Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
องค์ประกอบของศาสนา - Coggle Diagram
องค์ประกอบของศาสนา
ศาสนาโซโรอิสเตอร์
1.
8
- คำสอน สอนถึงเมตตากรุณา และบาปหนักที่สุดในศาสนานี้ - สัจจะเป็นคุณธรรมข้อแรก คนที่พูดสัตย์เพียงคนเดียว ยังดีกว่าคนทั้งโลกที่พูดเท็จ - ทานเป็นคุณธรรมข้อถัดมา จงมีความเมตตากรุณา ช่วยเหลือคนยากจน ให้ความรู้แก่ผู้ที่ไม่รู้ ให้ความช่วยเหลือ แก่ผู้ต้องการความช่วยเหลื
2.ศาสดา หมายถึง ลัทธิความเชื่อของมนุษย์ เกี่ยวกับการกำเนิดและสิ้นสุดของโลก หลักศีลธรรม ตลอดจนลัทธิพิธีที่กระทำตามความเชื่อนั้น ๆ[1] หลายศาสนามีการบรรยาย สัญลักษณ์และประวัติศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเจตนาอธิบายความหมายของชีวิต และ/หรืออธิบายกำเนิดชีวิตหรือเอกภพ จากความเชื่อของศาสนาเกี่ยวกับจักรวาลและธรรมชาติมนุษย์ คนได้รับศีลธรรม จริยศาสตร์ กฎหมายศาสนาหรือวิถีชีวิตลำดับก่อน บางการประมาณว่า มีศาสนาราว 4,200 ศาสนาในโลก
3.พิธีกรรม พิธีศพ เมื่อมีคนตายลง ชาวโซโรอัสเตอร์ จะไม่เผาศพจะไม่ฝังศพ จะไม่ทิ้งซากศพลงในน้ำ เพราะโดยหลักการแล้ว ศาสนานี้ถือว่าไฟเป็นสัญลักษณ์แห่งพระเจ้า จึงมีความศักดิ์สิทธิ์มาก และในขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าดินน้ำก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน ถ้าเผาศพก็เกรงว่าจะทำให้ไฟหมดความศักดิ์สิทธิ์และแปดเปื้อนด้วยสิ่งสกปรก ถ้าจะฝังดินก็เกรงว่าดินจะหมดความศักดิ์สิทธิ์ หรือทิ้งซากศพลงในน้ำก็เกรงว่าน้ำจะสกปรกและหมดความศักดิ์สิทธ์ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเอาศพไปวางไว้บนหอคอยที่สูงซึ่งสร้างไว้เป็นพิเศษเพื่อการนี้เรียกชื่อว่า หอคอยแห่งความสงบ(The Tower of Silence) ทิ้งไว้อย่างนั้นให้เป็นอาหารของแมลงของมด ของสัตว์อื่นๆ เช่น นก อีกา อีแร้ง หรือแม้แต่สุนัข
4.ศาสนสถาน วิหารไฟ เป็นศาสนสถานในศาสนาโซโรอัสเตอร์[1] หรือชื่ออื่น ๆ อาตัชกาเดห์ ในศาสนาโซโรอัสเตอร์นั้นมองไฟ กับน้ำสะอาด เป็นส่วนประกอบของความบริสุทธิ์ในพิธีกรรม “เถ้าถ่าน (ที่ขาวและสะอาดจากไฟ) สำหรับพิธีการชำระล้างให้บริสุทธิ์นั้น (เป็น) พื้นฐานของชีวิตพิธีกรรม”
5.ศาสนิก
วิหารไฟ (อังกฤษ: Fire temple) เป็นศาสนสถานในศาสนาโซโรอัสเตอร์[1] หรือชื่ออื่น ๆ อาตัชกาเดห์ (ภาษาเปอร์เซีย: آتشکده Atashkadeh), อาตัชกาห์ (Atashgah),ดาร์-อี เมหร์ (dar-e mehr ในภาษาเปอร์เซีย) หรือ อคียรี (agiyari ในภาษาคุชราต)[2][3] ในศาสนาโซโรอัสเตอร์นั้นมองไฟ (อตาร์, atar). กับน้ำสะอาด (อบัน, aban) เป็นส่วนประกอบของความบริสุทธิ์ในพิธีกรรม “เถ้าถ่าน (ที่ขาวและสะอาดจากไฟ) สำหรับพิธีการชำระล้างให้บริสุทธิ์นั้น (เป็น) พื้นฐานของชีวิตพิธีกรรม”
