
ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะ hepatic encephalopathy
เกณฑ์การประเมิน
ผู้ป่วยมีภาวะ flapping tremor ที่ลดลง
ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย ตาเหลือง ตัวเหลืองลดลง
ผู้ป่วยขนาดรอบท้องมีขนาดลดลง
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติเคมีคลินิก
ค่าDirect Bilirubin ลดลงอยู่ในเกณฑ์ปกติคือ 0.0-0.5mg/dL
ค่า Total Bilirubin ลดลงอยู่ในเกณฑ์ปกติคือ0.2-1.2mg/dL
ค่า AST(SGOT) ลดลงอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ 5-34 U/L
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินและสังเกตุอาการของ Hepatic encephalopathy คือ ซึม ไม่พูด ระดับความรู้สึกตัวลดลง
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาระบาย/ยา Lactulose หรือ ยาทําลายเชื้อแบคทีเรียในลําไส้ตามแผนการ รักษา คือ Lactulose 30ml หลังอาหารเพื่อลดการดูดซึมและการสร้างแอมโมเนียที่ลําไส้พร้อมทั้งช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย
ดูแลเรื่อสุขอนามัยส่วนบุคคลเนื่องจากผู้ป่วยได้รับยาระบาย (Lactulose)หากไม่ได้รับการดูแลจะส่งผลเสียต่อผิวหนัง
ติดตามประเมินระดับความรู้สึกตัวได้สึกตัวภาวะ Flapping tremor, Fetor hepaticus เพื่อ ประเมินความเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย
สังเกตอาการตาและตัวเหลือง ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม การถ่ายปัสสาวะลําบาก อุจจาระสีซีด เพื่อประเมินอันตรายที่เกิดจากการมีบิลิรูบินสูง แล้วเกิดการอุดตันในระบบขับถ่ายปัสสาวะ หรือระบบทางเดินน้ําดี
ติดตามผล Lab. LFT: bilirubin เพื่อประเมินหน้าที่การทํางานของตับ และการเกิดภาวะ Hepatic
encephalopathy
ประเมินผล
ผู้ป่วยมีภาวะ ตาเหลือง ตัวเหลืองอยู่ ไม่มีอาการอ่อนเพลีย และยังคงมีภาวะท้องมาน รอบท้อง 106 ซม. ยังไม่ลดลง
2.ผู้ป่วยเสี่ยงต่อภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจาก แรงดันต่อกระบังลมและความจุปอดลดลงจาก ท้องมาน
ข้อมูลสนับสนุน
OD : ผู้ป่วยมีอาการท้องมาน และได้มีการทํา Abdominal tapping ที่หน้าท้องด้านขวา ได้ fluid2000 ml เมื่อวันที่ 31/01/64
ผู้ป่วยบอกว่า แน่นท้อง หายใจไม่สะดวก
วัตถุประสงค์
เพื่อป้องกันภาวะพร่องออกซิเจนและให้ได้รับออกซิเจนพียงพอต่อร่างกาย
เกณฑ์การประเมินผล
ผู้ป่วยไม่มีอาการเหนื่อยหอบ แน่นท้อง
ผู้ป่วยมีค่า oxygen saturation อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ไม่มีอาการแสดงของภาวะพร่องออกซิเจน (cyanosis) เช่น ปลายมือ ปลายเท้าเขียว ริมฝีปากเขียว
ผู้ป่วยมีอัตราการหายใจอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ 16-22 ครั้งต่อนาที
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ผู้ป่วยนอนท่าศีรษะสูงเพื่อช่วยให้ปอดขยายตัวได้มากขึ้น
หากผู้ป่วยมีอาการหายใจเหนื่อยดูแลให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
ดูแลช่วยเหลือกิจกรรมต่างๆของผู้ป่วยและให้ผู้ปทวยได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่เพื่อลดการใช้ออกซิเจน
เนื่องจากผู้ป่วยมีน้ําในช่องท้องมากแพทย์จึงพิจารณาเจาะท้องผู้ป่วยพยาบาลควรปฏิบัติการ
พยาบาล เช่น เตรียมเซ็ตเจาะท้องพร้อมรถหัตถการ ระมัดระวังภาวะแทรกซ้อนหลังการเจาะท้องเช่น Electrolyte imbalance Infection Internal bleeding
