Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลที่มีความผิดปกติอวัยวะรับสัมผัสหู คอ จมูก, นางสาวพิชามญชุ์…
การพยาบาลที่มีความผิดปกติอวัยวะรับสัมผัสหู คอ จมูก
จมูก
กลไกการได้กลิ่น
โมเลกุลในอากาศ-ช่องโพรงจมูก-สัมผัสกับขน(cilia)ของเซลล์รับความรู้สึกในการดมกลิ่นซึ่งอยู่ที่เยื่อบุโพรงจมูกด้านบน-ไปไซแนปส์กับเซลล์ประสาทรับกลิ่น(olfactory cell)-ซึ่งจะเปลี่ยนกลิ่นเป็นกระแสประสาท-วิ่งไปตามเส้นประสาทสมองคู่ที่ 1 (olfactory nerve)-olfactory bulb-แปลผลที่ Temporal lobe ของ Cerebrim
เลือดกำเดา
สาเหตุ
ภาวะที่เลือดออกทางจมูก การฉีกขาดของหลอดเลือด
อาจได้รับการบาดเจ็บ หรือมีสิ่งแปลกปลอม
ความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด
การติดเชื้อ
การมีเนื้องอกในช่องจมูก
อาการและอาการแสดง
1.เลือกออกจากผังกั้นจมูกส่วนหน้า (Anterior Epistaxis)
การรักษา
1.1การใช้สารเคมีหรือไฟฟ้า จี้สกัดจุดที่เลือดออก
1.2การใช้ Anterior nasal packing
ใส่ผ้าก๊อซที่มียาปฏิชีวนะเพื่ออุดตำแหน่งเลือดออก
และสารพวก Gel foam(หล่อลื่นเมื่อนำออก)
2.เลือกออกจากผังกั้นจมูกส่วนหลัง(Posterior Epistaxis)
เป็นตำแหน่งที่เลือดออกมากและหยุดยาก
2.1 Posterior nasak packing
การอุดในช่องจอหลังโพรงจมูก
ใช้ gauze tampon หรือ ballon หรือ สาย Foley's
2.2 Anterior ligation การผูดหลอดเลือดแดงเพื่อควบคุมภาวะเลือดออก
2.3 Arterial Embolization
2.4Laser Photocoagulation
2.5 Skin graft to nasal septum and Lateral nasal wall
การพยาบาลหลังการรักษา
ห้ามสั่งน้ำมูกหรือแกะสะเก็ดแผล
แนะนำให้อ้าปากเวลาไอ จาม
มีอาการปวดจมูก ให้ประคบเย็น ยาแก้ปวด จัดท่านอนศีรษะสูง 45 - 60 องศา เพื่อลดอาการบวม
ประเมินเลือดออก สังเกตผ้าก๊อซว่าเลื่อนหลุดลงคอ ถ้าเลื่อนต้องตัดให้สั้น แต่ห้ามดุงผ้าก๊อซออก
อธิบายว่า อาจมีอาการหูอื้อ แต่จะหายเมื่อนำตัวกดห้ามเลือดออก
ออกตัวกดเลือดออกหลังใส่ 48-72 ชม. ถ้าเลือดออกมากอาจใส่นาน 7 วัน
เลี่ยงการกระทบบริเวณจมูด เช่น แคะขี้มูก สั่งน้ำมูกแรงๆ ห้ามทำอย่างน้อย 1 week
หลังนำตัวกดเลือดออก ควรนอนพักนิ่งๆก่อน 2-3 ชม.
