Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ผู้ป่วยเตียง 21 มภร.10/1 Dx.Anemia รับไว้ในความดูแลวันที่ 7 กุมภาพันธ์…
ผู้ป่วยเตียง 21 มภร.10/1
Dx.Anemia
รับไว้ในความดูแลวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
โลหิตวิทยา
CBC
06/02/64 เวลา06.00น.
Hb = 7.7 g/dL (12.8-16.1 g/dL) ต่ำ อาจเกิดภาวะโลหิตจาง/ขาดธาตุเหล็ก
Hct = 24.8 g/dL (38.2-48.3 g/dL) ต่ำ เกิดภาวะโลหิตจาง
RBC = 2.71 10^6/uL (4.3-5.55 10^6/uL) ต่ำ อาจเกิดภาวะโลหิตจาง
MCHC = 31.0 g/dL (32.0-34.9 g/dL) ต่ำ อาจเกิดจากโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
RDW = 23.2 % (11.8-15.2%) สูง อาจเกิดโลหิตจางการขารขาดธาตุเหล็ก
WBC = 4.17 10^3/uL (4.03-10.77 10^3/uL) ปกติ
Lymphocyte = 20.0 % (21.1-42.7%) ต่ำ
Monocyte = 12.9 % (3.3-10.2%) สูง อาจเกิดการติดเชื้อ
06/02/64 เวลา 18.00 น.
Hb = 7.9 g/dL (12.8-16.1 g/dL) ต่ำ อาจเกิดภาวะโลหิตจาง/ขาดธาตุเหล็ก
Hct = 25.2 g/dL (38.2-48.3 g/dL) ต่ำ เกิดภาวะโลหิตจาง
RBC = 2.76 10^6/uL (4.3-5.55 10^6/uL) ต่ำ อาจเกิดภาวะโลหิตจาง
MCHC = 31.4 g/dL (32.0-34.9 g/dL) ต่ำ อาจเกิดจากโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
RDW = 22.0 % (11.8-15.2%) สูง อาจเกิดโลหิตจางการขารขาดธาตุเหล็ก
WBC = 4.66 10^3/uL (4.03-10.77 10^3/uL) ปกติ
Lymphocyte = 18.5 % (21.1-42.7%) ต่ำ
Monocyte = 13.4 % (3.3-10.2%) สูง อาจเกิดการติดเชื้อ
Platelet Count = 282 10^3/ul (154-384 10^3/ul)
MVP = 7.3fL (7.5-11.3 fL) ต่ำ การสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง
07/02/64
Hb = 9.2 g/dL (12.8-16.1 g/dL) ต่ำ อาจเกิดภาวะโลหิตจาง/ขาดธาตุเหล็ก
Hct = 29.2 g/dL (38.2-48.3 g/dL) ต่ำ เกิดภาวะโลหิตจาง
RBC = 3.18 10^6/uL (4.3-5.55 10^6/uL) ต่ำ อาจเกิดภาวะโลหิตจาง
MCHC = 31.6 g/dL (32.0-34.9 g/dL) ต่ำ อาจเกิดจากโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
WBC = 4.88 10^3/uL (4.03-10.77 10^3/uL) ปกติ
Lymphocyte = 30.7 % (21.1-42.7%) ปกติ
Monocyte = 14.2 % (3.3-10.2%) สูง ร่างกายอาจมีการติดเชื้อ
Platelet Count = 323 10^3/ul (154-384 10^3/ul) ปกติ
MVP = 7.7 fL (7.5-11.3 fL) ปกติ
08/02/64
Hb = 8.9 g/dL (12.8-16.1 g/dL) ต่ำ อาจเกิดภาวะโลหิตจาง/ขาดธาตุเหล็ก
Hct = 28.6 g/dL (38.2-48.3 g/dL) ต่ำ เกิดภาวะโลหิตจาง
RBC = 3.08 10^6/uL (4.3-5.55 10^6/uL) ต่ำ อาจเกิดภาวะโลหิตจาง
MCHC = 31.3 g/dL (32.0-34.9 g/dL) ต่ำ อาจเกิดจากโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
RDW = 21.8 % (11.8-15.2%) สูง อาจเกิดโลหิตจางจากร่างกายขาดเหล็ก
Monocyte = 12.5 % (3.3-10.2%) ต่ำ ถือว่าไม่สำคัญมาก
10/02/64
Hb = 9.7 g/dL (12.8-16.1 g/dL) ต่ำ อาจเกิดภาวะโลหิตจาง/ขาดธาตุเหล็ก
Hct = 31.6 g/dL (38.2-48.3 g/dL) ต่ำ เกิดภาวะโลหิตจาง
RBC = 3.37 10^6/uL (4.3-5.55 10^6/uL) ต่ำ อาจเกิดภาวะโลหิตจาง
MCHC = 30.7 g/dL (32.0-34.9 g/dL) ต่ำ อาจเกิดจากโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
WBC = 7.27 10^3/uL (4.03-10.77 10^3/uL) ปกติ
Lymphocyte = 33.3 % (21.1-42.7%) ปกติ
Monocyte = 11.5% (3.3-10.2%) สูง ร่างกายอาจมีการติดเชื้อ
Platelet Count = 391 10^3/ul (154-384 10^3/ul) สูง
MVP = 7.8 fL (7.5-11.3 fL) ปกติ
Coagulation test(06/02/64)
PT = 12.8 seconds (10.3-12.8 seconds)
INR = 1.11 (0.8-1.11)
APTT Radio = 0.93
APTT = 24.6 seconds (22.4-30.6 seconds)
PT = เวลาที่เลือดเริ่มเเข็งตัว ค่ามากแปลว่าเลือดแข็งตัวช้า
INR = อัตราส่วนปกติของคนใช้ยาละลายลิ่มเลือด / ให้เลือดลดความข้น
Special test(06/02/64)
Reticulocyte Count = 6.65 %
Reticulocyte count เป็นค่าที่ใช้แสดงอัตราการสร้างเม็ดเลือดแดง
โดยคิดเป็นร้อยละของ Rbc ค่าปกติ คือ 0.5-2.5% โดยทั่วไปค่า Reticulocyte count ที่สูงขึ้นในภาวะโลหิตจางแสดงว่าไขกระดูกยังมีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดี เช่น ภาวะโลหิตจางที่เกิดจากการแตกทำลายของเม็ดเลือด ภาวะโลหิตจางที่เกิดจากการเสียเลือด เป็นต้น
เคมีคลินิก
(06/02/64)
BUN = 40.3 mg/dL (8.9-20.6 mg/dL)
Creatinine = 3.70 mg/dL (0.73-1.18 mg/dL)
Albumin = 3.3 g/dL (3.5-5.2 g/dL)
Calcium = 8.6 mg/dL (8.8-10.6 mg/dL)
Chloride = 107.2 mmol/L (98-107 mmol)
CO2 = 21.1 mmol/L (22-29 mmol)
BUN คือ ค่าไนโตรเจนจากสารยูเรียที่มีในกระแสเลือด ซึ่งไนโตรเจนยูเรียเป็นของเสียที่ไตขับทิ้ง ดังนั้น BUN เป็นค่าแสดงสภาวะการทำงานของไต ค่าปกติ = 8.9-20.6 mg/dL
ซึ่งหากมีค่าสูงกว่าค่าปกติแสดงว่าไตขับยูเรียไนโตรเจนออกไปทางปัสสาวะไม่ได้หรือไม่หมด
Creatinine คือ สารของเสียจากการออกแรงยืดหดหรือใช้กล้ามเนื้อ
ค่าปกติ = 0.73-1.18 mg/dL หากมีค่ามากแสดงถึงภาวะไตทำงานผิดปกติ ความสามรถในการขับสารของเสียลดลง
Albumin คือ ชีวโมเลกุลประเภทโปรตีนที่ลอยในเลือด ซึ่งตับผลิตขึ้น ค่าปกติ = 3.5-5.2 g/dL หากมีค่าต่ำอาจแสดงถึงสภาวะการทำงานของตับที่ลดลง
Calcium ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงถึง ร่ากายสูญเสียแคลเซียมหรือร่างกายไม่สามรถดูดซึมแคลเซียมจากสารอาหารเพียงพอ
Chloride สูงกว่าปกติ อาจแสดงถึงภาวะร่างกายขาดน้ำ เช่น การดื่มน้ำน้อย
CO2 ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงถึงสภาวะไตวายระยะเริ่มต้น เพราะควบคุมไบคาคาร์บอเนตไม่ได้
(07/02/64)
BUN = 34.4 mg/dL (8.9-20.6 mg/dL)
Creatinine = 3.67 mg/dL (0.73-1.18 mg/dL)
Albumin = 3.4 g/dL (3.5-5.2 g/dL)
Calcium = 8.8 mg/dL (8.8-10.6 mg/dL)
Chloride = 109.1 mmol/L (98-107 mmol)
CO2 = 22.6 mmol/L (22-29 mmol)
BUN คือ ค่าไนโตรเจนจากสารยูเรียที่มีในกระแสเลือด ซึ่งไนโตรเจนยูเรียเป็นของเสียที่ไตขับทิ้ง ดังนั้น BUN เป็นค่าแสดงสภาวะการทำงานของไต ค่าปกติ = 8.9-20.6 mg/dL
ซึ่งหากมีค่าสูงกว่าค่าปกติแสดงว่าไตขับยูเรียไนโตรเจนออกไปทางปัสสาวะไม่ได้หรือไม่หมด
Creatinine คือ สารของเสียจากการออกแรงยืดหดหรือใช้กล้ามเนื้อ
ค่าปกติ = 0.73-1.18 mg/dL หากมีค่ามากแสดงถึงภาวะไตทำงานผิดปกติ ความสามารถในการขับสารของเสียลดลง
Calcium ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงถึง ร่ากายสูญเสียแคลเซียมหรือร่างกายไม่สามรถดูดซึมแคลเซียมจากสารอาหารเพียงพอ
Chloride สูงกว่าปกติ อาจแสดงถึงภาวะร่างกายขาดน้ำ เช่น การดื่มน้ำน้อย
Albumin คือ ชีวโมเลกุลประเภทโปรตีนที่ลอยในเลือด ซึ่งตับผลิตขึ้น ค่าปกติ = 3.5-5.2 g/dL หากมีค่าต่ำอาจแสดงถึงสภาวะการทำงานของตับที่ลดลง
CO2 ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงถึงสภาวะไตวายระยะเริ่มต้น เพราะควบคุมไบคาคาร์บอเนตไม่ได้
ภูมิคุ้มกันวิทยา(04/02/64)
Troponin-T = 0.029 ng/mL (0-0.014 ng/mL)
สามารถตรวจพบว่าเป็นกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด นานถึง 2 สัปดาห์หลังจากเกิดอาการแน่นหน้าอก
ตรวจวัด Troponin ได้สูงกว่าค่ามาตรฐาน
ในกรณีที่ตรวจวัดค่า Troponin ได้สูงกว่าค่ามาตรฐาน อาจแสดงผลได้ว่า
-อาจเกิดสภาวะโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
-อาจเกิดการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อหัวใจ
NT-pro NBP = 6534.00
เพื่อการวินิจฉัยและใช้ตรวจประเมินภาวะหัวล้มเหลว และดูความเสี่ยงท่ีผู้ป่วยจะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน และสามารถใช้ตรวจประเมินความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวและอัตรการตายในผู้ป่วยท่ีมีโรคหลอดเลือด
Problem list
4.ค่าHb ต่ำ มีค่า8.9 g/dL
8.ผู้ป่วยมีภาวะตัวเหลือง
6.ค่าBUN = 34.4 mg/dL (06/02/64)
11.ผู้ป่วยมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรค
2.มีการ bleed ที่ออกทาง pennis
3.เหนื่อย อ่อนเพลีย
1.ผู้ป่วยมีภาวะตัวซีด Conjunctiva ซีด
