Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะช็อคจากหัวใจ (Cardiogenic shock) และ ช็อคจากระบบประสาท ( Neurogenic…
ภาวะช็อคจากหัวใจ (Cardiogenic shock)
และ
ช็อคจากระบบประสาท ( Neurogenic shock )
กลไก
Pump failure ความผิดปกติจะเกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจและลิ้นหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction) กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis)
ลด Venous return (ลด Ventricular diastolic filling) ปริมาณเลือดที่เข้าสู่หัวใจกับระยะคลายตัวเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อปริมาณเลือดออกจากหัวใจ (CO) ดังนั้นสาเหตุใดก็ตามที่ทำให้เลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจได้น้อยลงก็จะทำให้เกิด Cardiogenic shock ได้
สาเหตุ cardiogenic shock
สาเหตุที่มาจากหัวใจโดยตรง
กล้ามเนื้อหัวใจ เช่น ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน, กล้ามเนื้อหัวใจพิการ (cardiomyopathy), กล้ามเนื้อหัวใจถูกกดจาก septic shock
สาเหตุจากโครงสร้างของหัวใจผิดปกติ เช่น โรคของลิ้นหัวใจ, ผนังระหว่างหัวใจรั่ว
หัวใจเต้นผิดปกติ (arrhythmia)
สาเหตุที่มากภายนอกหัวใจ
หัวใจโดนกดจากเลือด, น้ำ หรือลมในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ (cardiac tamponade) หรือจากเยื่อหุ้มหัวใจที่หนาตัวขึ้น (constrictive pericarditis)
2.ปอดมีพยาธิสภาพทำให้หัวใจปั๊มเลือดออกไปไม่ได้ เช่น pulmonary embolism, emphysema, bronchopneumonia, pulmonary hypertension อย่างรุนแรง
ให้น้ำหรือเลือดมากเกินไป
ภาวะท้าย ๆ ของ hypovolemic shock
พยาธิการเกิด
โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันเกิดจากการตีบตันของหลอดเลือดแดงโคโรนารี่ การที่ผู้ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดแดงแข็ง ที่เรียกว่า Atherosclerosis อยู่ก่อน ซึ่งเป็นสาเหตุมากกว่า 90% ของผู้ป่วยทั้งหมด
โดยหลอดเลือดแดงแข็งเกิดจากมีไขมันและเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบต่างๆมาเกาะตัวเป็นกลุ่มอยู่ที่ผนังของหลอดเลือดและมีพังผืดห่อหุ้มเอาไว้ เรียกกลุ่มที่เกาะตัวนี้ว่า พลาค (Plaque) จึงทําให้ทางไหลของเลือดแคบลง หากพังผืดเกิดแตกออก (Plaque rupture) สารเคมีที่อยู่ใน Plaque ก็จะถูกปล่อยออกมาและกระตุ้นให้เกล็ดเลือดที่อยู่ในกระแสเลือดมาเกาะกลุ่มกันที่ผนังหลอดเลือดส่วนนี้ ตามมาด้วยการกระตุ้นระบบการแข็งตัวของเลือด
ทำให้ได้โปรตีนชื่อ ไฟบริน (Fibrin) มาเกาะรวมกับกลุ่มของเกล็ดเลือดและกลายเป็นกลุ่มก้อนลิ่มเลือดขนาดใหญ่ เรียกว่า “ก้อนลิ่มเลือด (Thrombus)” ก้อนThrombus ที่เกิดขึ้นนี้ อาจมีขนาดใหญ่มากจนกระทั่งอุดตันหลอดเลือดแดงจึงทําให้เลือดไหลผ่านไปไม่ได้เซลล์กล้ามเนื้อที่อยู่ปลายทางของหลอดเลือดเส้นนั้นจึงเกิดการขาดเลือดมาเลี้ยงและตายในที่สุดซึ่งการเกิดเหตุการณ์นับตั้งแต่กลุ่ม Plaque แตกออก จนเกิดก้อน Thrombus นั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วจึงทําให้ผู้ป่วยมีอาการเกิดขึ้นเฉียบพลัน
เกิดขึ้นเนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายจนไม่สามารถจะบีบเลือดออกไปเลี้ยงร่างกายได้พอเพียง (Cardiac output ลดลง ) และความดันเลือดจะลดลงตามมา สาเหตุใหญ่มักเนื่องมาจากกล้ามเนื้อหัวใจตาย ทำให้ความสามารถในการบีบเลือดออกมาลดลงซึ่งมักพบได้ถึง 15 % และระยะสุดท้ายของช็อคทุกชนิดก็จะต้องตามด้วยภาวะช็อคจากหัวใจ ตามกฎของ