ห้ามยกของกนัก ออกกกำลังกายใช้แรงมาๆอย่างน้อย 4-6 week หลังมีเลือดออก
Nasal Polyo (ริดสีดวงจมูก)
ถ้าก้อนโตมากจะหายใจไม่สะดอก เสียความรู้สึกในการรับกลิ่น
มักไม่อันตรายร้ายแรง
สาเหตุ
มักจากเป็นหวัดเรื้อรัง เช่น หวัดจากการแพ้ การติดเชื้อของเยื่อจมูก
อาการ
คันจมูก แน่นจมูก หายใจไม่สะดวก พูดเสียงขึ้นจมูก ซึ่งเรื้อรังแรมปี
อาจไม่มีความรู้สึกในหารรับกลิ่
อาจมีน้ำมูกออกเป็นหนอง
ถ้าติ่งเนื้อเมือกอุดกั้นรูเปิดขิงไซนัสอาจทำให้ปวดที่หัวคิ้วหรือโหนกแก้ม
สื่งตรวจพบ
ไฟฉายส่องดูรูจมูก มักพบตื่งเนื้อเมือกสีค่อนข้างใสอุดกันอยู่ในรูจมูก
อาการแทรกซ้อน
แน่นจมูกน่ารำคาญ บางรายจอาจมีไซนัสอักเสบ
การรักษา
1.กำจัดริดสีดวงออก โดย
1.1 Medical Polypectomy ใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ พ่นจมูก เพื่อทำให้ยุบตัวลง
1.2 Surgical Polypectomy
Nasal polyp ทำผ่าตัด โดยใช้ Snaring ใช้ลวดคล้องและดึงออก หรือทำ ESS (Endoscopic Sinus Surgery)
Antrochonal poly ทำผ่าตัด Caldwell - luc operation
2.รักษาโรคที่เกิดร่วมและการป้องกันการเกิดซ้ำของริดสีดวงจมูก
2.1 แพทย์ต้องหาสาเหตุให้พบ
2.2ต้องแนะนำทำความสะอาดโพรงจมูก โดยล้างด้วยน้ำเกลือปราศจากเชื้อเองทุกวัน
พบแพทย์ล้างโพรงจมูกทุกสัปดาห์
2.3การให้ยาเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ
Sinusitis
หมายถึง
โพรงหรือช่องอากาศที่อยู่กระดูกหน้า ทางต่อติดต่อช่องจมูก
คนมีไซนัส 4 คู่ คือ
1.Maxillary sinus ใหญ่สุด อยู่ที่แก้มทั้ง 2 ข้าง
2.Frontal sinus อยู่ที่หัวคิ้วทั้ง 2 ข้าง
บางรายพบมีช่องเดียว หรือไม่มีเลย บางรายมีถึง 3 ช่อง
3.Ethmoidal sinus อยู่ซอกตาระหว่างกระบอกตา และจมูก เป็นช่องเล็กๆ ต่อกัน ข้างละ2-10ช่อง
4.Sphenoidal sinus อยู่หลังจมูกด้านบนสุด ติดกับฐานของสมอง
สาเหตุไซนัสอักเสบ ชนิดเฉียบพลัน
1.สุขภาพของผู้ป่วยไม่ดี
เช่น ภูมิต้านทานต่ำ เบาหวาน นอนไม่หลับ เย็นจัด ถูกฝุ่นละอองควันบุหรี่มาก
2.สภาพของจมูก
เช่น อักเสบ เนื้องอกในจมูก แผ่นกั้นช่องจมูกคด
3.สาเหตุโดยตรง
โรคที่มีอาการนำทางจมูก
สั่งน้ำมูกแรงๆ จามมากๆ
ฟันผุและถอนฟัน
การดำน้ำ
อาการ
ปวดกดเจ็บบริเวณโพรงอากาศข้างจมูก
คัดจมูก
มีหนองไหลออกจากช่องจมูก
ถ้ารักษาไม่ถูกวิธีอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน โพรงอากาศข้างจมูกอักเสบเรื้อรัง
การรักษา
ส่วนใหญ่ ยาปฏชีวนะและยารักษาตามอาการ
ด้วยยารับประทาน
ข้อวินิจฉัยที่ได้รับการผ่าตัดในจมูก
4.เสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อจากมีของเหลวคั่งค้างในจมูก
5.การเปลี่ยนแปลงของการรับรู้ต่างๆ เช่น การมองเห็นเปลี่ยนไป เนื่องจากอันตรายจากการกระทบกระเทือนต่อระบบต่างๆในการผ่าตัดบริเวณจมูก
3.เกิดความเจ็บปวดในการผ่าตัดช่องจมูก
2.เกิดภาวะหายใจไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากมีภาวะช่องจมูกบวมหรืออุดตัน