สังเกตระดับความรู้สึกตัวลักษณะการหายใจลักษณะสีผิวบริเวณริมฝีปาก เยื่อบุตา เล็บมือเล็บเท้า อาการซีด เพื่อประเมินอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากภาวะพร่องออกซิเจน
ติดตามผลLab CBC โดยจะมี Hct Hb และผลการตรวจวัดรอบท้องเพื่อประเมินภาวะซีดและขนาด รอบท้อง ดูแลให้ยาขับปัสสาวะ คือ HYLES และ Furosemide เพื่อลดอาการท้องมานหรือให้ยาลดอาการแน่น
ประเมินผล
ผู้ป่วยหายใจไม่หอบเหนื่อย ไม่มีภาวะพร่องออกซิเจน เช่นปลายมือ ปลายมือเขียว ยังคงมีภาวะท้องมาน
3.ผู้ป่วยมีภาวะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ เนื่องจากประสิทธิภาพของตับในการเผาผลาญสารอาหารและสร้างโปรตีนลดลง
ข้อมูลสนับสนุน
OD :
ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้น้อยลง เบื่ออาหาร
ผู้ป่วยมีร่างกายผอม มีประวัติเป็นโรคตับ
แบบประเมินโภชนาการ NAF ได้ 8 คะแนน ซึ่งอยู่ในระดับ B (Moderate mainutrition)
ผลทางห้องปฏิบัติการ ค่า Albumin 1.7 g/dL
วัตถุประสงค์
ผู้ป่วยได้รับสารอาหารเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
เกณฑ์การประเมิน
ผู้ป่วยรับประทานได้มากขึ้นได้ มากกว่า 70% ของมื้ออาหาร
น้ำหนักตัวไม่ลด
แบบประเมินโภชนาการ NAF ได้ 0-5 คะแนน ซึ่งอยู่ในระดับ A (Normal-Mild mainutrition)
ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการค่า Albumin อยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ 3.5-5.2 g/dL
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินการรับประทานอาหารและพฤติกรรมการรับประทานอาหารของผู้ป่วยของผู้ป่วย
ดูแลทำความสะอาดปากและฟัน ก่อนและหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง เพื่อกระตุ้นการอยากอาหาร
3.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารเพียงพอ เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง โดยรับประทานไข่ขาว 2 ฟองต่อมื้อ เพื่อทดแทนสารอาหารส่วนที่สูญเสีย
จัดสิ่งแวดล้อมรอบข้างผู้ป่วยให้สะอาด น่ารับประทาน
บันทึกสารน้ำเข้า-ออกจากร่างกาย พร้อมทั้งสังเกตสีและลักษณะปัสสาวะ อุจจาระ
ประเมินภาวะโภชนาการของผู้ป่วย โดยใช้แบบประเมินภาวะโภชนาการ NAF (Nutrition Alert Form)
เกณฑ์มี 3 ระดับ คือ
0-5 คะแนน อยู่ในระดับ A (Normal- Mild mainutrition) ไม่พบความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะทุพโภชนาการ และประเมินซ้ำภายใน 7 วัน
6-10 คะแนน อยู่ในระดับ B (Moderate mainutrition) พบความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะทุพโภชนาการ ทำการประเมินภาวะโภชนาการและแจ้งแพทย์ดูแลการรักษาภายใน 3 วัน
มากกว่าหรือเท่ากับ 11 คะแนน อยู่ในระดับ C (Severe mainutrition) พบความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะทุพโภชนาการ ทำการประเมินภาวะโภชนาการและแจ้งแพทย์ดูแลการรักษาภายใน 24 ชั่วโมง
ดูแลให้ได้รับวิตามินตามแผนการรักษา
ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ ค่า Albumin
ประเมินผล
ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้มากขึ้น ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ ค่า Albumin ยังไม่อยู่ในเกณฑ์ปกติ
4.ผู้ป่วยมีภาวะไม่สมดุลของน้ำและอิเลคโทรไลท์ในร่างกาย เนื่องจาก ภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็ง
ข้อมูลสนับสนุน
OD :ผู้ป่วยมีท้องมาน วัดรอบท้องได้ 106ซม.