5.Hct มีค่า28.6 %
7.ค่า Creatinin = 3.67 mg/dL
9.ผู้ป่วยมีอาการคันบริเวณผิวหนัง
10.นอนไม่ค่อยหลับ
12.ไม่เข้าใจเรื่องการทำCT abdomen
13.ผู้ป่วยไม่ยอมรับโรคหรือการเจ็บป่วยที่เป็น
มีความกังวลในการจะไปทำ CT whole abdomen
15.ผู้ป่วยไม่อยากล้างไต
พยาธิสรีระวิทยา
Anemia
การแบ่งชนิดของ Anemia
3.การแตกทำลายของเม็ดเลือดแดง (hermolytic aneria) แบ่งเป็น
จากภายนอกเม็ดเลือด (extractorpuscular) ได้แก่ istimmung hermolytic anemia เช่น minor blots) group in่เหTpatibilityและแulinทราunc hc1molytic (AIHA), SLE เป็นต้น
จากภายในเม็ดเลือด (cornuscular) ได้แก่ภาวะ G6PD deficiency, tpherocytosis เป็นต้น
การเสียเลือดจากร่างกาย (blood Ioss) แบ่งเป็น
เสียเลือดเฉียบพลัน (acute blood loss) ได้แก่ ภาวะฉุกเป็นทางศัลยกรรม (surgical cincilion) เช่น splenic rupture เป็นต้น
เสียเลือคเรื้อรัง (chronic blood loss) ได้แก่ พยาธิปากขอเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กส่วนต้น เป็นต้น
การสร้างเม็ดเลือดแดงน้อย (impaired red cell formation) แบ่งเป็น
สารอาหารในการสร้างเม็ดเลือดแดงไม่พอ (deficiency) ได้แก่ การขาดธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 และโฟลิค เป็นต้น
ไขกระดูกฟ่อหรือมีเซลล์มะเร็งกระจายในไขกระดูก (beinc marrow failure / infiltration) ได้แก่ aplastic anemia, acute leukemia, neuroblastoma เป็นต้น
การพยาบาล
ดูแลในรับประทานโดยเน้นให้อาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น เนื้อสัตว์ ตับ เลือดหมู
ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษาและอาการข้างเคียงจากยา
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับเลือดตามแผนการรักษา
บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้เพียงพอ
การให้ออกซิเจน
ป้องกันการติดเชื้อ
ดูแลเรื่องการเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม
การรักษา
-ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เช่น เนื้อสัตว์ ตับ
-หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เสียเลือด
-รักษาตามอาการ
พยาธิสภาพ
เพราะว่าซีดส่งผลให้มีการลดลงของฮีโมโกบิน(Hb) ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบในเม็ดเลือดแดงประกอบด้วย4หน่วยย่อย ในแต่ละหน่วยย่อยมีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบและในแต่ละหน่วยของHb มีความสามารถในการจับกับออกซิเจนได้ 1 หน่วยโมเลกุล ดังนั้นถ้าจำนวนของฮีโมโกบิน(Hb)ลดลงส่วนประกอบในการขนส่งออกซิเจนลดลงร่างกายจะมีการปรับตัวหัวใจทำงานมากขึ้นบีบตัวและเต้นเร็วขึ้นเพื่อให้ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจใน 1 นาที(Cardiac output:CO)เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เลือดไปสู่เนื้อเยื่อต่างๆได้มากขึ้น ผลที่ตามมาจากการบีบตัวมากขึ้นของหัวใจทำให้ปริมาณเลือดในระบบไหลเวียนเพิ่มขึ้น ผนังภายในหัวใจห้องล่างซ้ายหนาตัวขึ้นจากการทำงานที่หนักส่งผลให้Cardiac output ลดลงและการกำซาบของออกซิเจนไปสู่เนื้อเยื่อก็ลดลงด้วย
ภาวะซีด(anemia) หมายถึง ภาวะที่มีจำนวนเม็ดเลือดแดงที่สมบูรณ์หรือระดับฮีโมโกบิน(Hb)ในเลือดต่ำกว่าปกติ ทำให้การขนส่งออกซิเจนไปสู่ ไปสู่เนื้อเยื่อไม่เพียงพอ องค์การอนามัยโลก (World Health Organization ; WHO)ได้ ได้กำหนดเกณฑ์ในการวินิจฉัยภาวะซีดในผู้ใหญ่เพศชายมีระดับฮีโมโกบิน(Hb)น้อยกว่า 13 g/dL และในเพศหญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์น้อยกว่า 12 g/dL
อาการและอาการแสดง
Mild anemia
Hb 10-14 g/dL
ไม่ค่อยแสดงอาการ อาการมักแสดงออกกับโรคหรือการออกแรง/กิจกรรม
เช่นมีอาการเหนื่อยเมื่ออกแรง
3.Severe anemia
Hb <6 g/dl
มีอาการเกิดขึ้นหลายระบบในร่างกาย (multiple body system)ดังนี้
อาการทั่วไป
ซีด(pallor) อ่อนเพลีย(fatigue) มีความรู้สึกไม่สบาย(malaise) อ่อนแรง(weakness) ไข้(fever) เหนื่อยหรือหายใจลำบากเมื่อมีการออกแรงหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรง ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ
ไวต่อการกระตุ้นจากอากาศเย็น น้ำหนักลด
ผิวหนัง
ซีด เย็นชื้น เหลือง เห็นได้ชัดบริเวณริมฝีปาก เยื่อบุตา ฝ่ามือ เหงือก ใบหูผิวแห้ง เล็บเปราะหรือมีspoon nail
ตา
ตาพร่ามัว มองไม่ชัด ตาเหลืองและอาจมีเลือดออกใน Retina
ปาก
เยื่อบุกระพุงแก้มเรียบ ลิ้นเลี่ยนมัน(glossy tongue) ลิ้นเป็นแผล
ระบบหายใจ
หายใจลำบาก(dyspnea) นอนราบไม่ได้(orthopnea)
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
หัวใจเต้นเร็ว (tachycardia)
ใจสั่น(palpitation)
พบเสียง murmer
เจ็บหน้าอก (angina Pain)
หัวใจโต(cardiomegaly)
อาการปวดขาเป็นระยะเหตุจากการขาดเลือด (intermittent claudication)
หัวใจวาย(heart failure)
กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (myocardial infarction)
ระบบทางเดินอาหาร
เบื่ออาหาร(anorexia)
การกินลำบาก(dysphagia)
อาเจียนเป็นเลือด
อุจจาระเป็นมัน
ตับโต(hepatomeglay)
ม้ามโต(splenomegaly)
ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์
ปัสสาวะมีเลือดปน (hematuria)
ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
ปวดหลัง ปวดกระดูกและกล้ามเนื้อ
ระบบประสาท
ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ หน้ามืดเป็นลม(fainting)
สับสน เฉื่อยชา คิดช้า สมาธิสั้น ซึมเศร้า
การรับความรู้สึกที่ส่วนปลายผิดปกติ(paresthesia)
2.Moderate anemia
Hb 6-10 g/dL
อาการทางปอดและหัวใจ (cardiopulmonary symptom)ขณะพัก
อาการใจสั่น (palpitation)
อ่อนเพลีย (fatigue)
หายใจลำบาก (dyspnea)
เหงื่ออกมาก(diaophresis)
ภาวะซีดที่ภาวะซีดที่พบในผู้สูงอายุส่วนใหญ่อยู่ในระดับน้อยเท่านั้น จึงมักไม่มีอาการและอาการแสดง อย่างไรก็ตามภาวะซีดระดับรุนแรงส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดทำให้เกิดภาวะหัวใจวายเลือดคั่งจนกระทั่งทำให้เกิดเสียชีวิตได้ ซึ่งอาการและการแสดงนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น ระดับความรุนแรงของภาวะซีด ความเร็วในการสูญเสียเลือด ระยะเวลาของการเกิดภาวะซีด อาการและอาการแสดงของโรคร่วมอื่นๆตัวกำหนดความรุนแรงของภาวะซีดคือระดับฮีโมโกลบิน(Hb)ในเลือดโดยแบ่งได้เป็น3ระดับดังนี้
สาเหตุของภาวะซีดในผู้สูงอายุ
ขาดสารอาหาร
เป็นสาเหตุที่พบได้มากที่สุดในผู้สูงอายุโดยเฉพาะการขาดธาตุเหล็ก โฟเลทและวิตามินบี 12 ธาตุเหล็กเป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อการสังเคราะห์ฮีโมโกลบิน(Hb synthesis)ส่วนโฟเลทและวิตามินบี 12 มีประโยชน์ต่อการสร้างดีเอ็นเอ(DNA synthesis)เมื่อร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็นเหล่านี้จะมีผลทำให้เม็ดเลือดแดงมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติและผิดรูปร่างได้ สารอาหารประเภทโฟเลต วิตามินบี 12 และวิตามินซียังช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กดังนั้นเมื่อขาดสารอาหารตั้งกล่าวจะส่งผลให้ระดับความรุนแรงของภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็กเพิ่มขึ้นด้วยเพราะว่าซีดจากการขาดธาตุเหล็กแต่ผู้สูงอายุเกิดจากการทำงานของระบบย่อยอาหารลดลง กล่าวคือผู้สูงอายุส่วนใหญ่ต้องใช้ฟันปอมในการบดเคี้ยวอาหารมีปัญหาเกี่ยวกับโรคเหงือกทำให้ได้รับประทานอาหารไม่สะดวก รับประทานอาหารได้น้อยลง อีกทั้งของการทำงานของต่อมรับรส การหลั่งเอนไซม์ทั้งในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กลดลง การบีบตัวของลำไส้และพื้นที่ในการดูดซึมสารอาหารลดลง รวมไปถึงระบบการไหลเวียนเลือดในระบบทางเดินอาหารก็ลดลงด้วย ทำให้อาหารที่ค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนานขึ้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลแก่ต่อกระบวนการย่อยและการดูดซึมอาหารของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุรู้สึกรับประทานอาหารไม่อร่อย ไม่อยากรับประทานอาหาร ส่งผลให้รับประทานอาหารไม่เพียงพอ