1.เสี่ยงต่อภาวะพร่องของสารน้ำและสารอาหารเนื่องจากความไม่สมดุลของสารน้ำร่างกายและการเสียเลือดทางช่องจมูก
การพยาบาลหลังผ่าตัด
2.ประตบเย็นบริเวณจมูก บรรเทาอาการปวด
1.จัดท่านอนศีรษะสูง 40-45 องศา ลดอาการบวมที่จมูกและหายใจสะดวก
3.ป้องกันการติดเชื้อ กระตุ้นให้ผู้ป่วยดูแลทำความสะอาดช่องปาก บ้วนปาก ด้วยน้ำเกลือปราศจากเชื้อบ่อยๆ
หลีกเลี่ยงการแปรงฟันบริเวณแผล
4.เลี่ยงการออกกำลังกาย ยกของ ทำงานหนัก ภายใน10-14วันหลังผ่าตัด
5.ไม่ควรไอจามแรงๆ ถ้าจะจามเปิดปากเพื่อลดแรงดันที่เข้าโพรงอากาศจมูก ซึ่งทำให้แผลผ่าตัดในช่องปากแยกได้
หู
กลไกการได้ยิน
คือการได้ยินเสียงผ่านทางอากาศ (Air conduction pathway)
คือการได้ยินเสียงผ่านกระดูก (bone conduction pathway)
การตรวจวินิจฉัย
1.การซักประวัติผู้ป่วย
มีเสียงดังในหู Tinnitus ข้างไหน ลักษณะเสียง ดังเมื่อไร
มีของเหลวไหลจากหู Otorrhea สี ลักษณะ
อาการปวดหู Otalgia ปวดมาก/น้อย ตลอดเวลาหรือพักๆ
อาการเวียนศีรษะ Dizziness or vertigo เป็นบ่อยแค่ไหน อาการอื่นร่วม ได้ยาอะไร มีประวัติเป็นโรคอะไร
2.การตรวจร่างกาย
-ตรวจหูภายนอก โดยมองและคลำ หน้าและหลังหู ว่ามีปวด บวม แดง ฝี รู ถุงน้ำ
-ตรวจช่องหู Ostoscopy
ตรวจดูแก้วเยื่อหู มีสี มีรอย มีแผล มี light reflex หรือไม่ retraction หรือรูทะลุ
ตรวจด้วยไม้พันสำลี แตะที่ข่อวหูทั้งส่วนกระดูกและกระดูกอ่อน แตะส่วนไหนปวดให้ตัดส่งตรวจ
-ถ้าตรวจหูไม่พบสิ่งผิดปกติ ให้ตรวจศีรษะและคอด้วยช่องปาก เหงือก ฟันคุด มีก้อนเนื้องอก
Temporomandibular joint ปวดหูขณะเคี้ยวอาหารหรือพูดจากข้อต่ออักเสบ
คลำดูกล้ามเนื้อที่เคี้ยวว่าเจ็บไหม
ช่องจมูก มีไซนัสอักเสบไหม
ช่องคอทั้ง 3 ส่วน กล่องเสียง หลอดลม
ดูหน้า ข้าง หลัง ลำคอ ว่าต่อมน้ำเหลืองโตหรือไม่
ตรวจพิเศษอื่นๆ ถ่ายภาพรังสีหู คอ จมูก ,CT Scan ,MRI
-การนัดตรวจซ้ำเป็นระยะๆ
3.ตรวจพิเศษด้วยเครื่องมือ
3.1การทดสอบการได้ยิน นิยมตรวจ
Tuning fork test ตรวจการได้ยินโดยใช้ส้อมเสียง
การแปลผล Weber test
ทดสอบ Cochlear function
การตรวจได้ยินผ่านการนำเสียงกระดูก
3.ถ้ามีระบบประสาทรับเสียงบกพร้อง ข้างีท่ดีจะได้ยินชัดกว่า
1.คนปกติได้ยินเท่ากัน 2 ข้าง
2.ถ้าระบบนำเสียงบกพร่อง ข้างที่มีปัญหาจะได้ยินชัดกว่า
พร้อง ข้างีท่ดีจะได้ยินชัดกว่า
การแปลผล Rine Test
จำแนกประเภทของการสูญเสียการได้ยิน
ผ่านการนำเสียงทางอากาศ
3.False negative Rinne BC>AC
2.Rine Test Negative ได้ยินทางหลังหูดีกว่าหน้าหู BC> AC
1.Rine Test Positive ได้ยินทางหน้าหูดีกว่าหลังหู AC>BC
Audiometry ใช้เครื่องตรวจการได้ยินชนิดไฟฟ้า
3.2 กาาตรวจโดยการใช้คำพูด
-Speech Reception Threshold (SRT)
ตรวจระดับเสียงพูดที่ต่ำที่สุดที่ผู้ป่วยเข้าใจว่าเป็นคำพูด
เป็นคำ 2 พยางค์ที่ฟังแล้วคุ้นเคย เช่น เสื้อผ้า พ่อแม่ ดอกไม้
บอกความไวของหูในการรับฟังคำพูด
-Speech Discrimination
ประสิทธิภาพหถในการแยกเสียง และเข้าใจความหมายคำพูด
