Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การอนามัยโรงเรียน สถานการณ์ที่ 1 - Coggle Diagram
การอนามัยโรงเรียน สถานการณ์ที่ 1
1การตรวจสุขภาพนักเรียน
1.การตรวจร่างกาย10ท่า
ท่าที่ 5 นักเรียนหญิงใช้มือขวาเปิดผมไปทัดไว้ด้านหลังหูขวา หันหน้าทางซ้าย นักเรียนชาย หันหน้าไปด้านซ้ายเท่านั้น
ท่าที่ 6 ในท่าเดียวกัน นักเรียนหญิง ใช้มือซ้ายเปิดผมไปทัดไว้ด้านหลังหูซ้าย หันหน้าไปทางขวา , นักเรียนชายหันหน้าไปด้านขวาเท่านั้น
ทำที่ 4 ใช้มือทั้ง 2 ข้าง ดึงคอเสื้อออกให้กว้าง ภายหลังที่ปลดกระดุมหน้าอกเสื้อแล้วหมุนตัวซ้ายและขวาเล็กน้อย
เพื่อจะได้เห็นรอบ ๆ บริเวณคอ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
ท่าที่ 7 ให้กัดฟันและยิ้มกว้าง ให้เห็นเหงือกเหนือฟันบน และเห็นฟันล่างให้เต็มที่
ท่าที่ 3 งอแขนพับข้อศอก ใช้นิ้วแตะเปลือกตาด้านล่างเบาๆ ดึงเปลือกตาด้านล่างพร้อมกับเหลือกตาขึ้นและลง
แล้วจึงกรอกตาไปด้านขวาและซ้าย
ท่าที่ 8 ให้อ้าปากกว้างแลบลิ้นยาวพร้อมทั้งร้อง "อา" ให้ศีรษะเอนไปข้างหลังเล็กน้อย
ท่าที่ 2 ทำท่าต่อเนื่องจากท่าที่ 1 คือ พลิกมือ หงายฝามือ
ทำที่ 9 นักเรียนหญิงให้แยกเท้าทั้ง 2 ข้างห่างกัน 1 ฟุต ใช้มือทั้ง 2ข้างจับกระโปรงดึงขึ้นเหนือเขาทั้ง 2 ข้างนักเรียนชายเพียงแยกเท้าทั้ง 2 ข้างห่างกัน 1 ฟุต
ท่าที่ 1 ยื่นมือไปข้างหน้าให้สุดแขนทั้ง 2 ข้าง คว่ำมือ กางนิ้วทุกนิ้ว
ทำที่ 10 ในท่าเดียวกัน ทั้งนักเรียนหญิงและชาย กลับหลังหัน (ผู้ตรวจสังเกตหลัง แล้วบอกให้เดินไปข้างหน้า)แล้วเดินกลับ หันหน้าเข้าหาผู้ตรวจ
2.การประเมินการเจริญเติบโต
การประเมินการเจริญเติบโต
ส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ
น้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูง
น้ำหนักตามเกณฑ์อายุ
อุปกรณ์เครื่องชั่งน้ำหนักและที่วัดส่วนสูง
3.การทดสอบสายตา
2.การเตรียมสถานที่
มีแผ่นฝาผนังที่เรียบทึบ
มีแสงสว่างเพียงพอ
มีความยาวไม่ต่ำกว่า 6 เมตร
3.การเตรียมการวัดสายตานักเรียน
การยืนของผู้ตรวจ และการชี้อักษรไม่ควรบังตัวอักษรขณะชี้ให้นักเรียนอ่าน
ให้นักเรียนอ่านบรรทัดบนสุดก่อนแล้วอ่านบรรทัดถัดไปเรื่อย ๆ จนถึงบรรทัดสุดท้าย ห้ามให้นักเรียนอ่านกระโดดไปมา
ควรหาไม้ที่มีขนาดยาวประมาณ 1 เมตรชี้ตัวอักษร ไม่ควรใช้มือหรือปากกาชี้ตัวอักษร
การบันทึกผลความสามารถในการมองเห็น (visual acuity) เป็นเศษส่วนโดย เศษ : ระยะทางที่ผู้ถูกทดสอบยืน (6, 5, 4, 3, 2, 1 เมตร)ส่วน : ระยะตัวอักษรที่อ่านได้บนแผ่นวัดสายตา (6, 9, 12, 18, 24, 36, 60 เมตร)
ชี้แจ้งให้นักเรียนทราบถึงจุดประสงค์ในการวัดสายตา และวิธีการวัด โดยนักเรียนต้องยืนตรวจโดยให้เอาส้นเท้าชิดขอบที่ระยะเมตร ไม่ยืนเลยระยะขอบที่กำหนด
ในกรณีที่นักเรียนสวนแว่นให้วัด 2 ครั้ง คือ วัดก่อนสวมแว่นแล้วบันทึกผล ในช่อง "วัด
สายตา ไม่สวมแว่น" ต่อมาวัดแบบสวมแว่นแล้ววัดอีก 1 ครั้ง เพื่อจะได้ทราบว่าแว่นตาของนักเรียนเหมาะสมกับ
สายตาหรือไม่ แล้วบันทึกผลในช่อง "วัดสายตา"
ติดแผ่นทดสอบสายตาให้ตั้งฉากกับพื้น โดยให้ระดับสายตาอยู่ที่บรรทัดสุดท้ายของแผ่นทดสอบ
