Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทเพลงสำคัญของแผ่นดิน - Coggle Diagram
บทเพลงสำคัญของแผ่นดิน
เพลงมหาชัย
เป็นเพลงเกียรติยศสำหรับพระบรมวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ใช้เป็นเพลงเดินธงในพิธีการสำคัญทางทหาร และใช้บรรเลงในการอวยพร
-
ปัจจุบันนี้หลายคนอยากต้องการให้เพลงมหาชัยเป็นเพลงชาติไทยเพราะอ้างว่าเพลงชาติไทยปัจจุบันไม่ค่อยปลุกใจคนไทย
เพลงมหาชัยเดิมเป็นเพลงไทยอัตราสองชั้น มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ใช้บรรเลงคู่กับเพลงมหาฤกษ์ในโอกาสอันเป็นมงคลต่าง ๆ จนเรียกขานกันโดยทั่วไปว่า "มหาฤกษ์-มหาชัย"
ต่อมาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เพลงนี้บรรจุอยู่ในเพลงปี่พาทย์ เรื่องเวียนเทียน หรือทำขวัญ เป็นเพลงในลำดับที่ 5 ที่เริ่มจาก เพลงนางนาค แล้วออก เพลงมหาฤกษ์ มหากาล สังข์น้อย มหาชัย ดอกไม่ไทร และดอกไม้ไพร ตามลำดับ
นอกจากนี้เพลงมหาชัย ยังปรากฏอยู่ในเพลงตับมโหรี เรื่องทำขวัญครั้งกรุงเก่า โดยเป็นเพลงในลำดับที่ 6 ซึ่งมี พัดชา นางนาค นางนกครวญ สรรเสริญพระจันทร์ มอญแปลง มหาชัย มโนราห์โอด ราโค หงส์ไซร้ดอกบัว เนรปาตี
ใน พ.ศ. 2438 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ขณะทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ทรงพระนิพนธ์เพลงมหาชัยทางสากลขึ้นจากเพลงมหาชัยแบบดั้งเดิมของไทย แล้วประทานให้พระยาวาทิตบรเทศนำไปเรียบเรียงประสานเสียงสำหรับแตรวงทหารบรรเลงเป็นเพลงเดิน และทรงให้ มร.ยาคอบ ไฟต์ เรียบเรียงดนตรีสำหรับให้แตรวงทหารม้าบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีทองเหลือง
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ได้ทรงนำเพลงนี้มาแก้ไขปรับปรุงใหม่ให้รัดกุมยิ่งขึ้น โดยให้วงดุริยางค์ทหารบกและทหารเรือบรรเลงกันเป็นเพลงเคารพหรือเพลงคำนับพระบรมวงศ์ที่มีศักดิ์ไม่ถึงสมเด็จพระบรมราชินี
เพลงมหาชัยทางสากลที่ใช้เป็นเพลงคำนับนี้ใช้บรรเลงอย่างเดียว ไม่มีคำร้อง รัฐบาลไทยได้จัดเพลงนี้ให้เป็น 1 ใน 6 เพลงสำคัญของแผ่นดิน ตามมติคณะรัฐมนตรีลงวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2546
เพลงสรรเสริญพระบารมี
-
-
-
ทำนองทางไทยโดยพระประดิษฐไพเราะ เมื่อ พ.ศ. 2416 ทำนองดนตรีตะวันตกโดย ปิออตร์ ชูรอฟสกี นักแต่งเพลงชาวรัสเซีย
ประพันธ์เมื่อ พ.ศ. 2431 คำร้องเป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ซึ่งนิพนธ์ขึ้นเพื่อใช้ในพระราชพิธีลงสรงของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร
ในตอนแรกคำร้องดังกล่าวในท่อนสุดท้าย ใช้คำว่า ฉะนี้ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนคำว่า ฉะนี้ ให้เป็น ชโย ดังที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากคำว่า ฉะนี้ เมื่อร้องตามทำนองของเพลงแล้ว คนมักจะออกเสียงเพี้ยนเป็นคำว่า ชะนี ทำให้พระองค์ทรงรำคาญพระราชหฤทัย จึงทรงเปลี่ยนจากคำว่า ฉะนี้ เป็น ชโย ซึ่งแผลงมาจากคำว่า ไชโย และ ชย
เพลงสรรเสริญพระบารมีมีการบันทึกเสียงครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2443 ซึ่งเป็นการบรรเลงโดยวงดนตรีคณะละครนายบุศมหินทร์ที่ประเทศเยอรมนี บันทึกลงบนกระบอกเสียงชนิดไขผึ้งของบริษัทเอดิสัน
มีการบันทึกเสียงโดยมีการขับร้องประกอบครั้งแรกโดยเป็นเสียงร้องของแม่ปุ่น และแม่แป้น ในแผ่นเสียงปาเต๊ะร่องกลับทางของบริษัทปาเต๊ะ ประเทศฝรั่งเศส ส่งแตรวงกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ เมื่อ พ.ศ. 2450
เพลงมหาฤกษ์
เป็นเพลงที่ใช้บรรเลงในเวลาได้ฤกษ์เปิดงานที่เป็นพิธีสำคัญ สำหรับเชื้อพระวงศ์ที่ต่ำกว่าชั้นพระบรมวงศ์ลงมา ข้าราชการที่มีระดับต่ำกว่านายกรัฐมนตรี และทหารที่มียศต่ำกว่าจอมพลลงมา จนถึงสามัญชนทั่วไป ประพันธ์ทำนองโดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงพระนิพนธ์ดัดแปลงจากทำนองไทยของเดิม เพลงมหาฤกษ์นี้เป็นเพลงที่มีทำนองใช้สำหรับบรรเลงอย่างเดียวไม่มีบทร้อง เช่นเดียวกับเพลงมหาชัย