ใช้คำพยสงค์เดียว เช่น เต่า อ่าน บ้าน
4.การตรวจ Vestibular Function Test
Unterberger's Test ทำเหมือนRomber'test แต่ยื่นมือไปข้างหน้า หลับตา ย่ำซอยเท้ากับที่
Gait Test เดินตามแนวเส้นตรงระหว่างจุด 2 จุด แล้วหมุนตัวเร็วกลับมาที่เดิม
Romber'test ยืนตรง ส้นและปลายเท้าชิด มองตรงข้างหน้า
5. ตรวจดู Nystagmus
คืออาการตากระตุก
โดยการทํา Head Shaking (สั่นศีรษะผู้ป่วยในแนวระนาบนอน 20 ครั้ง)
หรือทํา Position Test (ให้ผู้ป่วยนอนจับศีรษะตะแคงขวา ซ้าย หงาย ตรง)
เพื่อดูอาการเวียนศีรษะ
การสูญเสียการได้ยิน Hearing Loss
ทําให้ปัญหาในการฟัง หูอื้อ ได้ยินไม่ชัด หรือมีเสียงดังในหู พบได้ตั้งแต่แรกเกิด จนถึงวัยชรา
ประเภท
1.การสูญเสียการได้ยินแบบการนําเสียงทางอากาศบกพร่อง (Conductive Hearing Loss; CHL)
เกิดจากความผิดปกติของหูชั้นนอก เยื่อแก้วหู และหูชั้นกลาง
2.การสูญเสียการได้ยินแบบประสาทหูเสื่อม (Sensorineural Hearing Loss; SNHL)
เกิดจากความผิดปกติในอวัยวะ รูปหอยโข่งในหูชั้นใน
พบบ่อยคือ outlet hair cell หรือความผิดปกติที่เส้นประสาทการได้ยิน
3.การรับฟังเสียงบกพร่องแบบผสม (Mixed Hearing Loss)
เกิดจาก ความผิดปกติในระบบการนําเสียงร่วมกับประสาทรับฟังเสียงบกพร่อง
พบได้ในโรคที่มีความผิดปกติของหูชั้นกลางและหูชั้นในร่วมกัน
4.ความบกพร่องที่สมองส่วนกลาง (Central Hearing Lo
เกิดจาก ความผิดปกติของสมองโดยเฉพาะ
ได้ยินแต่ไม่สามารถแปล ความหมายของสัญญาณนั้นได้
สาเหตุ
1.การนําเสียงทางอากาศบกพร่อง (Conductive Hearing Loss; CHL)
โรคหูชั้นนอก เช่น ขี้หูอุดตัน ช่องรูหูตีบแคบตั้งแต่กําเนิด
โรคของเยื่อแก้วหูและหูชั้นกลาง เช่น เยื่อ แก้วหูทะลุ
2.ประสาทหูเสื่อม (Sensorineural Hearing Loss; SNHL)
2.1ประสาทหูเสื่อมที่เป็นตั้งแต่กําเนิด(Congnital Sensorineural Hearing Loss)
2.2ประสาทหูเสื่อมที่เกิดภายหลัง (Acquired Sensorineural Hearing Loss)
-Presbycusis พบในคนชรา
Noise induced hearing loss เกิดจากเสียงดังมาก
Drug induced hearing loss เกิดจากยากลุาม Aminoglycoside, salicylate, diuretics
Infection ติดเชื้อจากหูชั้นใน น้ำไขสันหลัง การติดเชื้อหูชั้นกลาง
Tumor
Meniere , s disease หรือ endolymphatic hydro
Trauma อุบัติเหตุบริเวณศีรษะทําให้เกิดการแตกของกระดูก temporal ผ่านหูชั้นใน
Vascular cause
Autoimmune
Sudden sensorineural hearing loss
การวินิจฉัย
1.การซักประวัติ
1.1 อาการนํา เช่น หูอื้อ เสียงดังในหู หรือการได้ยินลดลง
1.2 อาการร่วม เช่น ปวดหู น้ำออกหู คันหู มีเสียงดังในหู เวียนหัวบ้านหมุน
อาการผิดปกติของระบบประสาทจะช่วยบอกตําแหน่ง
1.3 ประวัติในอดตี เช่น การใช้ยาที่มีพิษต่อหู อุบัติเหตุที่ศีรษะ การผ่าตัด ใบหู การได้ยินเสียงดังมากเกินไป ประวัติบุคคลในครอบครัว มีหูหนวก เป็นใบ้
2.การตรวจร่างกาย
2.1 การตรวจทางร่างกายทางหูคอ จมูก การส่องกล้องดูหู (Otoscope)