ให้นักเรียนปิดตาทีละข้าง โดยใช้อุปกรณ์ปิดตา ไม่ใช้มือเปล่าปิดตา จะทำให้นักเรียนมีอาการปวดตาได้
ใช้เทปวัดระยะติดระยะเมตรที่พื้นห่างกันทุก 1 เมตร โดยระยะที่ 6 เมตร แต่ละเมตรเขียนกับว่า 1, 2, 3, 4, 5, 6 ตามลำดับ
ให้ทดสอบตาข้างซ้ายด้วยวิธีเดียวกัน
1.การเตรียมอุปกรณ์
กระดาษแข็งตัดเป็นตัว E
แว่นรูเข็ม (Pin Hole) เป็นเครื่องมือแยกแยะความสามารถการมองเห็นที่ผิดปกตินั้นว่ามีเหตุเกิดจากโรคตาหรือสายตาผิดปกติ
ที่ปิดตา
เทปวัดระยะทาง
1.Snellen Chart / Snellen Box/ E-Chart
4.การตัดสินค่าสายตา
5.ค่าการบันทึกผล
6.การช่วยเหลือ
ความสามารถในการมองเห็นข้างใดข้างหนึ่งน้อยกว่า 6/12 ควรไปพบจักษุแพทย์
ความสามารถในการมองเห็นของตาทั้งสองข้าง ต่างกันเกิน 2 แถว เช่น ขวา 6/6 ซ้าย 6/24
หรือขวา 6/6 ซ้าย 6/18 ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อวัดสายตาประกอบแว่น
ความสามารถในการมองเห็นข้างใดข้างหนึ่งเท่ากับ 6/9 ต้องเฝ้าระวังโดยการวัดสายตาปีละครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ในกรณีที่มีอคารปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา สายตามัวลง ภายหลังการใช้สายตา
ในระหว่างระการแก้ไข นักเรียนที่มีความสามารถมองเห็นไม่ปกติควรเลื่อนมานั่งแถวหน้าชั้น
เรียนชั่วคราว
4.การทดสอบการได้ยิน
ทดสอบด้วยเครื่องมือต่าง ๆ เช่น เสียงนาฬิกา ตรวจหูทีละข้างเช่นกัน
1.ใช้นิ้วขยี้ผม / ใช้นิ้วถูกันห่างจากหูประมาณ 1 นิ้ว ตรวจหูทีละข้างในคนปกติจะได้ยิน หากไม่ได้ยินสงสัยว่ามีความผิดปกติทางหู
ทดสอบด้วยเสียงกระซิบต้องทดสอบในห้องที่เงียบ และให้นักเรียนทดสอบทีละคนซึ่งทั้ง 3 วิธี ยังไม่เป็นที่รับรองที่แน่นอนที่สุด การตรวจการได้ยินที่ได้ผลแน่นอนกว่า คือ เครื่อง Audiometer ซึ่งต้องได้รับการตรวจที่โรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์การตรวจเฉพาะ
5.การตรวจสุขภาพช่องปากและช่องฟัน
โครงสร้างของฟัน
ฟันน้ำนมมี 20 ซี่
การบันทึกการตรวจช่องปาก
โรคฟันผุ (Dental Caries)
การแนะนำการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากสำหรับเด็กนักเรียน
การตรวจสุขภาพช่องปากตนเองภายหลังการแปรงฟันทุกครั้ง
การแปรงฟันที่สะอาดและถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
การใช้เส้นใยขัดฟัน ควรใช้อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
การใช้สารเคลือบหลุมร่องฟัน
ฟลูออไรด์
โภชนาการ
การไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน
ฟันแท้มี 32 ซี่
เกณฑ์ที่ใช้พิจารณาปัญหาอนามัยในช่องปาก
เหงือกอักเสบ มีอาการบวมแดง บางครั้งมีเลือดออกร่วมด้วย และพบแผ่นคราบจุลินทรีย์จับ
ตัวหนาที่ฟันบริเวณเดียวกัน
หินน้ำลาย อาจพบน้ำลาย(หินปูน) เกาะที่ผิวบริเวณขอบเหงือกที่อักเสบร่วมด้วย เกณฑ์ที่ใช้ใน
การพิจารณาฟันผุ คือ มีฟันผุที่ลุกลามจะเห็นเป็นรูชัดเจน
แผ่นคราบจุลินทรีย์ ซึ่งจับเป็นคราบหนามองเห็นชัดแถวขอบเหงือก แสดงว่าบริเวณนั้นไม่ได้
รับการดูแลทำความสะอาดเป็นเวลานาน
5.อนามัยสิ่งเเวดล้อม
1.สถานที่ตั้ง
มีพื้นที่เหมาะสมกับจำนวนนักเรียน
ไม่ห่างจากชุมชน 2กม.
