Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กรณีศึกษาที่ 5 Meningitis - Coggle Diagram
กรณีศึกษาที่ 5
Meningitis
อาการและอาการแสดง
อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
ปวดหัว
เป็นไข้
เกิดการระคายเคือง
คอตึง
อ่อนไหวต่อแสง
เกิดการฟกซ้ำบริเวณที่ติดเชื้อ
คลื่นไส้ อาเจียน
มีอาการเซื่องซึมและเฉื่อยชา
ต้องการนอนตลอดเวลา
มีการเปลี่ยนแปลงของสติสัมปชัญญะ
อาการของโรคเยื่อหุ้มสมองจากไวรัส
ทารก
ต้องการนอนตลอดเวลา
มีอาการเซื่องซึมและเฉื่อยชา
อาการระคายเคือง
มีไข้
เบื่ออาหาร
ผู้ใหญ่
อาการคอตึง
ต้องการนอนตลอดเวลา
มีอาการเซื่องซึมและเฉื่อยชา
คลื่นไส้และอาเจียน
เบื่ออาหาร
อ่อนไหวต่อเเสงสว่าง
ภาวะลมชัก
มีไข้
ปวดหัว
พยาธิสภาพ
เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากวัณโรค
เกิดจากเชื้อวัณโรคที่มักแพร่กระจายจากปอดหรือส่วนอื่นๆของร่างกายมาที่เยื่อหุ้มสมองโดยผ่านทางกระแสเลือด
ระยะแรก
มีการอักเสบที่ subarachnoi space
น้ำในช่อง subarachnoi space จะเป็นสีขุ่น
มีเม็ดเลือดขาวกลุ่ม polymorphs เพิ่มมากขึ้น
ไม่ได้รับการรักษาจะมีการอุดตันของหลอเเลือดแดง
เกิดเนื้อตายและจะมีอาการสมองบวม
ผิวของ cerebrum จะมีการอักเสบและบวม
ไม่ได้รับการรักษาการอักเสบรอบๆ cerebrum จะเพิ่มมากขึ้นและรุนแรง
มีการอักเสบของหลอดเลือดดำของ cortex
thrombophebitis
หลอดเลือดแดงมักจะเปลี่ยนแปลงช้ากว่าและเป็นในระยะท้ายของโรค
ความดันในกะโหลกศีรษะสูงอย่างรวดเร็ว
ทำให้เสียชีวิต
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลและการพยาบาล
เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อเซลล์สมองเนื่องจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
วัตถุประสงค์
เซลล์สมองของผู้ป่วยไม่ได้รับอันตรายและไม่มีการติดเชื้อ
กิจกรรมการพยาบาล
วัดvital sign ทุก4ชั่วโมง และสังเกตอาการของผู้ป่วย เพื่อประเมินความผิดปกติ
ประเมินและสังเกตอาการของผู้ป่วย เพื่อประเมินความรู้สึกตัวและความผิดปกติของผู้ป่วย
จัดให้ผู้ป่วยนอนบนเตียง อากาศถ่ายเท เงียบสงบ เพื่อให้ผู้ป่วยพักผ่อนอย่างเพียงพอ
ดูแลและทำความสะอาดผู้ป่วยและช่องปากเพื่อลดอาการติดเชื้อและการเกิดภาวะแทรกซ้อน
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาตามความต้องการของร่างกาย
เสี่ยงต่อการได้รับสารอาการไม่เพียงพอเนื่องจากรับประทานอาหารได้น้อยและมีอาการคลื่นไส้อาเจียน
วัตถุประสงค์
ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและไม่มีอาการคลื่นไส้
กิจกรรมการพยาบาล
วัดvital sign ทุกๆ4ชั่วโมงเพื่อประเมินความผิดปกติของสัญญาณชีพ
ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ เมื่อพบความผิดปกติหรือการเปลี่ยนแปลงให้รีบแจ้งแพทย์เพื่อให้การช่วยเหลือโดยด่วน
ให้ผู้ป่วยทานอาหารครั้งละน้อยๆและให้ทานบ่อยครั้ง
ดูแลการให้ยา ให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์
ชั่งน้ำหนักสัปดาห์ละ1-2ครั้งเพื่อประเมินน้ำหนักของผู้ป่วย
จัดอาหารให้น่ารับประทานและเป็นอาหารที่ผู้ป่วยชอบ แต่อาหารต้องเป็นอาหารที่ไม่ขัดต่อการรักษาเพื่อกระตุ้นความอยากอาหารของผู้ป่วย
ไม่สุขสบายเนื่องจากมีการปวดศีรษะจากแรงกดของ exudate ที่ลดลงบนเยื่อหุ้มสมอง
วัตถุประสงค์
ผู้ป่วยมีอาการปวดลดลง/ไม่มีอาการปวด
กิจกรรมการพยาบาล
สังเกตและสอบถามอาการปวดของผู้ป่วยเพื่อดูระดับการปวดของผู้ป่วย
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผลการรักษาของแพทย์ เพื่อให้ได้รับยาตามความต้องการของร่างกาย