-
ศาสนาโซโรอัสเตอร์เกิดในภูมิภาคตะวันออกของจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณ เมื่อนักปรัชญาศาสนา โซโรอัสเตอร์ ปรับปรุงเทพเจ้า (pantheon) เทพเจ้าของอิหร่านช่วงต้นให้ง่ายขึ้น[1] เป็นสองฝ่ายค้านกัน คือ Spenta Mainyu ("วิสัยจิตก้าวหน้า") และ Angra Mainyu ("วิสัยจิตทำลายล้าง") ภายใต้พระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียว อาหุรามัสดา (Ahura Mazda, "ภูมิปัญญาสว่าง")[2]
ความคิดของโซโรอัสเตอร์นำสู่ศาสนาทางการซึ่งใช้ชื่อของเขาเมื่อราวศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล และมีอิทธิพลต่อศาสนาอื่นต่อมาซึ่งรวมศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และไญยนิยม[3]
ศาสนาเชน
วิหารไฟ (อังกฤษ: Fire temple) เป็นศาสนสถานในศาสนาโซโรอัสเตอร์[1] หรือชื่ออื่น ๆ อาตัชกาเดห์ (ภาษาเปอร์เซีย: آتشکده Atashkadeh), อาตัชกาห์ (Atashgah),ดาร์-อี เมหร์ (dar-e mehr ในภาษาเปอร์เซีย) หรือ อคียรี (agiyari ในภาษาคุชราต)[2][3] ในศาสนาโซโรอัสเตอร์นั้นมองไฟ (อตาร์, atar). กับน้ำสะอาด (อบัน, aban) เป็นส่วนประกอบของความบริสุทธิ์ในพิธีกรรม “เถ้าถ่าน (ที่ขาวและสะอาดจากไฟ) สำหรับพิธีการชำระล้างให้บริสุทธิ์นั้น (เป็น) พื้นฐานของชีวิตพิธีกรรม”
-
ศาสนาโซโรอัสเตอร์เกิดในภูมิภาคตะวันออกของจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณ เมื่อนักปรัชญาศาสนา โซโรอัสเตอร์ ปรับปรุงเทพเจ้า (pantheon) เทพเจ้าของอิหร่านช่วงต้นให้ง่ายขึ้น[1] เป็นสองฝ่ายค้านกัน คือ Spenta Mainyu ("วิสัยจิตก้าวหน้า") และ Angra Mainyu ("วิสัยจิตทำลายล้าง") ภายใต้พระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียว อาหุรามัสดา (Ahura Mazda, "ภูมิปัญญาสว่าง")[2]
ความคิดของโซโรอัสเตอร์นำสู่ศาสนาทางการซึ่งใช้ชื่อของเขาเมื่อราวศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล และมีอิทธิพลต่อศาสนาอื่นต่อมาซึ่งรวมศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และไญยนิยม[3]
คัมภีร์
- คำสอน คัมภีร์ของศาสนาเชนเป็นเรื่องที่ยากแก่การค้นคว้า ไม่ค่อยเปิดเผยเหมือนศาสนาอื่น สาวกบางคนที่มีคัมภีร์ก็พยายามจะเก็บซ่อนคัมภีร์ไว้อย่างมิดชิด หลักสำคัญของคัมภีร์ศาสนาเชนคือ คัมภีร์อาคมะ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สิทธานตะ และคัมภีร์กัลปสูตร
-
2.ศาสดา
ศาสดา