(พรทิพย์ สารีโส พย.ม*)
โรคเรื้อรังหรือการอักเสบเรื้อรัง
เชื่อว่าเมื่อมีการติดเชื้อจะทำให้มีการปล่อยไซโตไคน์เข้าไปในกระแสเลือด ทำให้ยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็กส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะขาดธาตุเหล็กและทำให้เกิดภาวะซีดตามมาได้ นอกจากนั้นสารไซโตไคน์ที่หลั่งมาจากกระบวนการอักเสบจะไปกดการสร้างฮอร์โมนอิริโทรโพอิติน(erytropoetin)และทำให้ช่วงชีวิตของ ฮอร์โมนอิริโทรโพอิติน(erytropoetin) สั้นลงจึงเป็นสาเหตุให้ผู้ที่มีการติดเชื้อเกิดภาวะซีดนอกจากนี้ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังจะมีการสร้างฮอร์โมนอิริโทรโพอิติน(erytropoetin) ลดลงจึงทำให้ผู้สูงอายุที่เป็นโรคไตเรื้อรังเกิดภาวะซีดได้ซึ่งโรคไตเรื้อรังในผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นตามหลังโรคเรื้อรังอื่นๆเช่นโรคหลอดเลือดแดงแข็ง(atheosclerosis)โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
กระบวนการเสื่อมตามอายุ
(Aging process)
เมื่ออายุมากขึ้นส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในเซลล์ไขกระดูกมีการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงทดแทนเซลล์เก่าช้าลงทำให้จำนวนเม็ดเลือดแดงและระดับฮีโมโกบิน(Hb)ลดลงรวมถึงการทำหน้าที่ของไตลดลงจึงอาจส่งผลให้การสร้างฮอร์โมนอิริโทรโพอิตินลดลงซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้มีผลต่อการสร้างเม็ดเลือดแดงพบว่าอายุที่เพิ่มขึ้นสัมพันธ์กับการสร้างฮอร์โมนอิริโทรโพอิตินที่ลดลงโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีโรคไตร่วมจึงทำให้เกิดภาวะซีดตามมาได้
ไม่ทราบสาเหตุ
พบได้พบได้ถึงร้อยละ 34- 39 ของผู้ที่มีอายุเท่ากับหรือมากกว่า 65 ปีส่วนใหญ่จะมีลักษณะซีดในระดับเพียงเล็กน้อยทำให้ไม่ได้รับการวินิจฉัย
การป้องกัน
เลือกรับประทานอาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็ก วิตามินและสารอาหาร เช่น เนื้อสัตว์ ตับหมู
ผู้สูงอายุควรพบแพทย์เป็นระยะเพื่อตรวจสอบภาวะโลหิตจางเนื่องจากการรับประทานอาหารประเภทโปรตีนและวิตามินที่ไม่เพียงพอ
ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นภาวะโลหิตจางควรปรึกษาแพทย์เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการส่งผ่านภาวะโลหิตจางทางพันธุกรรม
การวินิจฉัย
ซักประวัติ
พันธุกรรม
อาการและอาการแสดง หน้ามืด เวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย เป็นต้น
การรับประทานอาหาร ปริมาณ คุณภาพ
ยาที่ใช้เป็นประจำ
โรค/ความเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ เช่น โรคติดเชื้อ โรคไต โรคตับ มีแผลเรื้อรัง เป็นต้น
ตรวจร่างกาย
เยื่อบุตา กระพุ้งแก้ม ริมฝีปาก เล็บ ผิวหนัง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1.CBC ดูค่า Hct, Hb, MCV, MCH, MCHC, RDW เพื่อวินิจฉัยแยกโรค
2.Blood smear เพื่อตรวจดูรูปร่างขนาดและสีของRBC
3.Reticulocyte count ถ้าเพิ่มขึ้นจะพบใน hemolytic anemia และ acute hemorrhage
4.Inclusion bodies พบใน Hb H disease,G6PD,Thalassemia
5.Bone marrow aspiration หาจำนวน ขนาด รูปร่างของ RBC WBC Plt
6.เจาะตรวจ serum iron, total iron binding capacity, serum ferratin
อาการของผู้ป่วย
เหนื่อยเมื่อออกแรง
หายใจลำบาก
อ่อนเพลีย
Conjutivaมีสีซีด
Hb 8.9 g/dL (08/02/64)
อุจจาระออกเป็นสีดำปนเหลือง
Hct 28.6 % (08/02/64)
ยาที่ผู้ป่วยได้รับ
Bisoprolol fumarate 2.5 mg.tab 1*1 Oral p.c. เช้า
ผลข้างเคียง หัวใจเต้นช้า เต้นเร็วหรือไม่สม่ำเสมอ มึนงงหรือเป็นลม
ข้อบ่งใช้ ควบคุมความดันโลหิตสูง ใช้รักษาอาการเจ็บหน้าอก
การออกฤทธิ์ ปิดกั้นการกระตุ้นเบต้า ตัวรับ Adrenergic ที่หัวใจถูกปิดกั้นมีผลทำให้อัตราการเต้นและแรงบีบตัวของหัวใจลดลง ความดันโลหิตลดลง ยับยั้งการสร้างเรนินที่ไตทำให้ความดันโลหิตลดลง
Hydralazine 25 mg.tab. 1*3 Oral p.c.
ผลข้างเคียง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
หัวใจเต้นเร็ว ชีพจรเร็ว ความดันโลหืตต่ำในท่ายืน
ข้อบ่งใช้ รักษา Hypertensive crisis (ความดันโลหิตสูงวิกฤติ)
การออกฤทธิ์ โดยตรงต่อกล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด มีผลต่อหลอดเลือดดำน้อย ลดความต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลาย และลดความดันโลหิต Diastolic มากกว่า Systolic
Isosorbide 5-mononitrate 20 mg.tab 1/2 *2 Oral a.c.เช้า เย็น
ข้อบ่งใช้ รักษาและป้องกันอาการเจ็บหน้าอก
การออกฤทธิ์ ยามีผลโดยตรงต่อกล้ามเนื้อเรียบ ทำให้กล้ามเนื้อเรียบต่างๆคลายตัว จึงมีผลทำให้หลอดเลือดแดงและดำขยายตัว นำเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆมากขึ้น
ผลข้างเคียง หากได้รับยาขนาดสูง จะมีอาการมึนงงปวดศีรษะ เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย ความดันโลหิตต่ำ เป็นลม ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน
Aspirin 81 mg.tab.1*1 oral a.c.เช้า
ข้อบ่งใช้ ใช้เป็นยาป้องกันการรวมตัวของเกล็ดเลือด ลดความเสี่ยงของ Recurrent transient ischemic attack s (ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว)
การออกฤทธิ์ ใช้ป้องการเกิดการแข็งตัวของเลือด (Clotting) โดยออกฤทธิ์ลดการจับกลุ่มของเกล็ดเลือด (Platelet aggregation)
ผลข้างเคียง ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ทำลายหน้าที่ของเกล็ดเลือด อาจมีเลือดกำเดาออก แลือดแข็งตัวช้า หูอื้อ เวียนศีรษะ หากแพ้จะมีอาการบวม ผื่นคัน ผิวหนังลอก
Lansoprazole 30 mg.tab.1*1 a.c.เช้า
ข้อบ่งใช้ ลดกรดในกระเพาะอาหาร รักษาหลอดอาหารอักเสบ
การออกฤทธิ์ ยับยั้ง H, K,ATP ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ผิวของเซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหารและยับยั้งการเคลื่อนของ Hydrogen ion ไปยังกระเพาะอาหาร ช่วยลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
ผลข้างเคียง ท้องเสีย ผื่นขึ้น คัน ปวดศีรษะ
Atorvastatin 40 mg.tab. 1/2*1 oral p.c.เช้า
ข้อบ่งใช้ ป้องกันและรักษาโรคไขมันอุดตันที่เป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจชนิดต่างๆ
การออกฤทธิ์ ยาจะออกฤทธิ์ที่ลำไส้ โดยจับกับน้ำดีแล้วขับทิ้งทางอุจจาระ ไม่มีการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เป็นผลของการลดระดับ Bile acid เพิ่ม Activity ของเอนไซม์ในการควบคุมการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลในตับ
ผลข้างเคียง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก อุจจาระอัดแน่น ท้องอืด ระคายเคืองบริเวณทวารหนัก ผื่นแดง อาจเกิดมีเลือดออก
Lorazepam 1 mg.tab. 1*1 oral ก่อนนอน
ข้อบ่งใช้ ลดความวิตกกังวล นอนไม่หลับจากความวิตกกังวล
การออกฤทธิ์ กดประสาทส่วนกลาง โดยเสริมฤทธิ์ Gamma aminobutyric acid (GABA) ทำให้การยับยั้งและอุดกั้นการตื่นตัวของกระแสประสาททั้งส่วน Limbic และ Subcotical จึงทำให้สมองส่วนรับความรู้สึกถูกกด การเคลื่อนไหวจึงช้าลง การทำหน้าที่ของสมองเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดอาการซึม มึนงง ง่วงหลับ
ผลข้างเคียง ง่วงซึม อ่อนเเรง สับสน มึนงง หัวใจเต้นช้า เห็นภาพซ้อน
Folic acid 5 mg.tab. 1*1 oral p.c.เช้า
ข้อบ่งใช้ สำหรับผู้ที่มีภาวะขาด Folic acid, ภาวะโลหิตจาง
การออกฤทธิ์ เกี่ยวกับกระบวนการสังเคราะห์ DNA และสร้างเม็ดเลือดแดง เมื่อ Folid acid เข้าสู่ร่างกายจะถูกรีดิวซ์เป็น tetrahydrofolate โดนเอนไซม์ dihydrofolate reductase จากนั่นจะถูกเปลี่ยนไปเป็น cofactor อื่นๆที่จำเป็นต่อเซลล์
ผลข้างเคียง อาการแพ้โดยทั่วไปมักไม่ค่อยพบ แต่ก็อาจจะสามารถทำให้หลอดลมหดเกร็ง,ผื่นคัน, อาการแดง (flushing) ได้
Ferrous fumarate 200 mg.tab.1*3 oral p.c.