ไม่อยู่ใกล้โรงงานที่ส่งเสียงดังรบกวน
มีพื้นที่หรือสนามพักผ่อนไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของบริเวณโรงเรียน
2.อาคารเรียน
รูปเเบบอาคารเรียนควรเป็นรูปตัว E L T U เเละ I
ตัวอาคารเรียนควรหันรับลมได้สะดวก ไม่ควรหันหน้าไปทางทิศตะวันออกหรือตะวันตก เพราะจะได้รับเเสงเเดดทั้งวัน
บันไดมีความเหมาะสม
ไม่ชันเกินไป สูงไม่เกิน 3 ม.หรือ 14ขั้น
ขั้นบันไดกว้างไม่เกิน 25 ซม
ตัวบันไดกว้างไม่ต่ำกว่า 1.5 ม.
ชั้น 2 ขึ้นไปควรมีทางหนีไฟ
3.พื้นที่ใช้สอยเเละอุปกรณ์เครื่องใช้
พื้นที่ห้องเรียน
ห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า
มีขนาด 1.5-2 ม./นักเรียน1คน
แถวหน้าไม่ควรห่างจากกระดานดำไม่เกิน 2 ม.
แถวหลังสุดไม่ควรห่างกระดานดำไม่เกิน 9 ม.
ห้องพยาบาลควรอยู่ชั้นล่างของอาคารเรียน
ส้วมเเละที่ปัสสาวะ
สะอาด
เพียงพอ
นักเรียน ชาย500คน
ห้องส้วม
1 / นักเรียน 50 คน
ที่ปัสสาวะ
1 / นักเรียน 50 คน
อ่างล้างมือ
1 / นักเรียน 50 คน
นักเรียนชายเกิน 500 คน
ห้องส้วม
เพิ่ม 1 /นักเรียน100 คน
ที่ปัสสาวะ
เพิ่ม 1 /นักเรียน 100 คน
อ่างล้างมือ
เพิ่ม 1/ นักเรียน 100 คน
นักเรียนหญิง 500 คน
ห้องส้วม
2 /นักเรียน 50 คน
อ่างล้างมือ
1 / นักเรียน 50 คน
นักเรียนหญิงเกิน 500 คน
ห้องส้วม
เพิ่ม 2/นักเรียน 100 คน
อ่างล้างมือ
เพิ่ม 1 /นักเรียน 100 คน
ปลอดภัย ไม่อยู่ในที่ลับสายตา
4.การระบายอากาศ เเสงสว่าง เสียง
การระบายอากาศ
ภายในห้องมีการระบายอากาศที่ดี
เเสงสว่าง
อาศัยเเสงจากธรรมชาติเป็นหลัก เเสงจากดวงอาทตย์
ห้องเรียน ห้องพยาบาล ห้องสมุด ควรมีความเข้มเเสง 300 ลักซ์
ห้องน้ำ ห้องประชุม ควรมีความเข้มเเสง 100 ลักซ์
เสียง
ห้องเรียน ความดังเสียงไม่เกิน 35-40 เดซิเบล
โรงอาหาร ความดังไม่เกิน 50-55 เดซิเบล
ห้องพยาบาล ความดังเสียงไม่เกิน 45 เดซิเบล
ห้องดนตรี ความดังเสียงไม่เกิน 40 เดซิเบล
5.น้ำดื่ม น้ำใช้
มีความสะอาด
ด้านกายภาพ
เฝ้าระวังสุขาภิบาลเเหล่งน้ำดื่ม
ระบบท่อขนส่ง
ภาชนะใส่ดื่ม
ด้านเคมี
เฝ้าระวังการปนเปื้อนของสาร
สารหนู ตะกั่ว ฟลูออไรด์
ด้านชีวภาพ
เฝ้าระวังการปนเปื้อนเเบคทีเรีย
เพียงพอ
น้ำใช้ 45 ลิตร/คน/วัน
น้ำดื่ม 5ลิตร/คน/วัน
มีน้ำพุสำหรับดื่ม 1 ที่ / เด็ก75 คน
การจัดการขยะ
มีถังขยะ 1 ที่/ห้อง
มีถังขยะทุกๆระยะ 50 ม. มีฝาปิด
มีที่พักรวมขยะ 1 ที่/ โรงเรียน
ขยะเปียก
ขยะเเห้ง
ขยะอันตราย
7.การจัดการน้ำเสีย
ต้องมีรางน้ำเสียที่สะอาด ไม่อุดตัน
มีบ่อดักไขมันรับน้ำเสียจาก
โรงอาหาร
ห้องครัว
มีบ่อเกรอะรับน้ำเสีย
ห้องส้วม
ที่ปัสสาวะ
อ่างล้างมือ
8.ควบคุมกำจัดเเมลงเเละพาหะนำโรค
1.ยุง
ต้องกำจัดแหล่งน้ำขัง
ใช้ตาข่ายดักยุง
ติดมุ้งลวดกั้นประตู
2.แมลงวัน
กำจัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฎิกูลให้เหมาะสม
3.แมลงสาบ
ติดตะแกรงมุ้งลวด ป้องกันแมลงเข้าสู่ตัวอาคาร
ใช้เหยื่อล่อเพื่อดักแมลงสาบ
4.หนู
เก็บขยะเปียก
เก็บอาหารในภาชนะที่มีที่ปิดมิดชิด
กำจัดโดยใช้กับดักหรือยาเบื่อ
9.สภาพเเวดล้อมเเละความปลอดภัยในโรงเรียน
จัดระเบียบการขึ้นลงบันได
จัดวางสิ่งของบน ตู้ โต๊ะ จัดเก้าอี้ และอุปกรณ์ในชั้นเรียนให้เป็นระเบียบ
ติดตั้งปลั๊กไฟควรอยู่สูงจากพื้น 1.5 เมตร
เก็บสารเคมีให้สูงพ้นจากมือเด็ก