รัฐบาลไทยได้จัดเพลงนี้ให้เป็น 1 ใน 6 เพลงสำคัญของแผ่นดิน ตามมติคณะรัฐมนตรีลงวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2546
เพลงมหาฤกษ์เป็นเพลงคู่กันกับเพลงมหาชัย มาตั้งแต่โบราณ จนเรียกติดปากกันว่า มหาฤกษ์มหาชัย ใช้บรรเลงคู่กันเพื่อแสดงฤกษ์งามยามดี และความสวัสดีมีโชคชัย ในโอกาสต่างๆ
สันนิษฐานว่ามีมาแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นเพลงทำนองอัตรา2ชั้น พอมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ถูกนำบรรจุอยู่ในเพลงปี่พาทย์ เรื่องทำขวัญหรือเวียนเทียน ที่เริ่มต้นด้วย เพลงนางนาค ออกเพลงมหาฤกษ์ มหากาล สังข์น้อย มหาชัย ดอกไม้ไทร และดอกไม้ไพร ตามลำดับ
โดยทั่วไปแล้ว เพลงมหาฤกษ์ ใช้ในการเปิดสถานที่ หรือเปิดงานต่างๆตามฤกษ์ยามที่กำหนด เนื่องจากการดำเนินทำนองเพลงมหาฤกษ์นั้น ดำเนินทำนองแบบไทยแท้ ตามลักษณะการแปรลูกฆ้องออกเป็นทำนองเต็มจากเครื่องดนตรีที่บรรเลงร่วมกัน ทำให้ผู้ฟังได้รับฟัง จะได้ยินเสียงครึ้มกระหึ่มของเสียงดนตรีที่บรรเลงพร้อมเพรียงกัน ก่อให้เกิดความปีติยินดี และความศรัทธา แก่ผู้ฟังเป็นอย่างยิ่ง.
ต่อมาจอมพลเรือ สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ได้ทรงดัดแปลงเพลงมหาฤกษ์ทางไทย ออกเป็นทางประสานเสียงตามแบบสากล โดยพระองค์ท่านได้ยึดหลักทำนองของเก่า แต่เพียงแก้ไขเฉพาะตอนขึ้นต้นและลงท้ายให้สง่าผ่าเผยขึ้น ซึ่งทำให้การประสานเสียงตามแบบสากล จะช่วยให้ผู้ฟังเกิดความเร้าใจขึ้นเป็นอันมาก
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสสั่งให้บรรเลงเป็นเพลงเกียรติยศ ต่อมาก็ใช้บรรเลงกล่าวคำอวยพรซึ่งกันและกัน ในพิธีมงคลฤกษ์ต่างๆ
เพลงสดุดีจอมราชา
-
รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมจัดทำเพลงเฉลิมพระเกียรติขึ้นเพื่อใช้ในการขับร้องถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสสำคัญต่าง ๆ แทนเพลงสดุดีมหาราชา
ประพันธ์ทำนองโดย วิรัช อยู่ถาวร ศิลปินแห่งชาติ และประพันธ์เนื้อร้องโดย วิเชียร ตันติพิมลพันธ์ นักประพันธ์คำร้องที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดคนหนึ่งในยุคร่วมสมัย มีประสบการณ์ในการประพันธ์เพลงเฉลิมพระเกียรติที่คุ้นหูคนไทยเป็นอย่างดี
ต่อมา ในวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 ได้มีการแถลงข่าวบทเพลงเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมได้ให้มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อเพลงท่อน "อุ่นไอรักจากฟ้าเรืองรอง" เป็น "อุ่นไอจากฟ้าเรืองรอง" โดยให้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2561
-
เพลงสดุดีพระแม่ไทย
-
กระทรวงวัฒนธรรม จัดทำบทเพลง “สดุดีพระแม่ไทย” เทิดพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจำปีพุทธศักราช 2562
ประพันธ์คำร้องโดย นายชัยรัตน์ วงศ์เกียรติขจร ผู้ประพันธ์บทเพลงที่มีชื่อเสียง อาทิ พระราชินีในดวงใจ และ พลังอาเซียน เป็นต้น และประพันธ์ทำนองโดย นายวิรัช อยู่ถาวร ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีสากล) ประจำปี 2560
เพลงสดุดีมหาราชา
เป็นเพลงที่เกิดจากการประพันธ์ทำนองและคำร้องร่วมกันโดย ชาลี อินทรวิจิตร, สมาน กาญจนะผลิน และสุรัฐ พุกกะเวส เพื่อประกอบภาพยนตร์เรื่อง "ลมหนาว" ของ ชรินทร์ นันทนาคร นำแสดงโดย มิตร ชัยบัญชา, เพชรา เชาวราษฎร์ และอรัญญา นามวงศ์ เมื่อ พ.ศ. 2509
ปัจจุบันเพลงนี้มีการขับร้องเพื่อถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาของทั้งสองพระองค์อยู่เสมอ โดยถือเป็นธรรมเนียมทั่วไปว่าเพลงนี้ต้องขับร้องหลังการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และมีการจุดเทียนชัยถวายพระพร
รัฐบาลได้จัดเพลงนี้ให้เป็น 1 ใน 6 เพลงสำคัญของแผ่นดิน ตามมติคณะรัฐมนตรีลงวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2546