ข้อบ่งใช้ สำหรับป้องกันและรักษาผู้ป่วยภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
การออกฤทธิ์ ยาจะรวมกับฮีโมโกลบินที่อยู่ในเม็ดเลือดแดง ส่งผลให้การทำงานของเม็ดเลือดแดงเป็นไปอย่างปกติและทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ส่วนต่างๆของร่างกายได้
ผลข้างเคียง ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก อุจจาระเป็นสีดำ
Multivitamin tab 2*2 oral p.c. เช้า เย็น
ข้อบ่งใช้ รักษาหรือป้องกันการขาดวิตามิน
ผลข้างเคียงผื่นลมพิษ หายใจลำบาก อาการบวมที่ใบหน้า ลำคอ ปาก ริมฝีปาก หรือลิ้น
Calcium polystyrene sulfonate 5 gm.sachet 30 cc/1ครั้ง หลังอาหารเช้า
ข้อบ่งใช้ รักษาภาวะ Hyperkalimia ในกรณีที่ K สูง 5-6 mEq/L
การออกฤทธิ์ เป็น cation exchange resin ใช้ Ca+ แลกกับ K+ ในลำไส้
ผลข้างเคียง ท้องผูก คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ระคายเคืองกระเพาะอาหาร , K ต่ำ
Chlorpheniramine (foil) 4 mg.tab.
ข้อบ่งใช้ รักษาอาการแพ้ต่างๆ แพ้อากาศ ลดการอักเสบเยื่อบุจมูก อาการจาม คัน คันตา น้ำตาไหล คันในคอ น้ำมูกไหล
การออกฤทธิ์ ต้านฮีสตามีน ต้านการบวม การหดรัดตัวของระบบทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร และกล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด
ผลข้างเคียง มีอาการซึม มึน ง่วงหลับ เวียนศีรษะ
ประวัติผู้ป่วย
ประวัติการเจ็บป่วยในปัจจุบัน
4 วัน ก่อนมาโรงพยาบาล มีอาการอ่อนเพลียมากขึ้น ออกแรงมากแล้วมีอาการเหนื่อย ขับถ่ายสีดำสลับสีเหลือง ไม่มีอาเจียนเป็นเลือด รับประทานอาหารได้น้อยลง
1 วัน ก่อนมาโรงพยาบาล มีอาการอ่อนเพลียมากขึ้น มีเลือดออกทาง Penis ตลอด และปวดหน่วงท้องน้อยทุก 1 ชั่วโมง
อาการปัจจุบัน
วันที่ 07/02/64 ผู้ป่วยชายไทย อายุ 76 ปี รู้สึกตัวดี ตอบสนองได้ดี ถามตอบรู้เรื่อง ช่วยตัวเหลือตัวเองได้ หายใจ Room air อัตราการหายใจ 20ครั้ง/นาที มีอาการอ่อนเพลียน้อยลง ผิวหนังแห้ง Poor skin turgor ผิวซีด Conjunctiva ซีด ตาขาวมีลักษณะเหลืองเล็กน้อย Motor power grade แขนขวา 5 แขนซ้าย 5 ขาขวา 5 ขาซ้าย 5 E4M6V5 On injection plug ที่แขนซ้าย ไม่มี phebitis หมดอายุวันที่10/02/64 ขับถ่ายอุจจาระทางทวารเทียม (Colostomy) ใส่ถุง รองรับ Colostomy bag ที่หน้าท้องด้านขวา ขับถ่ายปัสสาวะทางทวารเทียม (Conduit) ใส่ถุงรองรับ Urostomy bag ต่อ Urine bag ทางหน้าท้องด้านขวา ลักษณะปัสสาวะสีเหลืองใส ไม่ขุ่น ไม่มีตะกอน มีเลือดออกทาง Penis ขณะรับประทานอาหาร รับประทานอาหารได้ปกติดี หมดทุกมื้อ อาหารอ่อน ลดเค็ม
สัญญาณชีพ
T= 36.8 องศาเซลเซียส PR= 82 ครั้ง/นาที RR= 20 ครั้ง/นาที
BP= 113/56 mmHg O2 sat= 100%
วันที่ 08/02/64 ผู้ป่วยชายไทย อายุ 76 ปี รู้สึกตัวดี ตอบสนองได้ดี ถามตอบรู้เรื่อง ช่วยตัวเหลือตัวเองได้ หายใจ Room air อัตราการหายใจ 22 ครั้ง/นาที ไม่มีอาการอ่อนเพลีย ผิวหนังแห้ง Poor skin turgor ผิวซีด Conjunctiva ซีด ตาขาวมีลักษณะเหลืองเล็กน้อย Capillary refill time น้อยกว่า 2 วินาที ไม่มีลิ้นเลี่ยน Motor power grade แขนขวา 5 แขนซ้าย 5 ขาขวา 5 ขาซ้าย 5 E4M6V5 On injection plug ที่แขนซ้าย ไม่มี phebitis หมดอายุวันที่10/02/64 ขับถ่ายอุจจาระทางทวารเทียม (Colostomy) ใส่ถุง รองรับ Colostomy bag ที่หน้าท้องด้านขวา ขับถ่ายปัสสาวะทางทวารเทียม (Conduit) ใส่ถุงรองรับ Urostomy bag ต่อ Urine bag ทางหน้าท้องด้านขวา ญาติเปลี่ยนถุงรองรับ Urostomy bag แป้น Urostomy และแป้น Colostomy รูทวารเทียมทั้งสองมีลักษณะปกติ ไม่มีบวมแดง ผิวรูทวารเทียมมีลักษณะปกติ ไม่มีผื่นแดง รอยถลอก อุจจาระมีลักษณะก้อนนิ่ม สีดำ ปัสสาวะมีลักษณะเหลืองใส ไม่มีขุ่น ไม่มีตะกอน ไม่มีเลือดปน มีเลือดออกทาง Penis ตอนเช้า ใส่ Comfort 50 CC รับประทานอาหารได้ปกติ อาหารอ่อน ลดเค็ม
สัญญาณชีพ
T= 37.0 องศาเซลเซียส PR= 74 ครั้ง/นาที RR= 22 ครั้ง/นาที
BP= 124/58 mmHg O2 sat= 99%
วันที่ 09/02/64 ผู้ป่วยชายไทย อายุ 76 ปี รู้สึกตัวดี ตอบสนองได้ดี ถามตอบรู้เรื่อง ช่วยตัวเหลือตัวเองได้ หายใจ Room air อัตราการหายใจ 22 ครั้ง/นาที ไม่มีอาการอ่อนเพลีย ผิวหนังแห้ง Poor skin turgor ผิวซีด Conjunctiva ชมพูมากขึ้น ตาขาวมีลักษณะเหลืองเล็กน้อย Capillary refill time น้อยกว่า 2 วินาที ไม่มีลิ้นเลี่ยน Motor power grade แขนขวา 5 แขนซ้าย 5 ขาขวา 5 ขาซ้าย 5 เดินไปเข้าห้องน้ำเองได้ E4M6V5 On injection plug ที่แขนซ้าย ไม่มี phebitis หมดอายุวันที่10/02/64 ขับถ่ายอุจจาระทางทวารเทียม (Colostomy) ใส่ถุง รองรับ Colostomy bag ที่หน้าท้องด้านขวา ขับถ่ายปัสสาวะทางทวารเทียม (Conduit) ใส่ถุงรองรับ Urostomy bag ต่อ Urine bag ทางหน้าท้องด้านขวา ผิวรูทวารเทียมมีลักษณะปกติ ไม่มีผื่นแดง รอยถลอก อุจจาระมีลักษณะก้อนนิ่ม สีดำ ปัสสาวะมีลักษณะเหลืองใส ไม่มีขุ่น ไม่มีตะกอน ไม่มีเลือดปน มีเลือดออกทาง Penis ตอนเช้า ใส่ Comfort 50 CC รับประทานอาหารได้ปกติ อาหารอ่อน ลดเค็ม
สัญญาณชีพ
T= 37.6 องศาเซลเซียส PR= 78 ครั้ง/นาที RR= 22 ครั้ง/นาที
BP= 125/66 mmHg O2 sat= 99%
วันที่ 10/02/64 ผู้ป่วยชายไทย อายุ 76 ปี รู้สึกตัวดี ตอบสนองได้ดี ถามตอบรู้เรื่อง ช่วยตัวเหลือตัวเองได้ หายใจ Room air อัตราการหายใจ 22 ครั้ง/นาที ไม่มีอาการอ่อนเพลีย ผิวหนังแห้ง Poor skin turgor ผิวซีด Conjunctiva ชมพูมากขึ้น ตาขาวมีลักษณะเหลืองเล็กน้อย Capillary refill time น้อยกว่า 2 วินาที ไม่มีลิ้นเลี่ยน Motor power grade แขนขวา 5 แขนซ้าย 5 ขาขวา 5 ขาซ้าย 5 เดินไปเข้าห้องน้ำเองได้ E4M6V5 On injection plug ที่แขนซ้าย ไม่มี phebitis หมดอายุวันที่10/02/64 ขับถ่ายอุจจาระทางทวารเทียม (Colostomy) ใส่ถุงรองรับ Colostomy bag ที่หน้าท้องด้านขวา ขับถ่ายปัสสาวะทางทวารเทียม (Ieal Conduit) ใส่ถุงรองรับ Urostomy bag ต่อ Urine bag ทางหน้าท้องด้านขวา ผิวรูทวารเทียมมีลักษณะปกติ ไม่มีผื่นแดง รอยถลอก อุจจาระมีลักษณะก้อนนิ่ม สีดำ ปัสสาวะมีลักษณะเหลืองใส ไม่มีขุ่น ไม่มีตะกอน ไม่มีเลือดปน มีเลือดออกทาง Penis ตอนเช้า ใส่ Comfort 25 CC รับประทานอาหารได้ปกติ อาหารอ่อน ลดเค็ม
สัญญาณชีพ
T= 36.8 องศาเซลเซียส PR= 100 ครั้ง/นาที RR= 24 ครั้ง/นาที
BP= 128/68 mmHg O2 sat= 97%
อาการสำคัญ
มีอาการอ่อนเพลียมากขึ้น มีเลือดออกทาง Penis ตลอด และปวดหน่วงท้องน้อยทุก 1 ชั่วโมง 1 วัน ก่อนมาโรงพยาบาล
ประวัติเจ็บป่วยในอดีต
Hypertension (HT) ประมาณ 10 ปี รักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ มารับยาตามนัด
Chronic kidney disease Stage 4 (CKD stage 4) ยังไม่เคยรักษา
เส้นเลือดหัวใจตีบสามเส้น (Triple vessel disease:TVD) จึงทำขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและใส่ขดลวด (Percutaneous Coronary Intervention :PCI)
มะเร็งลำไส้ใหญ่ (CA Rectosigmoid colon) รักษาด้วยการทำ Colostomy and Ileal conduit ที่โรงพยาบาลตำรวจ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563
ประวัติการดื่มสุราและสูบบุหรี่
เคยดื่มสุรา เลิกสุรามาแล้ว18 ปี
เคยสูบบุหรี่ เลิกบุหรี่แล้ว24 ปี
ข้อวินิจฉัย
1.เนื้อเยื่อในร่างกายของผู้ป่วยได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอเนื่อจากจำนวนเม็ดเลือดแดงต่ำลง
ข้อสนับสนุน
SD :
1.ผู้ป่วยรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นระยะเวลาเกือบ20ปี
2.ผู้ป่วยถือศีล8 เป็นระยะเวลา18ปี
3.ผู้ป่วยบอกว่ามีอาการอ่อนเพลีย และเหนื่อยง่ายก่อนมาโรงพยาบาล
OD:
1.ผู้ป่วยมีลักษณะผิวหนังซีด Conjunctiva ซีด ตาขาวมีลักษณะเหลืองเล็กน้อย
2.ผู้ป่วยมีเลือดออกทาง Penis
3.ผลการตรวจทางโลหิตวิทยา (CBC)ต่ำกว่าเกณฑ์
Hb = 9.2 g/dL วันที่ 07/02/64
Hct = 29.2 g/dL วันที่ 07/02/64
Hb = 8.9 g/dL วันที่ 08/02/64