ทำความสะอาดพื้น/ห้องส้วม ให้สะอาดและปลอดภัย
มีสนามใหญ่สำหรับออกกำลังกาย
ปลูกต้นไม้เพื่อให้ความสดชื่อและให้ร่มเงา
สนามเด็กเล่นต้องเป็นพื้นทรายหนา 30 เซนติเมตรหรือปูด้วยยาง
หมั่นตรวจสอบบำรุงสนามและเครื่องเล่นเสมอ
ต้องมีป้ายสัญลักษณ์หรือคำเตือนต่างๆ
ป้ายบอกทางหนีไฟ
ทางออกฉุกเฉิน
จุดเสี่ยงอันตราย
แผนที่อาคาร
3.สุขศึกษาในโรงเรียน
การล้างมือ
กิจกรรม
1.สาธิตวิธีการล้างมือ ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน คือ 1 ใช้ฝ่ามือถู ใช้ฝ่ามือถูมือไปด้วยกัน 2 ฝ่ามือถูหลังมือ ใช้ฝ่ามือถูหลังมือกัน 3 ใช้ฝ่ามือถูนิ้ว 4 ใช้หลังนิ้วฝ่ามือ 5 ถูนิ้วหัวแม่มือด้วยฝ่ามือ 6 ใช้ปลายนิ้วถูขวางฝ่ามือ 7. ถูรอบ ๆ ข้อมือ เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อโรคต่าง ๆ ได้
2.สอนให้เด็ก ๆ รู้ว่า เวลาไหนบ้างที่ต้องล้างมือ ได้แก่ ก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ และ
หลังจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ
การเลือกอาหาร
กิจกรรม
1.สอนให้ความรู้เรื่องอาหารหลัก 5 หมู่
หมู่ 1 เนื้อสัตว์ ไข่ นม และถั่วเมล็ดแห้ง
หมู่ 2 ข้าว แป้ง เผือก มันและน้ าตาล
หมู่ 3 ผักต่างๆ เช่น ผักบุ้ง ต าลึง คะน้า ฟักทอง ถั่วฝักยาว ฯลฯ
หมู่ 5 ไขมันต่างๆ เช่น ไขมันจากสัตว์ และไขมันจากพืช
หมู่ 4 ผลไม้ต่างๆ เช่น กล้วย ส้ม มะละกอ มะม่วง ล าไย ขนุน ทุเรียน
เงาะ ลางสาด ฯลฯ
2.สอนให้ความรู้เกี่ยวกับธงโภชนาการ
ขั้นที่ 1 กลุ่ม ข้าว-แป้ ง
เด็กอายุ 1-3 ปี รับประทานวันละ 3 ทัพพี
เด็กอายุ 4-5 ปี รับประทานวันละ 5 ทัพพี
เด็กอายุ 6-13 ปี รับประทานวันละ 8 ทัพพี
เด็กอายุ 14-18 ปี รับประทานวันละ 10 ทัพพี
ขั้นที่ 2 กลุ่ม ผักและผลไม้
เด็กอายุ 4-5 ปี รับประทานผัก 3 ทัพพี ผลไม้3 ส่วน
เด็กอายุ 6-13 ปี รับประทานผัก 4 ทัพพี ผลไม้วันละ 3 ส่วน
เด็กอายุ 14-18 ปี รับประทานผัก 5 ทัพพี ผลไม้ 4 ส่วน
ชั้นที่ 3 กลุ่ม เนื้อสัตว์ - นม
เด็กอายุ 4-5 ปี รับประทานเนื้อสัตว์ 4 (1ช้อนกับข้าว) นม 4 แก้วต่อวัน
เด็กอายุ 6-13 ปี รับประทานเนื้อสัตว์ 6 (1ช้อนกับข้าว) นม 2 แก้วต่อวัน
เด็กอายุ 14-18 ปี รับประทานเนื้อสัตว์ 9 (1ช้อนกับข้าว) นม 2 แก้วต่อวัน
ชั้นสุดท้ายปลายธง
น้ำมัน น้ำตาล เกลือ
ควรกินแต่น้อย
3.สอนวิธีการเลือกรับประทานตามโซนสี
อาหารโซนสีแดง เป็นอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงมาก ไม่
ควรกินและบ่อยนัก ควรเลือกกินให้น้อยที่สุด
อาหารโซนสีเหลือง เป็นอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลปาน
กลาง ควรเลือกกินให้น้อยลง เลือกกินแต่พอควร
อาหารโซนสีเขียว เป็นอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลต่ำใย
อาหารสูงและคุณค่าทางโภชนาการสูง ควรเลือกกินบ่อยๆ
การป้องกันอุบัติเหตุ
มีการจัดอบรมการเรียนการสอนที่เน้นการทำกิจกรรมให้มีความรอบคอบและปลอดภัยเช่น กิจกรรมการทดลองวิทยาศาสตร์ ครูต้องมีความชำนาญ รอบคอบ และแนะนำวิธีการทดลองที่ถูกต้องและปลอดภัย
มีการจัดตั้งชมรมทางด้านการป้องกันอุบัติภัยในโรงเรียน เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหากับบุคคลอื่น ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ตนจะต้องพบในชีวิตประจำวัน