(Frank – Starling mechanism ) ถึงแม้ว่า Venous return และ stroke volume จะเพิ่มขึ้นแต่ปริมาตรของเลือดที่อยู่ในหัวใจ ทั้งก่อนและหลังการบีบตัว (end – diastolic and end-systolic) ก็จะสูงขึ้นด้วย
ภาวะแซรกซ้อน
หากอาการ Cardiogenic Shock รุนแรงและไม่ได้รับการรักษา อวัยวะภายในของผู้ป่วยจะไม่ได้รับออกซิเจนที่เพียงพอจากเลือดที่ไหลเวียนในร่างกาย และทำให้อวัยวะนั้น ๆ ได้รับความเสียหายชั่วคราวหรือถาวรได้ เช่น สมองถูกทำลาย
ระบบประสาทอัตโนมัติ ประกอบด้วย เซลล์ประสาทนำออกซึ่งนำกระแสประสาทจากระบบประสาทส่วนกลาง ไปยังกล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อหัวใจและต่อมต่างๆ ระบบประสาทอัตโนมัติจะควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบและการทำงานของต่อมที่อยู่นอกอำนาจจิตใจ เกิดกับเหตุการณ์ที่ตื่นเต้น ตกใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ถี่ขึ้นและแรงขึ้น แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป หัวใจจะเต้นช้าลงและเข้าสู่ภาวะปกติ
1.พยาธิสภาพที่สมอง (Cerebral damage) ทำให้กระทบกระเทือน Vasomotor center ที่เมดัลลา เช่น ได้รับบาดเจ็บที่สมอง สมองขาดเลือด สมองบวม เนื้องอกในสมองได้รับยาสลบ ยานอนหลับเกินขนาด หรือสมองขาดกลูโคส (Insulin shock) เป็นต้น
สาเหตุหลักมาจาก
1.การทำลายส่วนก้านสมอง ไขสันหลัง (brain stem , spinal cord injury)
2.การดมยาสลบบางชนิด
3.ช็อคจากอินซูลิน (insulin shock)
พยาชิสรีรวิทยา
การทำลายของระบบประสาทซิมพาเทติด การทำลายของสมองโดยฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของก้านสมอง ซึ่งมีผลให้การทำงานของศูนย์ควบคุมหลอดเลือด(vasomotor cente)เสียไป เมื่อใดก็ตามที่เนื้อเยื่อ สมองขาดเลือดไปลี้ยงจะกระตุ้นรีเฟล็กซ์ของประสาทซิมพาเทติดคือ SNS-chemic response ทันทีเพื่อช่วยให้เลือคไปเลียงสมองให้พอเพียง ถ้สมองขาอดเลือดเกิน 2-3 นาทีศูนย์ควบกุมหลอดเลือดจะถูกกดและเกิดภาวะช็อคจากประสาท
2.พยาธิสภาพที่ไขสันหลัง (Spinal cord injury) ทำให้ Vasomotor center ไม่สามารถควบคุม Preganglionic vasoconstrictor nerve ได้ เช่น ได้รับบาดเจ็บที่ไขสันหลัง มีการตัดขาดของไขสันหลัง หรือได้รับยาสลบซึ่งให้ทางไขสันหลัง (Spinal anesthesia) ในขนาดสูง เป็นต้น
กลไกการบาดเจ็บไขสันหลัง
การบาดเจ็บกระดูกสันหลังและไขสันหลังเกิดทั้งจากที่ไม่มีแผลทะลุทะลวง (blunt injury) และที่มีแผลทะลุทะลวง (penetrating injury) เช่นจากการถูกยิงหรือถูกแทง ถ้าแบ่งประเภทการบาดเจ็บตามกลไกการบาดเจ็บ
Flexion injury เกิดจากการใช้ความเร็วสูงและหยุดกะทันหัน
Hyperextension injury เกิดจากหลายสาเหตุ พบบ่อยในผู้สูงอายุเนื่องจากการเสื่อมของกระดูก
Flexion with rotation injury เกิดจากการหมุนหรือบิดของศีรษะและคออย่างรุนแรง
Vertical Compression (Axial loading) บาดเจ็บจากไขสันหลังถูกกด เกิดจากการได้รับบาดเจ็บแนวดิ่ง
Penetrating injury สาเหตุอาจเกิดจากถูกแทง ถูกยิง ทำให้เกิดการบาดเจ็บทั้งทางตรงและทางอ้อมโดย ไขสันหลังบวมและขาดเลือดและเนื้อเยื่อไขสันหลังตายจากการขาดเลือด
นางสาวนูรไอณีย์ ทับโทน 634N46119