ศาสดาของศาสนาเชน เดิมมีนามว่า "วรรธมาน" แปลว่า ผู้เจริญมีกำเนิดในสกุลกษัตริย์ เมืองเวสาลี พระบิดานามว่า สิทธารถะ พระมารดานามว่า ตริศาลา เมื่อเจริญวัยได้รับการศึกษาศิลปศาสตร์หลายอย่างโดยควรแก่ฐานะแห่งกษัตริย์ เผอิญวันหนึ่งขณะเล่นอยู่กับสหาย ได้มีช้างตกมันตัวหนึ่งหลุดออกจากโรงวิ่งมาอาละวาด ทำให้ฝูงชนแตกตื่นตกใจ ไม่มีใครจะกล้าเข้าใกล้และจัดการช้างตกมันตัวนี้ให้สงบได้ แต่เจ้าชายวรรธมานได้ตรงเข้าไปหาช้างและจับช้างพากลับไปยังโรงช้างได้ตามเดิม เพราะเหตุที่แสดงความกล้าหาญจับช้างตกมันได้จึงมีนามเกียรติยศว่า "มหาวีระ" แปลว่า ผู้กล้าหาญมาก
มหาวีระมีพี่น้องร่วมพระมารดาเดียวกัน 2 องค์ คือ พระเชษฐภคินี และพระเชษฐภาดา พระมหาวีระ เป็นโอรสองค์สุดท้าย
เมื่อเจ้าชายวรรธมานมีพระชนมายุได้ 12 พรรษา ทรงได้รับพิธียัชโญปวีตคือพิธีสวมด้ายมงคลแสดงพระองค์เป็นศาสนิกตามคติศาสนาพราหมณ์ หลังจากพระบิดาได้ทรงส่งเจ้าชายวรรธมานไปศึกษาลัทธิของพราหมณษจารย์หลายปี เจ้าชายทรงสนพระทัยในการศึกษาแต่ในพระทัยมีความขัดแย้งกับคำสอนของพราหมณ์ที่ว่า วรรณะพราหมณ์ประเสริฐที่สุดในโลก ส่วนวรรณะอื่นต่ำต้อย แม้วรรณะกษัตริย์ยังต่ำกว่าวรรณะพราหมณ์ แต่แล้วพวกพราหมณ์ได้ประพฤติกาย วาจาและใจ เลวทรามไปตามทิฐิและลัทธินั้นๆ
เมื่อเจ้าชายวรรธมานมีพระชนมายุได้ 19 พรรษา พระบิดาทรงจัดให้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงยโสธรา ซึ่งเวลาต่อมาได้พระธิดาองค์หนึ่งนามว่า อโนชา หรือ ปริยทรรศนา เจ้าชายวรรธมานกับพระชายาได้เสวยสุขในฆราวาสวิสัยด้วยความเกษมสำราญจนพระชนมายุได้ 28 พรรษา มีความเศร้าโศกเสียพระทัยอย่างมากจากการสิ้นพระชนม์ของพระบิดาและพระมารดา ด้วยวิธีการอดอาหารตามข้อวัตรปฏิบัตรในศาสนาพราหมณ์ซึ่งเรียกว่า "ศาสนอัตวินิบาตกรรม" ซึ่งถือว่าเป็นบุญอย่างหนึ่ง
- ศาสนสถาน นิกายเศวตัมพร นำโดยสถูลภัทร ส่วนใหญ่ประจำอยู่ในแคว้นพิหาร นุ่งห่มขาว ที่หน้าสำนักจะติดตั้งรูปตีรถังกรประดับด้วยเครื่องนุ่งห่มและมองตรงไปข่างหน้าปฏิบัติธรรมถือหลักศีล 5 เป็นพื้น คือ อวิหิงสา สัจจะ อัสเตยะ พรหมจรรย์และอปริครหะ มีการทำสังคายนา รวบรวมคัมภีร์ศาสนาไว้เป็นหมวดหมู่ และยังมีการแตกแยกเป็นนิกายย่อยลงไปอีกถึง 84 นิกาย ที่ต่างกันโดยมากเป็นเรื่องของความเห็นที่ทำให้ปฏิบัติต่างกันออกไป เช่น นิกายหนึ่งเห็นส่าต้องบูชารูปตีรถังกรเพราะเป็นศาสดา อีกนิกายหนึ่งเห็นว่า เพียงเคารพนับถือก็พอไม่ต้องบูชาเพราะตีรถังกรมิใช่เทพเจ้า อีกนิกายหนึ่งเห็นว่า ควรสร้างรูปเคาร
3.พิธีกรรม ประจำวัน คือ พิธีชลบูชา การทำความสะอาดองค์ตีรถังกรด้วยน้ำและเช็ดให้แห้งอย่างสำรวมระวังมิให้น้ำหกหยดลงพื้นเด็ดขาด และการถวายอาหาร คือ ข้าว และผลไม้แห้งในเวลาเช้า และพอตอนเย็นทำพิธีอารติบูชา คือการแกว่งตะเกียงจากซ้ายไปขวาเบื้องหน้าองค์ตีรถังกรในนิกายเศวตัมพร พิธีชลบูชา นอกจากจะทำให้สะอาดองค์ตีรถังกรด้วยน้ำสะอาดแล้วยังต้องล้างด้วยน้ำนมอีกแล้วกรองผ้าให้ใหม่ ตกแต่งให้งามด้วยเครื่องประดับ เช่น ทอง เงิน สร้อย มงกุฎ กำไล หรือพวงมาลัย