ติดตั้งป้ายประกาศเกี่ยวกับคำเตือนตามสถานที่ที่อาจจะเป็นอันตรายต่อนักเรียน ดังตัวอย่างข้อความเตือนในป้ายประกาศ เช่น สนามลื่น บันไดชัน ลงช้า ๆ เดินชิดซ้าย เป็นต้น
การดูแลบำรุงรักษา ซ่อมแซมโครงสร้างอาคาร ห้องเรียน โต๊ะ เก้าอี้ บันได และทางเดินให้อยู่ในสภาพที่มั่นคงแข็งแรง
จัดให้มีห้องปฐมพยาบาล หรือชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยต้องมีครูที่ผ่านการอบรมความรู้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
การแปรงฟัน
กิจกรรม
ขั้นที่ 1 สังเกต รับรู้
ครูและนักเรียนร่วมกันทบทวนความรู้เรื่องการแปรงฟันอย่างถูกวิธี โดยสุ่มนักเรียน 1-2 คน สาธิตการแปรงฟันโดยใช้แบบจำลองฟันหน้าชั้นเรียน
ขั้นที่ 2 ทำตามแบบ
นักเรียนรวมกลุ่มร่วมกันทบทวนและศึกษาความรู้เพิ่มเติมเรื่อง การแปรงฟันอย่างถูกวิธี จากหนังสือเรียน
ครูสาธิตการแปรงฟันอย่างถูกวิธี โดยใช้แบบจำลองฟันให้นักเรียนดูอีกครั้ง พร้อมอธิบายประกอบในแต่ละขั้นตอน
นักเรียนจับคู่กัน แล้วฝึกการแปรงฟันอย่างถูกวิธี โดยใช้แบบจำลองฟันตามแบบที่ครูสาธิต
ขั้นที่ 3 ทำเองโดยไม่มีแบบ
นักเรียนแต่ละคนฝึกแปรงฟันอย่างถูกวิธีโดยไม่มีแบบ
ครูสังเกตการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียน พร้อมให้คำแนะนำหากการปฏิบัติของนักเรียนมีข้อบกพร่อง
ขั้นที่ 4 ฝึกทำให้ชำนาญ
ครูแจกเม็ดสีย้อมฟันให้นักเรียนเคี้ยว จากนั้นให้นักเรียนแต่ละคู่ตรวจสอบผล ถ้าฟันของนักเรียนมีเม็ดสี ติดอยู่มาก แสดงว่าแปรงฟันไม่สะอาด จากนั้นให้นักเรียนหาสาเหตุของการแปรงฟันไม่สะอาด แล้วร่วมกันสรุปผล
นักเรียนร่วมกันอภิปรายว่า เพราะเหตุใด เราจึงต้องดูแลรักษาความสะอาดฟัน เพื่อให้นักเรียนเห็นความสำคัญและตระหนักในการรักษาสุขภาพฟัน
สอนวิธีแปรงฟันที่ถูกต้อง
1.วางขนแปรงแนบกับขอบเหงือกเอียงขนแปรงทำมุม 45 องศา กับตัวฟัน
2.ฟันบนปัดลงล่าง ฟันล่างปัดขึ้นบน
3.แปรงให้ทั่วทุกที่ ทั้งด้านนอกด้านในของฟันบนและฟันล่างให้สะอาด
4.ฟันที่บดเคี้ยวให้ถูไปมาตามแนวฟันทั้งซ้ายและขวา จนสะอาด
5.แปรงลิ้นปัดขนแปรงจากโคนลิ้นมาปลายลิ้น
4.วัคซีน
วัคซีนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของเด็กวัยเรียน
วัคซีนที่จำเป็นต้องได้รับ
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 (ตรวจสอบประวัติและเก็บตกวัคซีน)
เฉพรายรายที่ไม่ได้รับรับครบตามเกณฑ์
MMR (วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน)
MMR Mumps-Measles-Rubella
การฉีดยา
แนะนำให้ฉีด 2 เข็ม โดยเข็มแรกฉีดเมื่ออายุ 12-15 เดือน และเข็มที่ 2 เมื่ออายุ 4-6 ปี (ตำราวัคซีนประเทศไทย 2562 แนะนำเมื่ออายุ 2 ปีครึ่ง)
หากมีการระบาดของโรคคางทูม หัด และหัดเยอรมัน สามารถให้เข็มแรกได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน และให้ซ้ำเมื่ออายุ 12 เดือน และ 2 ปีครึ่งตามปกติ
อาการข้างเคียงที่พบได้บ่อย เช่น ไข้ มักเกิดอาการภายใน 6-12 วันหลังได้รับวัคซีน ผื่นคัน อาการแพ้ หรือข้ออักเสบ เป็นต้น
ใครไม่ควรฉีด
ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้วัคซีน
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันภายในระยะเวลา 1 เดือน ผู้ที่เป็นโรคมะเร็งที่มีผลต่อไขกระดูก ผู้ป่วยโรคเอดส์ที่มีระดับ CD4+
HBV (วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี)