2.2 การตรวจทางระบบประสาท กรณีสงสัยรอยโรคของเส้นประสาท หรือสมอง
2.3 การตรวจการได้ยินด้วยส้อมเสียง (Tuning fork)
โรคที่พบบ่อยจากการได้ยินและการทรงตัว
โรคหูชั้นนอก
หูชั้นนอกอักเสบ
การติดเชื้องูสวัดบริเวณหู
ใบหูมีรูทะลุ หรือมีถุงน้ำ
ขี้หูอุดตัน (Cerum Impaction or Impacted Cerumen)
พยาธิสภาพ
ขี้หูสร้างมากผิดปกติ
ในผู้สูงอายุต่อมสร้างขี้หูฝ่อ
Epithelial migration ลดลงทำให้ขี้หูอุกตันง่าย
ทำให้ขี้หูแห้งละแข็ง
อาการ
หูอื้อ ปวดหู
การรักษา
ล้าง ใช้เครื่องดูดหรือเครื่องมืออื่นๆช่วย
สิ่งแปลกปลอมในช่องหู (Forgien body)
สาเหตุ
ผู้ใหญ่มักพบชิ้นส่วนไม้พันสำลีหรือพวกแมลง
เด็กเล็กมักพบลูกปัด ของเล่นชิ้นเล็ก ยัดใส่จนทำให้หูติดเชื้อ
อาจเกิดเยื่อแก้วหูทะลุได้
อาการ
หูอื้อ รําคาญ สูญเสียการได้ยิน
ในวัยเด็กเล็ก ๆ มักเอามือจับหูบ่อย ๆ ร้องกวน และไม่ยอมดูดนม
ในวัยผู้ใหญ่จะพยายาม แคะหู บางรายมีอาการมึนงงเวียนศีรษะจนถึงอัมพาตของใบหน้า (Facial Paralysis)
การรักษา
เป็นสิ่งมีชีวิต
ใช้แอลกฮอล์ 70% หรือยาหยดประเภทน้ำมัน หยอดลงไป แล้วคีบออก
เป็นสิ่งไม่มีชีวิต
ใช้น้ำสะอาดหรือเกลือปราศจาก เชื้อหยอดจนเต็มหูแล้วเทน้ำออกหรือใช้ที่ล้างหูช่วย
ถ้าเป็นของแข็งใช้
เครื่องมือแพทย์คีบออก
รอยต่อระหว่างหูชั้นนอกกับหูชั้นกลาง
เยื่อแก้วหูฉีกขาดเป็นรูทะลุ
สาเหตุ
อาจเกิดจากแรงอัดดันจากการถูกกระแทกบริเวณกระดูกขมับ เช่น ถูกตบตี
ได้รับอันตรายจากเสียงดังมากๆ เช่น ระเบิด ประทัด
อาการ
เจ็บปวดเฉียบพลัน
สูญเสียการได้ยิน
มีเสียงดังในหู
มีเลือดออกในหูและไหลออกมา
บางรายเวียนศีรษะร่วมด้วย
การรักษา
ทิ้งไว้เฉยๆอย่าชะล้าง
ไม่ต้องเอาลื่มเลือดออก
ไม่ต้องหยอดยาหู แต่ทานยากันการติดเชื้อ
อาการต่างๆควรหายภายใน 1-2 เดือน ไม่หายทำการซ่อมแซมเยื่อแก้วหู
แพทย์ให้ยาปฏชีวนะชนิดขี้ผึ้งแปะบริเวณที่ขาด
โรคหูชั้นกลาง
การบาดเจ็บจากแรงดันของหู
โรคหูน้ำหนวก Otitis Media
ภาวะคั่งค้างของเหลวอยู่ในหูชั้นกลาง
อาจมีการติดเชื้อร่วม
แบ่งเป็นชนิดต่างๆ
1.Acute Otitis Media ภาวะหูน้ำหนวกเกิดขึ้นในช่วงเลาสั้นๆ น้อยกว่า3 สัปดาห์
2.Serous Otitis Madia น้ำใสขังค้างในหูชั้นกลาง มีอาการระหว่าง 3 เดอืย 3 week
4.Adhesive otitis media เกิดนานเป็นระยะเวลาปี
3.Choronic Otitis Media เกิดเป็ยซ้ำและเป็นนาน มากกว่าหรือเท่ากับ 3 เดือน
สาเหตุ
เป็นหวัด คัดจมูก คออักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ
เพดานโหว่ กล้ามเนื้อ Tensor Veli patayine ทำงานไม่ดี
ท่อยูสเตเชียนออุดตัน
เด็กดูดนมขวดแรงดูดมากกว่าดูดนมแม่ ทำให้เกิดการไหลย้อนนมเข้าสู่ท่อยูสเตเชียนได้ง่าย หูชั้นกลางอักเสบได้
เนื้องอกบริเวณช่องหลังโพรงจมูกไปอุดท่อยูสเตเชียน
เครื่องบินลง เกิดภาวะ Barotrauma จากการปรับเปลี่ยนความดันทำให้กล้ามเนื้อ Tenso vali pa;atine ดึงท่อยูสเตเชียนให้เปิดไม่ได้
อาการ
รู้สึกเหมือนมีน้ำขังอยู่ในหูตลอดเวลา