ดูแล และจัดท่าให้ผู้ป่วยเพื่อบรรเทาอาการปวด
ดูแลเรื่องการรับประทานอาหารของผู้ป่วยให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่ไม่ขัดต่อแผนการรักษาของแพทย์
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะการอุดกั้นของทางเดินหายใจและเซลล์สมองขาดออกซิเจน
วัตถุประสงค์
เซลล์ไม่เกิดอันตรายขากภาวะขาดออกซิเจน
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินการหายใจและภาวะขาดออกซิเจน เช่น ปลายมือ ปลายเท้า ริมฝีปากเขียว ปีกจมูกบาน
ประเมินและบันทึกสัญญาชีพอย่างน้อย ทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินความผิดปกติและรายงานแพทย์
จัดท่านอนศีรษะสูงประมาณ 15-30 องศา เพื่อเพิ่มการไหลกลับของเลือดดำจากสมองสู่หัวใจได้ดีขึ้น
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง เช่น ดูดเสมหะตามความจำเป็น เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวกขึ้น
ดูแลให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
อาจเกิดอันตรายจากภาวะความดันสูงในกระโหลกศีรษะเนื่องจากการคั่งของน้ำไขสันหลังในกระโหลกศีรษะ
วัตถุประสงค์
ไม่เกิดอันตรายจากภาวะความดันสูงในกะโหลกศีรษะ
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินขนาดรอบศีรษะ
ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะความดันสูงในกะโหลกศีรษะ เช่น หงุดหงิดผิดปกติ อาจมีโวยวาย สับสน ซึม
ประเมินสัญญาณชีพอย่างใกล้ชิด ถ้าความดันโลหิตเฉพาะ systolic เพิ่มขึ้น PP กว้าง ชีพจรและการหายใจช้าลงให้รายงานแพทย์
ดูแลผู้ป่วยให้เจาะหลังตามแผนการรักษา
ลดปัจจัยต่างๆที่ทำให้ความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่ม ได้แก่ ลดไข้ การควบคุมอาการชัก
ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
การรักษา
การรักษาประคับประคองตามอาการ
การให้ยาลดไข้และบรรเทาอาการปวด ยากันชัก
การให้น้ำเกลือในรายที่อาเจียนมากหรือกินไม่ได้
การให้อาหารทางสายยางในรายที่กินไม่ได้
การเจาะคอช่วยหายใจในรายที่หมดสติ
การเจาะหลังเพื่อลดความดันน้ำไขสันหลัง
ในรายที่มีโรคลมชักแทรกซ้อน จำเป็นต้องให้ยากันชัก เช่น ฟีโนบาร์บิทัล (Phenobarbital), เฟนิโทอิน (Phenytoin) รักษาอย่างต่อเนื่อง
การให้ยารักษาเฉพาะตามสาเหตุ
ถ้าเกิดจากเชื้อไวรัส ในปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ แพทย์จึงให้การรักษาประคับประคองตามอาการเป็นหลัก แล้วอาการของผู้ป่วยจะดีขึ้นเองภายใน 2-3 สัปดาห์
ถ้าเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุ (เข้าเส้นเลือดดำ) และหลังจากหายแล้วยังต้องเฝ้าระวังโรคแทรกซ้อนด้วย เช่น ตาบอด หูหนวก หรือชัก
ถ้าเกิดจากเชื้อวัณโรค แพทย์จะให้การรักษาด้วยยารักษาวัณโรคนาน 6-9 เดือน
ถ้าเกิดจากเชื้อรา แพทย์จะให้การรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อรา ได้แก่ แอมโฟเทอริซินบี (Amphotericin B), ฟลูโคนาโซล (Fluconazole), ไอทราโคนาโซล (Itraconazole)
ถ้าเกิดจากเชื้ออะมีบา แพทย์จะให้การรักษาด้วยยาแอมโฟเทอริซินบี (Amphotericin B) ร่วมกับยาอื่น ๆ เช่น ไมโคนาโซล (Miconazole), ไรแฟมพิซิน (Rifampicin), เตตราไซคลีน (Tetracycline)
ถ้าเกิดจากพยาธิ ยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แต่แพทย์จะให้การรักษาไปตามอาการและทำการเจาะหลังซ้ำบ่อย ๆ เพื่อลดความดันน้ำไขสันหลังให้กลับลงสู่ปกติ
ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
น้ำไขสันหลัง
การติดเชื้อวัณโรค/เชื้อรา
จำนวนเม็ดเลือดขาวอยู่ระหว่าง 50-750 เซลล์/ลบ.มม.