Pitting edema พบ กดบุ๋มระดับ 2+
ปัสสาวะน้อย สีเหลืองเข้ม
ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น บริเวณริมฝีปากแห้งเล็กน้อย
ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Phosphorus 2.0 mmol/L (normal 2.3-4.7 mmol/L)
Magnesium 1.42 mmol/L (normal 1.6-2.6 mmol/L)
Sodium 127 mmol/L ( normal 136-145 mmol/L)
วัตถุประสงค์
เพื่อให้ผู้ป่วยมีภาวะสมดุลของอิเลคโทรไลท์ในร่างกาย
กิจกรรมการพยาบาล
1.บันทึกปริมาณน้ําเข้า (intake) น้ําออก (output) เพื่อประเมินความสมดุลของน้ํา และสังเกตสี
ปัสสาวะ
วัดรอบท้องวันละครงั้ เพื่อประเมินภาวะท้องมาน
ในรายที่มีน้ําในช่องท้องมาก แพทย์อาจพิจรณาเจาะท้องผู้ป่วย พยาบาลควรปฏิบัติดังนี้
• เตรียม set เจาะท้องพร้อมรถ treatment
• ให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะก่อนเจาะท้อง เพื่อป้องกันการเจาะผิดพลาดและให้ผู้ป่วยมีความสุข สบาย ไม่เกร็ง
• ช่วยส่งอุปกรณ์ เช่น เข็มฉีดยา ยาชา syringe
และสําลีชุบน้ํายาฆ่าเชื้อให้แพทย์อย่าง Aseptic technique ก่อนทําหัตถการ
• ภายหลังเจาะท้องต้องบันทึกจํานวนและลักษณะของน้ําที่เจาะ
• ถ้าแพทย์เจาะน้ําออกไปมาก ประมาณ 1.000 ml. ขึ้นไป ต้องระมัดระวังเรื่อง Hypovolemic shock โดย ต้องบันทึกสัญญาณชีพทุก 1 ชม. ก่อนจนกว่า BP จะคงที่
• นอนตะแคงเอาด้านที่เจาะขึ้นด้านบนเพื่อป้องกันการรั่วซึมของน้ําในช่องท้องซึ่งจะส่งผลให้เกิดการติดเชื้อใน ช่องท้องได
• ระมัดระวังภาวะแทรกซ้อนภายหลังการเจาะท้อง เช่น Electrolytes imbalance, Infection (peritonitis), Internal bleeding
ดูแลให้ได้รับสารน้ําทางหลอดเลือดดํา
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาขับปัสสาวะตามแผนการรักษาและสังเกตอาการข้างเคียงของยาเพื่อแก้ปีญหา ภาวะน้ำเกิน
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับ Plasma ทางหลอดเลือดดําตามแผนการรักษา (ถ้ามี) เพื่อช่วยเพิ่มโปรตีนในกระแสเลือดเพิ่ม osmotic pressure ลดภาวะท้องมาน อาการบวมสังเกตลักษณะการหายใจอาการคลื่นไส้ อาเจียน ความชุ,มชื้นของริมฝlปากและผิวหนัง รวมทั้งชักถามอาการแน่นอึดอัดท้องเพื่อประเมินอันตรายที่เกิด จากความไม่สมดุลน้ําและเกลือแร่ติดตามผล Lab. serum albumin ผลการวัดรอบท้อง เพื่อประเมินภาวะน้ำเกิน
เกณฑ์การประเมินผล
ผู้ป่วยไม่มีภาวะท้องมาน
ไม่มีภาวะบวมน้ำ
ปัสสาวะเหลืองใส
ผิวหนังมีความชุ่มชื้น ริมฝีปากไม่แห้ง
ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการอยู่ในค่าปกติ
Phosphorus อยู่ระหว่าง 2.3-4.7 mmol/L
Magnesium อยู่ระหว่าง 1.6-2.6 mmol/L
Sodium อยู่ระหว่าง 136-145 mmol/L
ผลการประเมิน
ผู้ป่วยมีภาวะท้องมาน มีภาวะบวมน้ํา ปัสสาวะเหลืองเข้ม
5.ผู้ป่วยเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกง่ายหยุดยาก เนื่องจากปัจจัยในการแข็งตัวของเลือดลดลง
ข้อมูลสนับสนุน
OD : ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
(28/01/64)
Platelet couunt 122 10^3 /uL
( normal 154-384 10^3 /uL)