สูญเสียการได้ยิน บางรายหูอื้อเวลาพูดเสียงดัง รู้สึกก้องหูมาก
ตรวจแก้วหูด้วย Otoscopy เยื่อแก้วหูลักษณะโป่งนูน ปวดหูร่วม
การรักษา
-การปรับความดันของหูชั้นกลางให้ปกติ
ทำ Valsava Maneuver และ Politzerisation คือ
หายใจเข้าเต็มที่ บีบจมูกหุบปากให้สนิทแล้วเบ่งลมหายใจออกเป็นการเพิ่มความกันบริเวณช่องคอหลังโพรงจมูก ทำให้ท่อยูสเตเชียนเปิดออกได้
รักษาทางยา ยาแก้แพ้ลดคัดแน่นจมูกและยาปฏิชีวนะร่ว
การทำ Myringostomy รายที่รักษาโดยยาไม่ได้ผล คือ
เจาะเยื่อแก้งหูแล้วใส่ท่อคาไว้ให้ลมผ่านเข้าออกได้ตลอด
ให้ของเหลวชั้นกลางไหลออกมาก
หลังทำแนะนำห้ามแคะหู ห้ามน้ำเข้าหู ถ้ามีหนองไหลใช้สำลีสะอาดเช็ด
หูชั้นกลางอักเสบเรื้องรัง Chornic Otitis media
สาเหตุ
เกิดจากภาวะที่รักาาไม่หายขาดของหูชั้นกลางอักเสบ
อาการ
เยื่อแก้วหูทะลุ
ของเหลวไหลเป็นน้ำหนอง
หูอื้อ บางรายสูญเสียการได้ยิน
การรักษา
1.ทางยา ให้ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวด ยาลดคัดจมูก บางรายให้ยาหยอดหูร่วม
2.ผ่าตัด Tympanoplasty และ Mastoidectomy เมื่อให้ยา 2 week ไม่หาย
โรคหินปูนเกาะฐานกระดูกโกลน Otosclerosis
สาเหตุ
ไม่ทราบแน่ชัด อาจเกิด Measle virus และประวัติทางพันธุกรรม
อาการ
หูอื้อ บางรายเวียนศีรษะ บ้านหมุนขณะเปลี่ยนท่าทางของศีรษะ
มีเสียงดังในหู
สูญเสียการได้ยินแบบ CHL
การรักษา
ใช้เครื่องช่วยฟัง หากสูญเสียการฟังไม่มาก
ผ่าตัด นำกระดูกหูที่มีพยาธิสภาพออกแล้วใส่วัสดุเทียม
การบาดเจ็บจากแรงดันต่อหู Otitic Barotrama
สาเหตุ
มักเกิดภาวะท่อยูสเตเชียนทำงานผิดปกติ
ส่วนมากเกิดจากการเดินทางโดยเครื่งบิน
จากการเปลี่ยนแปลงความดันอากาศหรือความดันในหูชั้นกลางและโพรงกกหู
อาการ
ปวดหู แน่นหู
หรือสูญเสียการได้ยินแบบ CHL ร่วมกับมีประวัติขึ้นเครื่องบินหรือดําน้ํา
การผ่าตัดหู
การผ่าตัดเอา Mastpid air cell vvd รวมทั้งซ่อมแซม Conductive Mechanism
การผ่าตัดเปิดหูเข้าไปในหูชั้นกลาง เพื่อดูว่าจะทำอะไรต่อไป
การตกแต่งหูชั้นกลาง รวมทั้งปะแก้วหูตกแต่งกระดูกหู
การผ่าตัด Stapes bone แบะ Footplate ออก แล้วใส่ของเทียม เชื่อม Incus กับ Oval window
การผ่าตัดตกแต่งแก้วหู ปะเยื่อแก้วหู
การผ่าตัดบริเวณหูชั้นกลาง เพื่อลดการกดของ facoal nerve ลง
การผ่าตัดซ่อมแซมกระดูกหูในช่องหูชั้นกลาง
การดูแลผู้ป่วยก่อนและหลังผ่าตัดบริเวณกระดูกหูและกระดูก Mastoid
นอนราบ ตะแค้งข้างไม่ผ่าตัด ถ้าไม่อาเจียยหนุนหมอนได้
ถ้าเวียนศีรษะให้นอนพัก
รายที่ผ่าตัดซ่อมกระดูกโกลน ห้ามก้มมากๆ ห้ามออกแรงยกของหนัก 2 week
ติดตามประเมินภาวะปากเบี้ยว ตาปิดไม่สนิท ชาที่หน้า ต้องรีบรายงานแพทย์
ตัวกดห้ามเลือดนำออกหลังผ่าจัด 24-48 ชั่วโมง
หลังผ่าตัดถ้าไม่คลื้นไส้อาเจียนเริ่มทานอาหารอ่อนได้ แต่เคี้ยวด้านตรงข้ามกับที่ผ่าตัด
คำแนะนำก่อนจำหน่ายกลับบ้าน
ห้ามสั่งน้ำมูก 2-3 week
ไอ จาม ควรเปิดปากทุกครั้ง
กลับทำงานได้ แต่ห้ามใช้แรงยกของหนักเกิน 50 กก.