Hct = 28.6 g/dL วันที่ 08/02/64
วัตถุประสงค์
เพื่อให้เนื้อเยื่อร่างกายของผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
เกณฑ์การประเมินผล
1.ผู้ป่วยไม่มีภาวะซีด หรืออาการที่เเสดงของภาวะซีด เช่น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ หน้ามืด Conjunctiva ชมพู ตาขาวเป็นสีขาว
การไหลเวียนของเลือดที่ส่วนปลาย (Capillary refill time) ไม่เกิน 2 วินาที เป็นต้น
2.ผลตรวจทางโลหิตวิทยาอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดย
Hb=12.8-16.1 g/dL
Hct = 38.2-48.3 g/dL
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินความต้องการของผู้ป่วย บอกข้อมูลและแนะนำ รับฟังปัญหาของผู้ป่วยเพื่อตั้งเป้าหมายในการรักษาร่วมกันกับบุคลากรทางการแพทย์
2.ประเมินภาวะซีดจากการสังเกตผิวหนัง ตรวจร่างกายเช่น การดูที่conjungtivaของผู้ป่วย
ประเมินความสามารถในการทำกิจกรรมของผู้ป่วยว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง ถามหรือสังเกตว่าผู้ป่วยทำกิจกรรมใดแล้วทำให้ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยง่ายหรือทำไม่ไหว เพื่อในการวางแผนกำหนดกิจกรรมที่ผู้ป่วยสามารถทำได้
4.ประเมินสัญญาณชีพเพื่อประเมินภาวะการพร่องออกซิเจน โดยการวัดO2satuation ต้องไม่ต่ำกว่า95% หากต่ำกว่าเกณฑ์ อาจพิจารณาให้ออกซิเจน อัตราการหายใจอยู่ระหว่าง12-22ครั้งต่อนาที การวัดความดันโลหิตโดยค่าsystolic อยู่ระหว่าง60-90 mmHg diastolic อยู่ระหว่าง 90-140 mmHg ชีพจร มีค่า60-100 ครั้งต่อนาที อุณหภูมิร่างกายมีค่าระหว่าง36.5-37.4 องศาเซลเซียส
5.ช่วยเหลือผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวันที่ต้องออกแรงมาก เพื่อให้ผู้ป่วยลดเคลื่อนไหว เพราะหากผู้ป่วยทำกิจกรรมที่หนัก ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนมาก อาจทำให้เหนื่อยง่าย
6.ดูแลให้ได้รับพักผ่อนอย่างเต็มที่และกำหนดกิจกรรมที่ผู้ป่วยกระทำได้ตามความรุนแรงของภาวะซีด เพื่อลดความต้องการการใช้ออกซิเจนในร่างกาย และจำกัดการใช้การใช้ออกซิเจนในร่างกาย และจัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ สะอาด อากาศปลอดโปร่ง ลดการรบกวน เพื่อให้ผู้ป่วยนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ
7.ดูแลให้ได้รับอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดงเช่นธาตุเหล็กโปรตีนวิตามินซีโฟลิอามีน และเป็นอาหารอ่อนย่อยง่าย กระตุ้นให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ไข่ เนื้อสัตว์ ตับไต ผักและผลไม้ที่มีสีเหลือง ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น เพื่อแก้ไขการขาดธาตุเหล็กจากอาหารและแนะนำผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กร่วมกับวิตามินซีสูง เช่น บล็อกโคลี พริก มะเขือเทศ ฝรั่ง ส้ม เป็นต้น จะช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กได้มากขึ้น แนะนำให้แนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารที่ยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็กเช่น ชา กาแฟ ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร และรับประทานแคลเซี่ยมเสริมในปริมาณที่มากเกินไป
8.ดูแลให้ได้รับยาครบถ้วนตามแผนการรักษา โดยมียาดังนี้
Folic acid 5 mg.tab. 1*1 oral p.c.เช้า
Ferrous fumarate 200 mg.tab.1*3 oral p.c.
Multivitamin tab 2*2 oral p.c. เช้า เย็น
9.ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ CBC
ค่า Hbโดยปกติอยู่ที่ 12.8-16.1 g/dL
Hct ค่าปกติอยู่ที่ 38.2-48.3 g/dL
การประเมินผล
1.ผู้ป่วยมีconjungtiva สีชมพูขึ้น
2.ผู้ป่วยมีภาวะตัวเหลืองลดลง
3.ผู้ป่วยบอกว่าไม่มีอาการเหนื่อยแล้ว
4.ผลการตรวจทางห้องปฎิบัติการ CBC มีค่าHct และ Hb ที่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับวันแรก
4.ผู้ป่วยเสี่ยงต่อภาวะของเสียคั่งในร่างกายเนื่องจากประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง
ข้อสนับสนุน
OD.ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการเคมีคลินิกต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ
BUN = 40.3 mg/dL วันที่ 06/02/64
Creatinine = 3.70 mg/dL วันที่ 06/02/64
BUN = 34.4 mg/dL วันที่ 07/02/64
Creatinine = 3.67 mg/dL วันที่ 07/02/64
SD.1.ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คันตามตัว
วัตถุประสงค์
1.เพื่อให้ผู้ป่วยไม่มีภาวะเสี่ยงของคั่งในร่างกาย
2.ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการเคมีคลินิกอยู่ในเกณฑ์ปกติ
BUN = 8.9-20.6 mg/dLCreatinine = 0.73-1.18 mg/dL
เกณฑ์การประเมิน
1.ผู้ป่วยไม่มีอาการที่อาจแสดงถึงภาวะของเสียคั่งในร่างกาย เช่น ปัสสาวะออกน้อย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย บวม คันตามตัว หอบเหนื่อย ความดันโลหิตสูง
2.ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการเคมีคลินิก BUN และ Creatinine อยู่ในเกณฑ์ที่แพทย์รับได้
การประเมินผล
1.จำนวนน้ำเข้า-ออก 1280/ 2,900 วันที่ 06/02/64
2.ผู้ป่วยไม่มีภาวะอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร บวม หอบเหนื่อย และความดันปกติ 113/56 mmHg
3.ผู้ป่วยไม่มีอาการคันตามตัว วันที่ 10/02/64
3.อาจเกิดโรคซ้ำเนื่องจากปฏิบัติตัวไม่ถูกต้องเมื่อกลับบ้าน
ข้อสนับสนุน
SD:
1.ผู้ป่วยไม่รู้ว่าอาการซีดเกิดจากอะไร และต้องปฎิบัติตัวอย่างไร
2.ผู้ป่วยบอกว่ารับประทานอาหารมังสวิรัตน์มาเป็นระยะเวลา20ปี
2.ผู้ป่วยบอกว่าถือศีล8มาเป็นระยะเวลา18ปี
วัตถุประสงค์
เพื่อให้ผู้ป่วยมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะซีดและการปฏิบัติตนได้ถูกต้องเหมาะสม
เกณฑ์การประเมินผล
1.ผู้ป่วยสามารถอธิบายเรื่องโรค และทราบแนวทางในการแก้ปัญหาภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็กได้
2.ผู้ป่วยอธิบายการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำและภาวะแทรกซ้อนของภาวะซีดได้อย่างถูกต้อง
กิจกรรมการพยาบาล
1.Discharge planning โดยใช้หลักD-METHOD ดังนี้
D อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจเรื่องของโรค สาเหตุ อาการ แผนการรักษาและวิธีการควบคุมโรคให้ผู้ป่วยได้เกิดความเข้าใจและสามารถอธิบายกลับให้พยาบาลฟังได้ถูกต้อง ว่าภาวะซีด เป็นภาวะที่ร่างกายมีปริมาณเม็ดเลือดแดงในเลือดน้อยกว่าปกติ ทำให้นำออกซิเจนไปยังเซลล์และเนื้อเยื่อในอวัยวะต่าง ๆ ได้น้อยลง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการ เช่น เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ผิวซีดหรือผิวเหลือง เป็นต้น
M ให้ผู้ป่วยรับประทานยาครบถ้วน ถูกต้อง ตรงตามเวลา ขนาดและปริมาณถูกต้อง เพื่อให้เป็นไปตามแผนการรักษาของแพทย์หรือยาตามที่ได้รับยากลับบ้าน โดยจะมียารักษาโรคความดันโลหิต ยาบำรุงโลหิต ยาแก้อาการคัน วิตามิน ยารักษาหลอดเลือดและหัวใจ ยารักษาสมดุลของโพแทสเซียม เป็นต้น (รายละเอียดในยาที่ผู้ป่วยได้รับ)
E แนะนำผู้ป่วยหรือญาติให้ดูแลเรื่องอาการอ่อนเพลีย หากเริ่มมีอาการอ่อนเพลีย ซีด ควรให้ผู้ป่วยพัก ไม่ควรออกแรงหรือทำกิจกรรมมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้ผู้ป่วยเหนื่อยและอ่อนเพลียมากขึ้นเสี่ยงต่อภาวะพลัดตกหกล้มได้ ควรจัดสิ่งแวดล้อมให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างสงบ งดเว้นการทำกิจกรรมที่หนักเกินไป หากมีการออกกำลังกาย ควรระวังให้ออกกำลังกายแต่พอดี และระวังเรื่องถุง Colostomy และ ileal conduit ที่อาจแตกได้