PT 18.4 seconds ( normal 10.30-12.80 seconds)
INR 1.61 ( normal 0.88- 1.11 )
วัตถุประสงค์
ผู้ป่วยไม่เกิดอันตรายจากภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
เกณฑ์การประเมินผล
ผู้ป่วยไม่มีจ้ำเลือดตามส่วนต่างๆของร่างกาย
ผู้ป่วยไม่มีเลือดออกจากส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะในทางเดินอาหาร เช่น ไม่มีอาเจียนเป็นเลือด
ผลการตรวจทางปฏิบัติการ
ค่า Platele count อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ค่า PT อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ค่า INR อยู่ในเกณฑ์ปกติ
กิจกรรมทางการพยาบาล
1.ประเมินสัญญาณชีพของผู้ป่วยทุก 1-2 ชั่วโมง
2.ให้การพยาบาลด้วยความนุ่มนวล ระมัดระวังเกี่ยวกับการทำให้เกิดแผลที่ทำให้เกิดการเสียเลือด เช่น ตกเตียง การหกล้ม ระวังการเกิดอุบัติเหตุโดยยกไม้กั้นเตียงขึ้นภายหลังใก้การพยาบาลเสร็จ
3.ดูแลเรื่องกิจวัตรประจำวัน เช่น การอาบน้ำ การทานอาหาร การแปรงฟันควรใช้แปลงสีฟันที่มีความอ่อนนุ่ม หรือใช้วิธีการบ้วนปากด้วยน้ำเกลือ เพื่อลดการระคายเคืองต่อเหงือกและเยื่อบุในช่องปาก
4.ระมัดระวังเรื่องการฉีดยาการเจาะเลือด การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำควรเลือดหัวเข็มขนาดเล็ก หลังจากการฉีดหรือเจาะเลือด ควรกดบริเวณที่ฉีดไว้ประมาณ 3-5 นาที
5.ดูแลให้รับประทานอาการที่ย้อยง่าย ไม่รสจัดเพื่อลดการระคายเคืองต่อกระเพราะอาหาร
6.ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ประเมินผล
ผู้ป่วยไม่มีแผล และรอยจ้ำเลือดตามร่างกาย
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
(31/01/64) Platelet count 124 10^3/uL (normal 154-384 10^3/uL)
(31/01/64) PT 18.5 seconds (normal 10.30-12.80 seconds)
(31/01/64) INR 1.62 (normal 0.88-1.11)
6. ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการผลัดตกหกล้มเนื่องจากความสามารถในการช่วยเหลือตนเองลดลง
ข้อสนับสนุน
Objective Data :
ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองได้บนเตียง
ผู้ป่วยไม่สามารถลุกขึ้นหรือยืนได้ หากไม่มีอุปกรณ์หรือคนช่วย
Fall score 6 คะแนน
วัตถุประสงค์
ผู้ป่วยปลอดภัยและไม่เกิดอุบัติเหตุ
เกณฑ์การประเมินผล
ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้มากขึ้น
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินความรู้สึกตัวของผู้ป่วย และทำแบบประเมินความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม เพื่อประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง
ตรวสอบความแข็งแรงของไม้กั้นเตียง
ถ้ามีการเลื่อนหลุดต้องรีบแก้ไข
.ดึงไม้กั้นเตียงขึ้นทั้ง 2 ข้างทุกครั้งเมื่อผู้ป้ว่ยอยู่ตามลำพัง
จัดหาสัญญาณเรียกพยาบาลไว้ใก้ล้มือผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยต้องการความช่วยเหลือให้กดเรียกได้ตลอด
ช่วยเหลือผู้ป่วยเมื่อผู้ป่วยต้องการหยิบแก้วน้ำ เครื่องใช้ต่างๆ เพื่อผู้ป่วยจะได้ไม่เอื้อมหยิบ
ของใช้