หลังผ่าตัด 3-5 week อาจมีเสียงดังเปรียะหรือซ่าภายในหูเกิดขึ้น
หลังผ่าตัด 2 สัปดาห์ดูแลน้ำอย่าให้เข้าหู
โรคหูชั้นใน
หินปูนหูชั้นในหลุด โรคเวียนหัวขณะเปลี่ยนท่า Bemign parpxysmal positional vertigo; BPPV
พบตะกอนแคลเซียมสะสมที่อวัยวะทรงตัวในหูชั้นใน
สาเหตุ
อุบัติเหตุ
ความเสื่อมตามวัย
โรคหูชั้นใน
การติดเชื้อ
อาการ
สูญเสียการทรงตัว เมื่อเคลื่อนไหวศีรษะรวดเร็ว
เวียนศีรษะบ้านหมนุน รู้สึกโครงเครง
การวินิจฉัย
1.การซักประวัติ อาการ
2.การตรวจร่างกาย ล้มตัวนอนท่าตะแคงศีรษะ ห้อยศีรษะเล็กน้อย ผู้ป่วยจะเวียนศีรษะและมีการกระตุกของลูกตา
3.การสืบค้นเพิ่มเติม
การจตรวจการได้ยิน มักปกติ
การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า MRI ทำรายที่สงสัยว่ามีพยาธิสภาพของร.ประสาทส่วนกลาง เช่น สมอง
การรักษา
ด้วยยา ให้ยาบรรเทาอาการเวียนศีรษะ เลี่ยงท่าทางที่กระตุ้นให้เกิดอาการ
2.กายภาพบำบัด ขยับศีรษะและคอ เพื่อเคลื่อนตะกอนหินปูน
3.ผ่าตัด
ภาวะแทรกซ้อน
อาเจียนมากสูญเสียน้ำและเกลือแร่ อาจช็อกได้
เวียนศีรษะมากอาจล้มได้ ถ้ามีอาการควรนั่งหรือนอนพื้นราบ ถ้ามีอาการขณะทำงานหรือขับรถควรหยุดการกระทำก่อน ไม่ควรดำน้ำ ว่ายน้ำ หรือปีนป่ายที่สูง
การปฏิบัติตัวป้องกันไม่ให้เกิดอาการกำเริบ
เลี่ยงการนอนที่เอาหูด้านที่กระตุ้นให้เกิดอการลง
ตื่นนอนลุกช้าๆ นั่งขอบเตียงก่อน
นอนหนุนหมอนสูง เลี่ยงนอนราบ
เลี่ยงการก้มเก็บสิ่งของ หรือเงยหยิบสิ่งของ
ทำอะไรควรทำช้าๆ ค่อยๆ
น้ำในหูไม่เท่ากัน Meniere's disease
สาเหตุไม่ทราบแน่ชัด
อาการ
ประสาทหูเสื่อม ได้ยินแบบประสาทเสียงเสีย
มีเสียงดังในหู อาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน
ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ต้องนอนพัก
บางครั้งคลื่นไส้อาเจียน เหงื่ออกร่วม
การรักษา
-ปฏิบัติตัวที่ถูกต้องขณะเวียนศีรษะ
พยายามอย่ากินหรือดื่มหนัก
เลี่ยงการเดินทางโดยเรือ
เวียนศีรษะควรนั่งพัก
-การให้ยา
จำกัดความเค็ม เพราะจะทำให้น้ำคั่งน้ำในหูมากขึ้น
กินยาขยายหลอดเลือด ฮิสตามีน
อาการดีแล้วออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพิ่มเลือดเลี้ยงที่หู
เลี่ยงชา คาเฟอีน บุหรี่ ความเครียด เลือดจะเลี้ยงหูชั้นในลดลง
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเวียนศีรษะ Vertigo
อย่าลืมกั้นราวเตียวขึ้น ถ้าจะเดินเองให้ใช้ไม้พยุงเดิน
ขณะเวียนศีรษะควรนอนพักนิ่งๆบนเตียง (Absolute bed rest)
ให้คำแนะนำเรื่องการเคลื่อนไหว พยาบาลควรดูแพยุงเมื่อลุก
แนะนำให้ความรู้ผู้ป่วย โดยเฉพาะถ้ามีอาการหูหนวกต้องให้กำลังใจ
ประเมินต่างๆ อาการเวียนศีรษะ ความถี่ ความห่าง ช่วงเวลา
คำแนะนำการออกกำลังกาย ไม่ควรทำงานหนักเกิน
จัดสิ่งแวดล้อมต่างๆให้เหมาะสม
ประสาทหูเสื่อมฉับพลัน Idopathic Sudden Hearing Loss
สาเหตุ
อุดตันของเลือดที่เลี้ยงหูชั้นใน อาจเกิดจากความเครัยด หลอดเลือดที่เสื่อมตามวัยและมีไขมันเกาะ
การรั่วของน้ำในหูชั้นในเข้าหูชั้นกลาง อาจเกิดจากเบ่งถ่าย ไอ จาม แรงๆ ความดันสมองสูง
ติดเชื้อไวรัส
จากการเปลี่ยนแปลงความกดดันของหูชั้นใน เช่น การดำน้ำ ขึ้นเครื่องบิน
การบาดเจ็บ ที่ศีรษะจนเกิดการั่วของน้ำในหูชั้นในหรือกระดูกกกหู
อาการ
การได้ยินลดลงในหูข้างใดข้างหนึ่งอย่างฉับพลัน
เวียนศีรษะร่วม
หูอื้อ
การรักษา
ถ้าทราบสาเหตุรักษาตามสาเหตุ