T สำหรับการรักษาและบรรเทาอาการของผู้ป่วยเลือดจางให้ดีขึ้น จะต้องใช้วิธีการโภชนาการบำบัด คือทานอาหารที่เพิ่มเกล็ดเลือดหรือสร้างเม็ดเลือดเป็นหลักนั่นเอง ส่วนผู้ที่เป็น โรคเลือดจาง จากการป่วยด้วยโรคเรื้อรังบางชนิด เช่นโรคไต โรคตับ ข้ออักเสบและบุคคลที่ต้องฟอกไตเป็นประจำ มักจะมีอาการของโรคเลือดจางที่รุนแรงมากกว่าคนทั่วไป แถมยังมีระดับของเม็ดเลือดแดงที่ลดต่ำอย่างต่อเนื่อง นั่นก็เพราะร่างกายได้ขาดฮอร์โมนที่ชื่อว่าอีริโทรโพอิติน ( Erythropoietin หรือ EPO ) โดยฮอร์โมนชนิดนี้จะทำหน้าที่ในการกระตุ้นให้ไขสันหลังสร้างเม็ดเลือดแดงออกมามากขึ้น ซึ่งเมื่อฮอร์โมนต่ำลงหรือขาดไป ก็จะทำให้เม็ดเลือดแดงถูกสร้างออกมาน้อยกว่าปกตินั่นเอง
H ส่งเสริม ฟื้นฟูสภาพทางด้านร่างกายให้ผู้ป่วยออกกำลังกาย เท่าที่จะสามารถทำได้ แต่มีข้อระวังในเรื่องการมีcolostomy bag และ ileal conduit โดยอาจมีการออกกำลังกายอย่างน้อย3ครั้งต่อสัปดาห์
O แนะนำผู้ป่วยหรือญาติให้คอยสังเกตตัวผู้ป่วยอยู่เสมอ และหากมีความผิดปกติควรมาพบแพทย์ทันที หรือมาตรวจร่างกายอยู่สม่ำเสมอ เพื่อติดตามอาการ
D อธิบายให้ผู้ป่วยทราบถึงการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะโลหิตจาง โดยสามารถทำได้หลายวิธีดังนี้
เลือกรับประทานอาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็ก วิตามิน และสารอาหาร เช่น เนื้อสัตว์ ตับหมู นม ไข่ เลือดหมู ธัญพืช
รับประทานวิตามินเสริมโดยขอคำปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ สำหรับผู้ที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอจากการรับประทานอาหาร
ผู้สูงอายุหรือผู้รับประทานอาหารมังสวิรัติ ควรพบแแพทย์เป็นระยะ เพื่อตรวจสอบภาวะโลหิตจาง เนื่องจากการรับประทานอาหารประเภทโปรตีนและวิตามินที่ไม่เพียงพอ
หรือหากผู้ป่วยยังอยากรับประทานอาหารมังสวิรัติ อาจแนะนำให้ผู้ป่วยรับเนื้อและโปรตีน โดยกำหนดวันที่รับประทานหรือเพิ่มปริมาณทีละน้อยในแต่ละมื้อ
การประเมินผล
1.ผู้ป่วยรับประทานยาตามการรักษาของแพทย์ครบถ้วน
2.ผู้ป่วยเริ่มรับประทานประเภทเนื้อสัตว์ นม ไข่ มากขึ้น
2.ผู้ป่วยมีภาวะไม่สุขสบายเนื่องจากมีเลือดออกทาง Penis
ข้อสนับสนุน
OD.1.ผู้ป่วยมีเลือดออกทาง Penis ทุกวัน มาประมาณ 6 เดือน
2.ผู้ป่วยทำความสะอาด Penis หลังมีเลือดออกด้วยกระดาษธรรมดา
3.ผู้ป่วยบอกว่า ไม่สามารถกลั้นเลือดได้และเวลาไม่แน่นอน
วัตถุประสงค์
เพื่อให้ผู้ป่วยไม่มีภาวะไม่สุขสบายเนื่องจากมีเลือดออกทาง Penis
เกณฑ์การประเมิน
ไม่มีการติดเชื้อบริเวณ Penis
ผู้ป่วยทำความสะอาด Penis ทุกครั้งหลังมีเลือดออกได้เหมาะสม
ผู้ป่วยสามารถจัดการเมื่อเวลามีเลือดออกได้
กิจกรรมการพยาบาล
1.สังเกตผู้ป่วยขณะมีเลือดออกทาง Penis ว่าผู้ป่วยทำความสะอาดอย่างไร เพื่อประเมินความรู้เรื่องการทำความสะอาด
2.แนะนำผู้ป่วยเรื่องการทำความสะอาด Penis ที่ถูกต้องหลังมีเลือดออก เพราะอาจมีการติดเชื้อ หากทำความสะอาดไม่ดี และอาจทำให้มีการอับชื้นหรือไม่สุขสบาย โดยแนะนำดังนี้
ใช้สำลีแผ่นชุบน้ำสะอาดทำความสะอาด
ดึงหนังหุ้มปลายลง ทำความสะอาดบริเวณปลาย Penis เพราะอาจมีการตกค้างของคราบเลือด
ใช้สำลีแผ่นต่อไปทำความสะอาดที่ Penis จากปลายถึงโคน ในลักษณะปอกกล้วยสี่ทิศ
ใช้สำลีแผ่นต่อไป ทำความสะอาดรอบๆ penis และ Scortum
ในกรณีที่ไม่ใช้สำลีชุบน้ำสะอาด ให้ใช้น้ำสะอาดล้าง โดยดึงหนังหุ้มปลายลงทำความสะอาดให้เรียบร้อยและเช็ดให้แห้ง
3.แนะนำให้ผู้ป่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน หรือเช็ดความสะอาดบริเวณที่มีการเปื้อนเลือดทันที เพื่อดูแลความสะอาดสิ่งแวดล้อมรอบตัวผู้ป่วย
4.จัดให้อุปกรณ์ดูแลทำความสะอาดหยิบใช้สะดวก หากมีเลือดออกโดยไม่ทันตั้งตัว
4.หากผู้ป่วยอยู่นอกบ้าน แนะนำให้ผู้ป่วยเตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดและเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนให้เรียบร้อย
แนะนำให้ผู้ป่วยคอยสังเกตเลือดที่ออก ปริมาณ สีของเลือด และบริเวณ Penis ที่อาจมีลักษณะผิดปกติ เช่น บวม แดง อาการปวดขณะเลือดออกปริมาณเลือดออกเยอะผิดปกติให้มาพบแพทย์ทันที
การประเมินผล
1.ผู้ป่วยทำความสะอาด Penis ถูกต้องและสะอาด
2.ผู้ป่วยรู้วิธีจัดการตนเองเมื่อมีเลือดออกได้
8.ญาติขาดความเข้าใจในการดูแลทวารเทียม Colostomy และ Ileal conduit ที่เหมาะสม
ข้อสนับสนุน
SD.ญาติบอกว่า เป็นผู้เปลี่ยนและดูแลถุงรองรับ Colostomy และ Ileal conduit เป็นประจำ
OD.1.ญาติใช้น้ำธรรมดาในการทำความสะอาดรูทวารเทียม
2.ญาติเช็ดทำความสะอาดถุง Colostomy ด้วยกระดาษชำระแห้ง
3.ญาติไม่สวมถุงมือในการเปลี่ยนถุงรองรับและทำความสะอาด Colostomy และ Ileal conduit
วัตถุประสงค์
เพื่อให้ญาติเข้าใจการดูแลทวารเทียม Colostomy และ Ileal conduit อย่างเหมาะสม
เกณฑ์การประเมินผล
ญาติเข้าใจและสามารถดูแลทวารเทียม Colostomy และ Ileal conduit ได้อย่างเหมาะสม ดังนี้
1.ญาติสวมถุงมือทุกครั้งที่เปลี่ยนหรือทำความสะอาดทวารเทียมญาติ
2.ทำความสะอาดรูทวารเทียมด้วยน้ำต้มสุกหรือ 0.9% NSS
3.ญาติล้างและเช็ดถุงรองรับและแป้นสะอาด
กิจกรรมการพยาบาล
1.โดยซักถามว่า ปกติผู้ป่วยทำความสะอาดและเปลี่ยนถุงรองรับอย่างไร และสังเกตวิธีการทำความสะอาดและเปลี่ยนถุงรองรับว่าขั้นตอนใดที่ไม่เหมาะสม เพื่อประเมินความเข้าใจของญาติว่าควรให้คำแนะนำอย่างไร
2.ให้คำแนะนำกับญาติถึงวิธีการดูแลทำความสะอาดที่ถูกต้องพร้อมอธิบายเหตุผลให้ทราบ
ดังนี้
แนะนำให้ญาติทราบว่าทุกครั้งที่ทำความสะอาดหรือเปลี่ยนถุงรองรับ ควรสวมถุงมือ เพราะอุจจาระมีเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคปนเปื้อนที่มือญาติและอาจทำความสะอาดไม่ดีหลังเปลี่ยนและทำความสะอาดให้ผู้ป่วย
แนะนำให้ญาติทำความสะอาดรูทวารเทียมและผิวบริเวณรอบทวารเทียมด้วยน้ำต้มสุกหรือ 0.9 % NSS เพราะมีความสะอาดกว่าน้ำธรรมดาที่อาจมีการปนเปื้อน และอาจทำให้รูทวารมีการติดเชื้อได้
แนะนำวิธีทำความสะอาดถุงรองรับกรณีที่ใช้ถุงเดิม โดยการทำความสะอาดล้างอุจจาระและปัสสาวะให้หมด ตากและเช็ดให้แห้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ การอับชื้นจากจุจจาระและปัสสาวะเก่า
แนะนำให้ญาติและคนไข้เปลี่ยนเสื้อผ้าหรือผ้าปูเตียงทุกครั้งที่เปื้อน เพื่อรักษาความสะอาดและความสุขสบายของผู้ป่วย
การประเมินผล
ญาติเข้าใจวิธีการทำความสะอาดและเปลี่ยนถุงรองรับได้ถูกวิธี
7.ผู้ป่วยนอนไม่หลับเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม
ข้อมูลสนับสนุน
SD ผู้ป่วยบอกว่านอนไม่หลับตอนกลางคืน
OD ผู้ป่วยได้รับยา Lorazepam 1 mg.tab. 1*1 oral ก่อนนอน
OD ผู้ป่วยชอบนอนเวลากลางวัน
วัตถุประสงค์
ส่งเสริมให้ผู้ป่วยสามารถพักผ่อนนอนหลับได้มากขึ้น
เกณฑ์การประเมินผล
ผู้ป่วยนอนหลับได้ต่อเนื่อง6-8 ชั่วโมง
ไม่มีอาการที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอเช่น หาวบ่อย อ่อนเพลีย หรือนอนตอนกลางวันลดลง
กิจกรรมการพยาบาล
1.จัดสิ่งเเวดล้อมให้เย็นสบายและเงียบสงบ เช่น ปิดไฟ ไม่มีเสียงรบกวน
2.แนะนำให้ผู้ป่วยให้ปฏิบัติสิ่งที่จะช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นก่อนนอน เช่น ดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ อาบน้ำ อ่านหนังสือ หรือสวดมนต์เป็นต้น
3.แนะนำให้หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนโดยเฉพาะมื้อเย็น เช่นน้ำชา น้ำอัดลม กาแฟ เพราะจะส่งผลให้ผู้ป่วยนอนไม่หลับ
4.วางแผนกิจกรรมการพยาบาลให้เหมาะสมเพื่อจะได้ไม่รบกวนผู้ป่วยบ่อยเกินไป หรือโดยไม่จำเป็นในเวลากลางคืน
5.ดูแลให้ได้รับยา Lorazepam 1 mg.tab.ตามแผนการรักษาของแพทย์
การประเมินผล
ผู้ป่วยนอนหลับได้สนิทต่อเนื่อง6-8ชั่วโมง
ผู้ป่วยนอนไม่มีอาการที่แสดงถึงการพักผ่อนไม่เพียงพอ เช่น การหาวลดลง หน้าตาสดชื่น ไม่มีอ่อนเพลีย นอนกลางวันลดลง
6.ไม่สุขสบายเนื่องจากผิวหนังแห้งและคันมาจากภาวะของเสียคั่งในร่างกาย (Uremia)
ข้อมูลสนับสนุน
SD ผู้ป่วยบอกว่าคันตามผิวหนัง
OD ค่า BUN = 34.4 mg/dl
OD ผู้ป่วยมีผิวแห้ง
OD ค่า Creatinine = 3.66 mg/dl
OD ผู้ป่วยได้รับยา Chlorpheniramine (foil) 4 mg.tab.