อัตราส่วนของลิโฟไซต์มักจะสูงกว่านิวโทรฟิล
ความดันเปิดน้ำไขสันหลังมากกว่า 180 มม.น้ำ
ระดับโปรตีนอยู่ระหว่าง 50-200 mg/dL
ระดับน้ำตาลปกติหรือต่ำเล็กน้อย
มีสีใสหรือขุ่น
การติดเชื้อแบคทีเรีย
อัตราส่วนของนิวโทรฟิลมักจะสูงกว่าลิมโฟไซต์
โปรตีนมักสูงกว่า 100 mg/dL
จำนวนเม็ดเลือดขาวส่วนใหญ่มากกว่า 500 เซลล์/ลบ.มม.
น้ำตาลต่ำกว่า ร้อยละ 40 ของระดับน้ำตาลในเลือด
ความดันเปิดน้ำไขสันหลังมากกว่า 180 มม.น้ำ
มีสีขุ่น เหลือง เป็นหนอง
การติดเชื้อไวรัส
มีสีใส
ความดันเปิดน้ำไขสันหลังมากกว่า 180 มม.น้ำ
จำนวนเม็ดเลือดขาวมักจะน้อยกว่า 500 เซลล์/ลบ.มม.
อัตราส่วนของลิมโฟไซต์มักจะสูงกว่านิวโทรฟิล
ระดับโปรตีนปกติ หรือสูงเล็กน้อย แต่มักไม่เกิน 100 mg/dL
ระดับน้ำตาลปกติหรือต่ำเล็กน้อย
การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ควรทำ
Complete blood count
ประเมินจำนวนเกร็ดเลือดก่อนเจาะน้ำไขสันหลัง
แยกแยะสาเหตุของการติดเชื้อว่าเกิดจากแบคทีเรีย หรือไวรัส
Electrolyte, BUN/Cr
ประเมินภาวะ dehydration
เฝ้าระวัง
syndrome of inappropriate ADH (SIADH)
Diabetes insipidus (DI)
การตรวจเพาะเชื้้อจากเลือด
ทำทุกคนที่มีเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
Blood sugar
เปรียบเทียบกับระดับน้ำตาลในน้ำไขสันหลัง
การเพาะเชื้อของน้ำไขสันหลัง
ใช้เวลา 2-3 วัน
วินิจฉัยเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
จะทราบเชื้อที่เป็นสาเหตุ
ทราบความไวของเชื้อต่อยาต้านจุลชีพที่ใช้ในการรักษาด้วย
การตรวจอื่นๆ
การตรวจ liver function test
ทำเมื่อจะต้องใช้ยาที่ มีผลต่อตับ และบางเชื้ออาจทำให้ตับอักเสบ
CXR และ tuberculin test
บ่งชี้ถึงเชื้อวัณโรค
Indian ink preparation ในน้ำไขสันหลัง
Cryptococcal meningoencephalitis หรือในผู้ป่วยที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง
การย้อมสีกรัมของน้ำไขสันหลัง
ผู้ป่วยที่สงสัยเยื่อหุ้มสมองอักเสบทุกคน
ทำได้ง่าย และให้ผลรวดเร็ว
มีผลบวกลวง
การแปลผลผิด
การปนเปื้อนของสีย้อม
การปนเปื้อนของเชื้อจากผิวหนัง