ใครต้องได้รับวัคซีน
ใช้กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบ บี สำหรับคนทุกกลุ่มอายุ
ใช้กระตุ้นให้เกิดภูมิในกลุ่มที่มีโอกาสติดเชื้อสูง เช่นผู้ป่วยโรคไตที่ต้องฟอกเลือด ผู้ที่ต้องได้รับการถ่ายเลือดบ่อย
ใครไม่ควรฉีด
แพ้ yeast
แพ้วัคซีน
บุคคลที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
อาการข้างเคียง
ส่วนใหญ่ไม่เกิดอาการแพ้ อาจจะเกิดอาการแสบคอหรือมีไข้ซึ่งจะหายไป1-2วันหลังฉีด อาการแพ้อย่างรุนแรงอาจพบมีไข้สูง สับสน หายใจลำบากมีเสียงดังหวีด หัวใจเต้นเร็วถ้าหากเกิดอาการดังกล่าวให้รีบพบแพทย์
การฉีดยา
ทารกที่เกิดจากแม่ไม่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
เข็มแรก ตั้งแต่เกิดจนถึง 2 เดือน
เข็มที่ 2 1 เดือนหลังเข็มแรก
เข็มที่ 3 6 เดือนหลังเข็มแรก
ทารกที่เกิดจากแม่ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
เข็มแรก ภายใน 12 ชั่วโมงหลังคลอด ร่วมกับhepatitis B immune globulin
เข็มที่ 2 อายุ 1-2 เดือน
เข็มที่ 3 อายุ 6 เดือน
LAJE (วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์)
การฉีดยา
เข็มแรก อายุ 9 เดือน- 1 ปี 6 เดือน
เข็มที่ 2 ฉีดที่อายุ 1 ปี 7 เดือน
เข็มที่ 3 ฉีดที่อายุ 2 ปี 6 เดือน
Live Attenuated Japanese encephalitis virus
ใครควรฉีด
ประชากรที่อยู่ในแหล่งระบาดของโรค และนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมายังประเทศในทวีปเอเชียรวมทั้งประเทศไทยนานเกิน 1 เดือน แนะนำให้ฉีดวัคซีนให้ครบอย่างน้อย 10 วันก่อนเดินทาง เพื่อให้มีระดับภูมิคุ้มกันสูงพอในการป้องกันโรคและจะได้เฝ้าระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
ใครไม่ควรฉีด
มีประวัติแพ้วัคซีนจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอีในครั้งก่อน
แพ้สารเจลาตินไม่ควรรับวัคซีนชนิดเนื้อตาย
มีไข้สูงหรือติดเชื้อรุนแรงให้เลื่อนการรับวัคซีน รอจนหายดีก่อนจึงค่อยมารับวัคซีน
อาการข้างเคียง
วัคซีนเชื้อตาย
ได้แก่ปวดบวมแดงบริเวณที่ฉีด มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย คลื่นไส้ เกิดผื่นแพ้แบบลมพิษ อาจเกิดทันทีหรือล่าช้าไป ส่วนใหญ่ภายใน 10 วัน
วัคซีนเชื้อเป็น
พบน้อยกว่าวัคซีนเชื้อตาย และหายได้เองใน 2 วัน ได้แก่ ปวดบวมแดงร้อนบริเวณที่ฉีด มีไข้ เกิดผื่น คลื่นไส้ เด็กร้องโยเย เบื่ออาหาร เป็นต้น
IPV (วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดฉีด)
ให้เด็กทุกคนตั้งแต่อายุ 2 เดือน
การฉีดยา
IPV ให้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อในเด็กอายุ 2, 4, 6-18 เดือน และอายุ 4-6 ปี รวม 4 ครั้ง
สามารถใช้ IPV แทน OPV ได้ทุกครั้ง หากใช้ชนิดกินสลับชนิดฉีดต้องให้ 5 ครั้ง ตามกำหนดการให้ OPV
ใครไม่ควรรับ
ในผู้ที่แพ้ยาปฏิชีวนะที่ผสมในวัคซีนแบบ anaphylaxis ได้แก่ streptomycin, neomycin, polymyxin B
dT (วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก)
เด็กอายุ 2 เดือนขึ้นไปทุกคน และผู้ที่มีภูมิต้านทานต่อโรคทั้งสาม
Diphtheria (D) และ tetanus (T) เป็น toxoid
ฉีด 0.5 มล. เข้ากล้ามเนื้อ DTwP หรือ DTaP ให้เมื่อเด็กอายุ 2, 4, 6, 18 เดือนและอายุ 4-6 ปี รวม 5 ครั้ง