วัตถุประสงค์
ส่งเสริมความสุขสบาย บรรเทาอาการผิวหนังแห้งและคัน
เกณฑ์การประเมินผล
ผู้ป่วยบ่นคันน้อยลง
ไม่มีรอยแห้งแตกของผิวหนัง
กิจกรรมการพยาบาล
1.ดูแลผิวหนังให้สะอาด ถ้าผิวแห้งมากไม่ควรอาบน้ำอุ่นและไม่ต้องใช้สบู่ถ้าจะใช้สบู่ควรเลือกสบู่ที่ไม่ทำให้ผิวหนังแห้งมากขึ้นเช่นสบู่เด็ก
2.ช่วยให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอโดยทาน้ำมันหรือโลชั่นบ่อยๆ
3.แนะนำให้ แนะนำให้ผู้ป่วยตัดเล็บให้สั้นเพื่อป้องกันการเกิดแผลจากการเกา
4.ดูแลให้ได้รับยา Chlorpheniramine (foil) 4 mg.tab. ตามแผนการรักษาของแพทย์
5.แนะนำให้รับประทานอาหารที่ไม่เพิ่มของเสียในร่างกาย เพื่อจะได้ไม่ไปสะสมที่ผิวหนังทำให้เกิดอาการคันมากขึ้น เช่นอาหารโปรตีนต่ำ ลดอาหารที่มีฟอสเฟตสูง เช่นเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ไข่แดง ถั่วเมล็ด แห้งถั่วเปลือกแข็ง ขนมไส้ถั่ว และอาหารที่มีถั่วต่างๆ
การประเมินผล
ผู้ผู้ป่วยบอกว่าสบายขึ้นไม่มีอาการคัน
5.ผู้ป่วยรู้สึกมีคุณค่าในตนเองลดลงเนื่องจากภาพลักษณ์เปลี่ยนแปลงจากการมีช่องเปิดลำไส้ทางหน้าท้อง(colostomy )และileal conduits
ข้อมูลสนับสนุน
OD ผู้ป่วยมีพฤติกรรมก้าวร้าวมีอารมณ์หงุดหงิดบ่อยครั้ง
OD ไม่ค่อยพูดกับใคร
SD ผู้ป่วยมีความรู้สึกว่าเป็นที่รังเกียจของสังคมชอบพูดว่าคนอื่นเขาจะเหม็น
OD ผู้ป่วยมีcolostomy bag และ ileal conduits
วัตถุประสงค์
ส่งเสริมให้มีความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองและยอมรับต่อการสูญเสียหน้าที่ของร่างกาย
เกณฑ์การประเมินผล
ไม่พูดถึงตนเองในแง่ลบ
มีอารมณ์หงุดหงิดพฤติกรรมก้าวร้าวลดน้อยลง
ผู้ป่วยไม่เงียบเฉยพูดคุยมากขึ้น
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินความรู้สึกการแสดงออกของผู้ป่วยทั้งคำพูดและพฤติกรรม
2.บอกผู้ป่วยทุก บอกผู้ป่วยทุกครั้งเมื่อจะทำอะไรให้ผู้ป่วย
3.พูดกับผู้ป่วยด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยนและรับฟังผู้ป่วยเมื่อผู้ป่วยต้องการพูดไม่แสดงท่าทีเร่งรีบหรือรังเกียจ
4.หากเป็นไปได้ให้ผู้ป่วยได้พูดคุยกับผู้อื่นที่มีclolostomyและileal conduits และสามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ดีแล้วเพื่อให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกว่าตนเองประสบเคราะห์กรรมคนเดียวแต่ยังมีเพื่อนประสบการณ์เหมือนกันมาให้กำลังใจและเป็นแบบอย่างในการปรับตัวให้กับผู้ป่วยซึ่งจะให้ผู้ป่วยช่วยเหลือและยอมรับสภาพการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ได้เร็วขึ้น
5.ไม่ตำหนิผู้ป่วยเมื่อผู้ป่วยทำอะไรผิดพลาดและให้กำลังใจผู้ป่วย พูดให้ผู้ป่วยเห็นคุณค่าของตนเอง
การประเมินผล
ผู้ป่วยพูดคุยกับผู้อื่นมากขึ้น
ผู้ป่วยไม่พูดถึงตัวเองในแง่ลบ
ผู้ป่วยมีอารมณ์หงุดหงิดหรือมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวลดลง
9.มีความวิตกกังวลเนื่องจากไม่เข้าใจการทำCT whole abdomen
ข้อมูลสนับสนุน
OD
1.ผู้ป่วยมีสีหน้ากังวลเมื่อแพทย์พูดถึงการตรวจที่ต้องทำ
2.ผู้ป่วยมีความสงสัยในการทำ CT whole abdomen
3.ผู้ป่วยไม่ทราบถึงผลข้างเคียงของการทำCT whole abdomen
วัตถุประสงค์
เพื่อให้ผู้ป่วยมีความเข้าใจในการทำ CT whole abdomen และรับรู้ถึงผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น
เกณฑ์การประเมินผล
ผู้ป่วยมีความเข้าใจในการทำ CT whole abdomen
ผู้ป่วยไม่มีสีหน้ากังวล หรือสงสัยในการทำ CT whole abdomen
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำ CT whole abdomen
2.ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำ CT whole abdomen คือ การสแกนระบบคอมพิวเตอร์ โดยอาจให้ดื่มน้ำที่มีสารทึบแสง หรือฉีดสารทึบแสงเข้าร่างกายเพื่อดูความผิดปกติ และผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นในผู้ป่วย โดยยกตัวอย่าง มีภาพประกอบให้ผู้ป่วยได้เห็นภาพ
3.เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและญาติได้ซักถามในสิ่งที่สงสัย
การประเมินผล
ผู้ป่วยมีความเข้าใจในการทำ CT whole abdomen
ผู้ป่วยไม่มีสีหน้ากังวลที่จะที CT whole abdomen
Discharge Planning
D-METHOD
D (Diet)
แนะนำให้ผู้ป่วยและญาติมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องอาหารที่เหมาะสำหรับโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่เพื่อส่งเสริม ป้องกันการเกิดโรคซ้ำ การรับประทาอาหารอ่อน ลดเค็ม และมีการปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารยกตัวอย่างเช่นเดิมผู้ป่วยรับประทานอาหารมังสวิรัติ ไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ ให้ลองเพิ่มอาหารที่มีธาตุเหล็กเสริมในมื้ออาหาร หรือการกินมังสวิรัติแบบที่ไม่เคร่งเหมือนเดิม เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน โดยอาหารสำหรับผู้ป่วยภาวะโลหิตจาง มีดังนี้
แหล่งอาหารที่มีธาตุเหล็ก ได้แก่
ผักใบเขียว ยิ่งผักมีสีเขียวเข้มยิ่งอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก เช่น ผักโขม คะน้า บร็อคโคลี่ เป็นต้น อีกทั้งการรับประทานผักใบเขียวร่วมกับอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม มะนาว องุ่น สตรอว์เบอร์รี่ พริกหยวก และมะละกอ จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น
ผลไม้อบแห้ง เช่น ลูกเกด ลูกพรุน เป็นต้น
เนื้อสัตว์ รวมถึงเนื้อสัตว์ปีกทุกชนิด ซึ่งล้วนประกอบไปด้วยธาตุเหล็ก โดยเฉพาะเนื้อแดง และหากรับประทานเนื้อสัตว์ร่วมกับผักใบเขียว จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน
ตับ อุดมไปด้วยธาตุเหล็กและกรดโฟลิค นอกจากตับแล้ว อวัยวะส่วนอื่น ๆ ก็มีธาตุเหล็กสูงด้วย เช่น หัวใจ ไต และลิ้น
อาหารทะเล โดยเฉพาะกุ้ง หอยนางรม หอยตลับ และหอยลาย ล้วนเป็นแหล่งอาหารของธาตุเหล็ก อีกทั้งปลาส่วนใหญ่ก็ยังประกอบไปด้วยธาตุเหล็ก โดยเฉพาะปลาตาเดียว ปลาซาดีน ปลาทูน่า และปลาแซลมอน
ธัญพืช เช่น ถั่วแดง ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วลันเตา ถั่วลิสง ถั่วพิตาชิโอ เฮเซลนัต แมคคาเดเมีย อัลมอนด์ งา เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นต้น
อาหารอื่น ๆ เช่น ไข่ ซีเรียล ขนมปังโฮลเกรน ดาร์กช็อกโกแลต โกโก้ เชอร์รี่ในน้ำเชื่อม ผงกะหรี่ และอาหารเสริมธาตุเหล็ก เป็นต้น
แม้การรับประทานอาหารดังกล่าวจะช่วยเสริมปริมาณธาตุเหล็กในร่างกาย แต่ไม่ควรรับประทานอาหารเหล่านี้ร่วมกับสารอาหารบางชนิดซึ่งอาจขัดขวางและยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็ก เช่น
แคลเซียม พบได้ในนม ชีส รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ทำจากนม ดังนั้น ไม่ควรดื่มนมพร้อมกับการรับประทานอาหารหรือยาเม็ดเสริมธาตุเหล็ก
แทนนิน พบได้ในผักที่มีใบเขียวเข้ม เครื่องเทศ ชา กาแฟ จึงไม่ควรดื่มชาหรือกาแฟพร้อมมื้ออาหารหรือหลังมื้ออาหารทันที
ไฟเตท พบได้ในผักใบเขียวและผักที่มีรสฝาด เช่น ขี้เหล็ก กระถิน ถั่วเหลือง ข้าวฟ่าง ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด ข้าวที่ไม่ขัดสี เป็นต้น
โพลีฟีนอล พบได้ในผักที่มีใบเขียวเข้ม ขมิ้นชัน รวมถึงสมุนไพรหลายชนิด
M (Medicine)
แนะนำการใช้ยาที่ผู้ป่วยได้รับในเรื่องการใช้ยา สรรพคุณของยา ขนาด วิธีใช้ ข้อระวัง ตลอดจนภาวะเเทรกซ้อนรวมทั้งข้อห้ามการใช้ยา ดังนี้
Calcium polystyrene sulfonate 5 gm.