ฝึกกายภาพบำบัดเพื่อให้ผู้ป่วยฝึกการดูแลตนเองและการใช้อุปกรณ์ เช่น รถนั่ง walker ไม้เท้า
กระตุ้นให้ญาติมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยและสอนญาติให้มีทักษะในการช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างปลอดภัย
การประเมินผล
ผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตนเองได้มากขึ้น สามารถหยิบน้ำดื่มได้เอง และฝึกกายภาพบำบัดทั้งแขนและขา ฝึกการใช้ walker ในการเดิน
7.ญาติวิตกกังวลในการดูแลผู้ป่วย เนื่องจากขาดความรู้ในการเกี่ยวกับโรค
วัตถุประสงค์
ผู้ป่วยสามารบอกเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยได้ เช่น เรื่องโภชนาการ เป็นต้น
เกณฑ์การประเมินผล
ญาติสามารถอธิบายเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยได้ เช่น การเลือกอาหาร การดูแลระมัดระวังในเรื่องพลัดตกหกล้ม
ข้อมูลสนับสนุน
OD : ญาติถามเกี่ยวกับโภชนาการ การเตรียมอาหารให้แก่ผู้ป่วย
ญาติขอคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลภาวะท้องมานของผู้ป่วย
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินความรู้ความเข้าใจของญาติในการดูแลผู้ป่วย เช่น การปฏิบัติตัว การเลือกอาหารเพื่อเสริมโปรตีน การดื่มสุรา
2.ให้ความรู้เกี่ยวกับการเจ็บป่วย
3.แนะนำให้ญาติให้กำลังใจผู้ป่วย
4.อธิบายความสำคัญของเรื่องโภชนาการ
5.แนะนำเรื่องการติดเชื้อ และการป้องกันการเกิดแผล จ้ำเลือด
6.แนะนำเรื่องการผักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง
ประเมินผล
ญาติสามารถอธิบายการดูแลผู้ป่วยในการเลือกรับประทานอาหารได้ เข้าใจในการระวังเรื่องการติดเชื้อ สังเกตอาการผิดปกติภาวะท้องมาน เช่น การปวดแน่นท้อง
การเจาะท้อง ( Abdominal Paracentesis )
การเตรียมผู้ป่วย
• อธิบายให้เข้าใจถึงเหตุผลของการทำหัตถการ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งให้ผู้ป่วยและญาติเซ็นใบยินยอมการทำหัตถการ โดยให้แพทย์เป็นผู้ชี้แจงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากการเจาะน้ำในท้องด้วย
• แนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยก่อนทำ การจัดท่า การปฏิบัติตัวขณะทำการเจาะท้อง และหลังการเจาะท้อง
• ให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะก่อนการทำหัตถการ เพื่อป้องกันอันตรายต่อกระเพาะปัสสาวะขณะเจาะท้อง
• วัดสัญญาณชีพก่อนการเจาะ
ตำแหน่งที่ปลอดภัยและเหมาะที่สุดสำหรับเจาะคือบริเวณ left lower quadrant รองลงมาคือ right lower quadrant
การดูแลระหว่างการเจาะ
• ดูแลตำแหน่งที่แทงเข็มให้อยู่นิ่ง เพื่อป้องกันเข็มหลุดออกจากตำแหน่ง
• ดูแลให้การไหลของน้ำในช่องท้องออกอย่างต่อเนื่อง
• สังเกตบริเวณที่เจาะ ตำแหน่ง สีของน้ำและปริมาณน้ำในช่องท้องที่เจาะออกมาทุก 15 นาทีเพื่อประเมินภาวะแทรกซ้อน
• วัดสัญญาณชีพตาม Routine Post op care(คือการวัดสัญญาณชีพทุก 15 นาที 4 ครั้ง ทุก 30 นาที 2 ครั้งและทุก 1 ชั่วโมงจนกว่าจะทำหัตถการเสร็จ) เพื่อประเมินภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิด
• จำกัดการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยขณะการระบายน้ำในช่องท้อง
การดูแลผู้ป่วยหลังการเจาะ
• หลังได้ปริมาณน้ำช่องท้องครบแล้ว ดูแลเอาเข็มออกแล้วปิดตำแหน่งเข็มด้วยก๊อซ ทับด้วย Fixomull
• ติดตามสัญญาณชีพหลังการเจาะ ตาม Routine Post op care เพื่อประเมินภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิด
• สังเกตบริเวณแผลที่เจาะว่ามีการรั่วซึมของน้ำในช่องท้องหรือไม่ ถ้ามีควรเปลี่ยนผ้าปิดแผลบ่อยๆและบันทึกลงในบันทึกทางการพยาบาล
• สังเกตภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการเจาะท้อง ได้แก่
-ภาวะขาดน้ำและความดันโลหิตลดลง อาจเกิดจากการดูดน้ำออกมาเร็วและมากเกินไปในการเจาะ
-ภาวะเลือดออก เกิดจากการแทงเข็มถูกอวัยวะภายในหรือกระเพาะปัสสาวะ อาจพบอาการ อึดอัดแน่นท้อง สีของปัสสาวะผิดปกติ
-ภาวะติดเชื้อจากการปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าทางการเจาะน้ำ
-ภาวะขาดโปรตีน จากการดูดน้ำออกมากเกินไป
• บันทึกการทำหัตถการลงในบันทึกทางการพยาบาล โดยบันทึกสี ลักษณะ จำนวนน้ำที่เจาะออกมาจากช่องท้อง เวลา และผลการประเมินอาการของผู้ป่วย
https://www.youtube.com/watch?v=xBRaEBPYUqM
Problem list
4.มีภาวะท้องมาน
3.มีภาวะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
5.Albumin ต่ำ
7.sodium ต่ำ
8.มีภาวะตาตัวเหลือง
9.phosphorus ต่ำ
10.เท้าบวม กดบุ๋ม
เสี่ยงพลัดตกหกล้ม
1.เสี่ยงต่อการเกิด Hepatic encephalopathy
เสี่ยงต่อภาวะพร่องออกซิเจน
ค่า co2 ต่ำ
กังวลเรื่องภาพลักษณ์
ญาติวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคที่ผู้ป่วยรักษาอยู่
มีภาวะผิวแห้ง
12.เสี่ยงต่อภาวะ hyperglycemia
11.เสี่ยงต่อภาวะเลือดไหลง่ายหยุดยาก
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคตับแข็ง
Hepatic encephalopathy (HE)
หรือภาวะสมองพิการเนื่องจากตับวาย เกิดจากตับทำงานเสื่อมลง โดยผู้ป่วยจะมี
ความผิดปกติหรือมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป
Hepato renal syndrome (HRS)
คือ ภาวะที่ไตมีการทำงานลดลง จัดเป็น instrinsic renal disease เกิดจากการที่ผู้ป่วยโรคตับแข็งจะมีการหดตัวของหลอดเลือดที่บริเวณไต เลือดไปเลี้ยงที่ไตลดลง การกรองที่ไตลดลง ส่งผลให้เกิด sodium retention และ Oligulia (มีปัสสาวะออกน้อยกว่า 400 ml. ภายใน 24 ชม.)
Spontaneous bacterial peritonitis (SBP)
เป็นการอักเสบภายในช่องท้อง โดยไม่สามารถหาสาเหตุหรือแหล่งที่มาของแบคทีเรียทั้งภายนอกและภายในช่องท้องได้ชัดเจน มักเกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคตับแข็ง
Portal hypertension (PHT)
เป็นภาวะที่เกิดจากความต้านทานของหลอดเลือดใน portal venous system เพิ่มขึ้น มากกว่า 10 มม.ปรอท มักเกิดจากการอุดตันบางส่วนหรือการตีบตันของหลอดเลือด
Esophageal varice (EV)
เป็นภาวะที่มีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน จากหลอดเลือดอาหารโป่งพอง และอาจมีการแตกของหลอดเลือด