เด็กอายุ 11-12 ปี ควรฉีด Tdap หรือ dT หลังจากนั้นควรฉีดกระตุ้นด้วย dT ทุก 10 ปี
อาการข้างเคียง
Local reaction ปวด บวม แดง ตำแหน่งที่ฉีด ถ้าฉีดตื้นไปไม่ลึกถึงชั้นกล้ามเนื้ออาจมีก้อนใต้ผิวหนัง (sterile abscess)
Anaphylaxis ที่เกิดทันทีหลังฉีด ห้ามให้วัคซีนคอตีบไอกรนหรือบาดทะยักทุกชนิด
Encephalopathy ภายใน 7 วันหลังได้วัคซีน ห้ามให้วัคซีนไอกรนทุกชนิด ให้ใช้ DT หรือ Td แทน
ปฏิกิริยาอื่นๆ เช่น ไข้สูงมาก ชักจากไข้สูง ร้องกวนไม่หยุด
OPV (วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน)
ให้เด็กทุกคนตั้งแต่อายุ 2 เดือน
การให้ยา
หยอด Bivalent OPV ครั้งละ 0.1-0.5 มล. (2-3 หยด) ให้เด็กอายุ 2, 4, 6, 18 เดือนและอายุ 4-6 ปี รวม 5 ครั้ง (โดยที่อายุ 4 เดือนต้องฉีด IPV ร่วมด้วย)
อาการข้างเคียง
พบอัมพาตจากวัคซีน OPV หรือ vaccine-associated paralytic poliomyelitis (VAPP) ได้ทั้งในผู้รับวัคซีนและผู้สัมผัสกับผู้รับวัคซีน
ห้ามให้ OPV ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือสมาชิกในครอบครัวของผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ให้ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานว่าเคยได้รับเมื่อแรกเกิดและไม่มีแผลเป็น
ไม่ให้ในเด็กติดเชื้อเอชไอวีที่มีอาการของโรคเอดส์
BCG (วัคซีนป้องกันวัณโรค)
ใครที่ควรฉีด
ทารกแรกเกิดทุกคน รวมทั้งทารกที่เกิดจากแม่ที่ติดชื้อ HIV
การฉีดยา
ฉีด 0.1 มล. เข้าในชั้นผิวหนัง (intradermal) ที่ไหล่ซ้าย
อาการข้างเคียง
Local reaction หลังฉีดประมาณ 2-4 สัปดาห์ จะมีตุ่มแดงนูนขึ้นบริเวณที่ฉีด ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มหนองแล้วแตกออกเป็นแผล แผลจะเป็นอยู่นาน 4-6 สัปดาห์ แล้วจะหายเหลือเป็นแผลเป็น (BCG scar) อาจพบปฏิกิริยาที่รุนแรง เช่น ฝีในชั้นใต้ผิวหนัง ต่อมน้ำเหลืองใกล้ที่ฉีดโต ซึ่งส่วนใหญ่จะหายเอง กระดูกอักเสบ (osteiltis) จาก BCG พบเฉพาะบางสายพันธ์ุของ BCG
Disseminated fatal infection พบ 0.06-1.56 รายต่อการฉีดวัคซีน 1 ล้านครั้ง มักพบในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด เช่น severe combined immune deficiency
ใครไม่ควรฉีด
ผู้ป่วยที่ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เจ็บป่วยเฉียบพลัน หญิงมีครรภ์ แพ้ส่วนประกอบของวัคซีน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 (เฉพาะนักเรียนหญิง)
HPV1 และ HPV2
(วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อเอชพีวี)
การฉีดยา
ระยะห่างระหว่างเข็ม ห่างกันอย่างน้อย 6 เดือน
กรณีเด็กหญิงไทยที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษาให้ฉีดที่อายุ 11-12 ปี
วัคซีนชนิด bivalent ฉีดเดือนที่ 0, 1 และ 6
วัคซีนชนิด quadrivalent ฉีดเดือนที่ 0, 2 และ 6
หากฉีดเข็มแรงก่อนอายุ 15 ปี ให้ฉีด 2 เข็มได้ที่ 0,2-6 เดือน ในผู้ชายให้ฉีดเฉพาะชนิด quadrivalent
อาการข้างเคียง
ปวดบวมแดงตำแหน่งที่ฉีด อาจมีไข้ ไม่พบปฏิกิริยาที่รุนแรง แต่มีรายงานหน้ามืดเป็นลมหลังฉีดวัคซีนในวัยรุ่นจึงควรสังเกตอาการหลังฉีด 30 นาที
ใครไม่ควรฉีด
ผู้ที่แพ้ latex ห้ามให้ bivalent vaccine ผู้ที่แพ้ยีสต์ห้ามให้ quadrivalent vaccine
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