sachet 30 cc/1ครั้ง p.c.เช้า
ข้อบ่งใช้ รักษาภาวะ Hyperkalimia ในกรณีที่ K สูง 5-6 mEq/L
ผลข้างเคียง ท้องผูก คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ระคายเคืองกระเพาะอาหาร , K ต่ำ
Atorvastatin 40 mg.tab. 1/2*1 oral p.c.เช้า
ข้อบ่งใช้ ป้องกันและรักษาโรคไขมันอุดตันที่เป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจชนิดต่างๆ
ผลข้างเคียง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก อุจจาระอัดแน่น ท้องอืด ระคายเคืองบริเวณทวารหนัก ผื่นแดง อาจเกิดมีเลือดออก
Aspirin 81 mg.tab.1*1 oral a.c.เช้า
ข้อบ่งใช้ ใช้เป็นยาป้องกันการรวมตัวของเกล็ดเลือด ลดความเสี่ยงของ Recurrent transient ischemic attack s (ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว)
ผลข้างเคียง ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ทำลายหน้าที่ของเกล็ดเลือด อาจมีเลือดกำเดาออก แลือดแข็งตัวช้า หูอื้อ เวียนศีรษะ หากแพ้จะมีอาการบวม ผื่นคัน ผิวหนังลอก
Bisoprolol fumarate 2.5 mg.tab 1*1 Oral p.c. เช้า
ข้อบ่งใช้ ควบคุมความดันโลหิตสูง ใช้รักษาอาการเจ็บหน้าอก
ผลข้างเคียง หัวใจเต้นช้า เต้นเร็วหรือไม่สม่ำเสมอ มึนงงหรือเป็นลม
Lansoprazole 30 mg.tab.1*1 a.c.เช้า
ลดกรดในกระเพาะอาหาร รักษาหลอดอาหารอักเสบ
ผลข้างเคียง ท้องเสีย ผื่นขึ้น คัน ปวดศีรษะ
Hydralazine 25 mg.tab. 1*3 Oral p.c.
ข้อบ่งใช้ รักษา Hypertensive crisis (ความดันโลหิตสูงวิกฤติ)
ผลข้างเคียง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
หัวใจเต้นเร็ว ชีพจรเร็ว ความดันโลหืตต่ำในท่ายืน
Lorazepam 1 mg.tab. 1*1 oral ก่อนนอน
รักษาอาการนอนไม่หลับจากความวิตกกังวล
ผลข้างเคียง ง่วงซึม อ่อนเเรง สับสน มึนงง หัวใจเต้นช้า เห็นภาพซ้อน
Folic acid 5 mg.tab. 1*1 oral p.c.เช้า
สำหรับผู้ที่มีภาวะขาด Folic acidหรือภาวะโลหิตจาง
ผลข้างเคียง อาการแพ้โดยทั่วไปมักไม่ค่อยพบ แต่ก็อาจจะสามารถทำให้หลอดลมหดเกร็ง,ผื่นคัน, อาการแดง (flushing) ได้
Isosorbide 5-mononitrate 20 mg.tab 1/2 *2 Oral a.c.เช้า เย็น
ข้อบ่งใช้ รักษาและป้องกันอาการเจ็บหน้าอก
ผลข้างเคียง หากได้รับยาขนาดสูง จะมีอาการมึนงงปวดศีรษะ เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย ความดันโลหิตต่ำ เป็นลม ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน
Ferrous fumarate 200 mg.tab.1*3 oral p.c.
ข้อบ่งใช้ สำหรับป้องกันและรักษาผู้ป่วยภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
ผลข้างเคียง ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก อุจจาระเป็นสีดำ
Multivitamin tab 2*2 oral p.c. เช้า เย็น
ข้อบ่งใช้ รักษาหรือป้องกันการขาดวิตามิน
ผลข้างเคียงผื่นลมพิษ หายใจลำบาก อาการบวมที่ใบหน้า ลำคอ ปาก ริมฝีปาก หรือลิ้น
Chlorpheniramine (foil) 4 mg.tab.
ข้อบ่งใช้ รักษาอาการแพ้ต่างๆ แพ้อากาศ ลดการอักเสบเยื่อบุจมูก อาการจาม คัน คันตา น้ำตาไหล คันในคอ น้ำมูกไหล
ผลข้างเคียง มีอาการซึม มึน ง่วงหลับ เวียนศีรษะ
E (Environment)
แนะนำให้ญาติจัดสิ่งแวดล้อมภายในบ้านให้เหมาะสมกับผู้ป่วย จัดของให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุหรือเสี่ยงที่จะได้รับอันตราย โดยอาจส่งผลกระทบต่อโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ได้ เช่น การเกิดภาวะเลือดออกง่ายหยุดยาก เนื่องจากผู้ป่วยได้รับยา ละลายลิ่มเลือด ควรจัดให้ผู้ป่วยอยู่บริเวณชั้นล่าง ใกล้ห้องน้ำ มีพื้นที่กว้างขวาง เดินสะดวก
H (Health)
ส่งเสริม ฟื้นฟูสภาพทางด้านร่างกายให้ผู้ป่วยออกกำลังกาย เท่าที่จะสามารถทำได้ แต่มีข้อระวังในเรื่องการมีcolostomy bag และ ileal conduit โดยอาจมีการออกกำลังกายอย่างน้อย3ครั้งต่อสัปดาห์
O(Out patient)
แนะนำให้ผู้ป่วยมาตรวจตามนัดเพื่อติดตามอาการของโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไตเรื้อรัง และภาวะโลหิตจาง หรือเมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับcolostomy bag และ ileal conduit นอกจากนั้นสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือจากสถานพยาบาลใกล้บ้านในกรณีภาวะฉุกเฉินตลอดจนการส่งต่อผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลต่อเนื่อง
D (Diagnosis)
ให้ความรู้เรื่องโรคที่เป็นอยู่ถึงสาเหตุ อาการ การปฎิบัติตัวที่ถูกต้อง ดังนี้
โลหิตจาง (Anemia) หรือภาวะซีด เป็นภาวะที่ร่างกายมีปริมาณเม็ดเลือดแดงในเลือดน้อยกว่าปกติ ทำให้นำออกซิเจนไปยังเซลล์และเนื้อเยื่อในอวัยวะต่าง ๆ ได้น้อยลง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการ เช่น เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ผิวซีดหรือผิวเหลือง เป็นต้น โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางอาจมาจากการเสียเลือด การสร้างเม็ดเลือดแดงที่ลดลง หรือเม็ดเลือดแดงถูกทำลายมากขึ้น และมีการป้องกันเช่น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและวิตามินเสริม เนื่องจากภาวะโลหิตจางบางประเภทเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีสารอาหารไม่เพียงพอ หรือภาวะบางอย่างจากโรค ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงและวิตามินต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินบี 12 กรดโฟลิก รวมถึงวิตามินซี ที่มีส่วนช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก เช่น เนื้อสัตว์ประเภทเนื้อแดง เครื่องใน อาหารทะเล ผักใบเขียวเข้ม ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ไข่ นม เป็นต้น
T(Treatment)
การรักษาอาการของภาวะโลหิตจาง
1.หาสาเหตุ กำจัดและรักษาสาเหตุที่สามารถรักษาได้
2.ให้ผู้ป่วยกินยาบำรุงเลือดชนิดธาตุเหล็ก
3.ในกรณีเลือดจางมาก จนมีอาการหัวใจวาย ความดันเลือดตก แพทย์จะให้เลือดแก่ผู้ป่วยเพื่อแก้ไขอาการฉุกเฉินในลำดับแรก แล้วจึงทำการหาสาเหตุต่อไป
สำหรับการรักษาและบรรเทาอาการของผู้ป่วยเลือดจางให้ดีขึ้น จะต้องใช้วิธีการโภชนาการบำบัด คือทานอาหารที่เพิ่มเกล็ดเลือดหรือสร้างเม็ดเลือดเป็นหลักนั่นเอง ส่วนผู้ที่เป็น โรคเลือดจาง จากการป่วยด้วยโรคเรื้อรังบางชนิด เช่นโรคไต โรคตับ ข้ออักเสบและบุคคลที่ต้องฟอกไตเป็นประจำ มักจะมีอาการของโรคเลือดจางที่รุนแรงมากกว่าคนทั่วไป แถมยังมีระดับของเม็ดเลือดแดงที่ลดต่ำอย่างต่อเนื่อง นั่นก็เพราะร่างกายได้ขาดฮอร์โมนที่ชื่อว่าอีริโทรโพอิติน ( Erythropoietin หรือ EPO ) โดยฮอร์โมนชนิดนี้จะทำหน้าที่ในการกระตุ้นให้ไขสันหลังสร้างเม็ดเลือดแดงออกมามากขึ้น ซึ่งเมื่อฮอร์โมนต่ำลงหรือขาดไป ก็จะทำให้เม็ดเลือดแดงถูกสร้างออกมาน้อยกว่าปกตินั่นเอง