dT (วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก)
เด็กอายุ 2 เดือนขึ้นไปทุกคน และผู้ที่มีภูมิต้านทานต่อโรคทั้งสาม
Diphtheria (D) และ tetanus (T) เป็น toxoid
ฉีด 0.5 มล. เข้ากล้ามเนื้อ DTwP หรือ DTaP ให้เมื่อเด็กอายุ 2, 4, 6, 18 เดือนและอายุ 4-6 ปี รวม 5 ครั้ง
เด็กอายุ 11-12 ปี ควรฉีด Tdap หรือ dT หลังจากนั้นควรฉีดกระตุ้นด้วย dT ทุก 10 ปี
อาการข้างเคียง
Local reaction ปวด บวม แดง ตำแหน่งที่ฉีด ถ้าฉีดตื้นไปไม่ลึกถึงชั้นกล้ามเนื้ออาจมีก้อนใต้ผิวหนัง (sterile abscess)
Anaphylaxis ที่เกิดทันทีหลังฉีด ห้ามให้วัคซีนคอตีบไอกรนหรือบาดทะยักทุกชนิด
Encephalopathy ภายใน 7 วันหลังได้วัคซีน ห้ามให้วัคซีนไอกรนทุกชนิด ให้ใช้ DT หรือ Td แทน
ปฏิกิริยาอื่นๆ เช่น ไข้สูงมาก ชักจากไข้สูง ร้องกวนไม่หยุด
วัคซีนเสริมหรือทดแทน
Influenza (วัคซีนไข้หวัดใหญ่)
เด็กทุกคนที่มีอายุระหว่าง 6 เดือน ถึง 2 ปี ผู้ที่มีความเสี่ยงที่เป็นโรครุนแรง เช่น ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง โรคหืด โรคหัวใจ โรคไตเรื้อรัง เบาหวาน โรคอ้วน ธาลัสซีเมีย
การฉีดยา
ฉีด 0.5 มล. เข้ากล้ามเนื้อ โดยในเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี ให้ลดขนาดเหลือ 0.25 มล.
หากเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 9 ปี การฉีดในปีแรกต้องฉีดสองครั้งห่างกัน 1 เดือน ในปีต่อๆไปฉีดปีละ 1 ครั้ง
อาการช้างเคียง
ไข้และปวดเมื่อยตำแหน่งที่ฉีดได้นาน 1-2 วัน มีรายงานการเกิด Guillain-Barre syndrome ในอัตรา 1 ต่อล้าน
ใครไม่ควรฉีด
ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบของวัคซีน ให้ระมัดระวังในผู้ที่เคยมีอาการของ Guillain-Barre syndrome ภายใน 6 สัปดาห์ ภายหลังได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่
2.การลงสมุดบันทึกสุขภาพนักเรียน
การบริการอนามัยที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
การสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน
การรักษาพยาบาล
ผลการตรวจสุขภาพ
ตรวจการได้ยิน
ตรวจหูข้างซ้ายและข้างขวา
ปกติ
ไม่ปกติ
ความสะอาดของร่างกายและเสื้อผ้า
2 = พอใช้
3 = สกปรก
1 = สะอาด
ตรวจสายตา
ตรวจสายตาข้างซ้ายและข้างขวา
ใส่แว่น
ไม่ใส่แว่น
การตรวจอวัยวะต่าง ๆ
0=ปกติ
ผิดปกติ
หู= มีขี้หู
ปาก/ ลิ้น = มีตุ่มน้ำ
ตา = ตาบวม
เหงือก = มีเลือดไหล
ผมศีรษะ = ไข่เหา
คอ = มีคราบไคล
ผิวหนัง = แผลถลอก
กระดูก = ขาทั้งสองข้างโก่ง
ฟัน
ฟันแท้ผุ = ผุ...ซี่
ฟันน้ำนมผุ= น้ำนมผุ
อื่นๆ = เล็บยาวดำ
การติดตามผลการรักษา
ประวัติเจ็บป่วย การเจริญเติบโต
ประวัติเจ็บป่วย
การแพ้
การผ่าตัด
โรค
อุบัติเหตุร้ายแรง
ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว
การเจริญเติบโต
น้ำหนัก
ส่วนสูง
อายุ
คำนวณวันที่ตรวจร่างกาย – วัน/เดือน/ปีเกิด บันทึกเป็น ปี/ เดือน
ภาวะการเจริญเติบโต
ต=ต่ำกว่าเกณฑ์
ป=ปกติ
อ=มากกว่าเกณฑ์ (อ้วน)
ประวัติทั่วไป
ที่อยู่ สัญชาติ ศาสนา
ชื่อ-สกุลบิดา,มารดา การมีชีวิต สถานภาพสมรส อาชีพ
ชื่อ-สกุลนักเรียน เพศ วันเกิด
ชื่อ-สกุลผู้ปกครอง ที่อยู่ อาชีพ
วันเดือนปีที่ขึ้นทะเบียน โรงเรียน สถานที่ตั้ง
การย้ายโรงเรียน
1 more item...
1 more item...