กรณีไม่ทราบสาเหตุ มักหายไดด้เองสูง นิยมให้ยาสเตียรอยด์ประมาณ 1 week
ยาขยายหลอดเลือด เพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงที่กู
ยาวิตามิน บำรุงประสาทที่หูเสื่อม
ยาลดอาการเวียนศีรษะ
การนอนพัก ลดการรั่วของน้ำในหูชั้นในเข้าหูชั้นกลาง
แนะนำนอนยกศีรษะสูง 30 องศา
ไม่ควรทำงานหนักออกกำลังกายหักโหม 1-2 week
การรักษาเพื่อป้องกันประสาทหูเสื่อมเพิ่มขึ้น
ถ้าเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันนเลือดสูง ซีด ต้องควบคุมอาการให้ดี
หลีกเลี่ยงยาที่มีพิษต่อหู
หลีกเลี่ยงเสียงดัง
หลีกเลี่ยงอุบัติเหตึ หรือการกระเทือนหู
ลดอาหารเค็ม เครื่องดื่มที่มีการกระตุ้นระบบประสาท
หลีกเลี่ยงการติดเชื้อที่หู
หูชั้นในอักเสบ
หูตึงจากสูงอายุ Presbycusis or age ealate hearing loss
สาเหตุ
อายุที่เพิ่ม เป็นปัจจัยส่งเสริมทำให้เลือดเลี้ยงหูชั้นในลดลง
การสูบบุหรี่
การได้รับเสียงดัง
การใช้ยา
อาการ
ได้ยินลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
อาจมีเสียงดังในหูร่วมด้วย
การรักษา
ใช้เครื่องช่วยฟังเป็นหลัก
กำจัดแคลลอรี่ ลดปริมาณไขมันในร่างกาย
ยาที่เป็นพิษต่อหู
เส้นประสาททรงตัวอักเสบ
การสูญเสียการได้ยินจากเสียงดัง
ช่องปากและลำคอ
Tonsillitis + Adenoiditis
สาเหตุ
-Beta - hemolitic streptococci or Staphylococi
เป็นพวกแบคทีเรีย รวมทั้งไวรัส
-การอักเสบเรื้อรังเกิดจากเป็นโรคอื่นมาก่อน เช่น มีภาวะภูมิแพ้ หอบหืด โพรงอากาศข้างจมูกอักเสบ
ต่อมอดีนอยด์อักเสบ
เกิดจากต่อมทอนซิลอักเสบเฉียบพลันมาก่อน
เชื้อที่พบมาก Streptococci group A
บางทีเรียกว่าโรค Adenoid Hypertrophy
อาการและอาการแสดง
ไข้ ไอ เจ็บคอ กลืนลำบาก
รายที่มีต่อมอดีนอยด์อักเสบ จะพบอาการผลจากภาวะแทรกซ้อนดังนี้
1.อาการหายใจทางปาก หายใจเสียงดัง บางครั้งนอนกรน
ผลจากภาวะอดีนอยด์บวมโตไปขวางการหายใจ
2.หูชั้นกลางอักเสบ
บางรายแก้วหูทะลุ สูญเสียการได้ยินภาวร
บางรายมี Mastoiditis ร่วมด้วย เกิดจากท่อยูสเตชันบวมและอุดตัน ทำให้หนองคั่งข้างในหูชั้นกลาง
3.การพูดเสียงขึ้นจมูก
การผ่าตัดกรณี
1.รักษาด้วยยาแล้วไม่ได้ผล
2.มีการกลับเป็นซ้ำของทงซิลอักเสบ 4-5ครั้ง/ปี
3.เกิดฝีรอบทอนซิลและรักษาจนหายอักเสบอย่างน้อย 6 week ต้องผ่าตัดเพื่อรักษาโรคให้หายขาด
4.กลืนลำบากมาก
5.บวมโตของต่อมทั้ง 2 จนขัดขวางการหายใจ
6.อาการอื่นๆร่วม เช่น อักเสบหูชั้นกลาง สูญเสียการได้ยิน ไข้รูมาติค
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลผู้ป่วยที่ทำการผ่าตัด
3.เสี่ยงต่อภาวะเสียเลือดเนื่องจากมีแผลเปิดในคอหรือทางเดินหายใจไม่โล่งจากการสำลักเลือดหรือสิ่งคัดหลั่งอื่นลงไป
4.เสี่ยงภาวะการอักเสบติดเชื้อของแผลในลำคอเนื่องจากขาดความรู้การดูแลแผล
2.เกิดภาวะพร่องสารน้ำและสารอาหารในร่างกายจากการได้รับอาหารและน้ำในปริมาณไม่เพียงพอ เพราะเจ็บเวลากลืน
5.เสี่ยงต่ออันตรายจากภาวะแทรกซ้อนภายหลังกลับบ้านเนื่องจากขากความรู้ในการดูแลตนเอง
1.ปวดแผลบริเวณที่ทำการผ่าตัด
การพยาบาลหลังผ่าตัด
-เคี้ยวหมากฝรั่งช่วยลดอกาการบวมในลำคอ กล้ามเนื้อคลายเกร็ง บรรเทาปวดได้
-แนะนำให้กินของเย็น เช่น น้ำเย็น แต่ไม่มากเกินไป
-หลีกเลี่ยงอาหารหลังผ่าตัด ไม่เปรี้ยว เผ็ด ร้อน เพราะระคายเคืองแผลในลำคอทำให้เลือดออก
-อธิบายหลังผ่าตัดอาจเจ็บคอ คอแข็ง อาเจียนภายใน 24 ชม.
-อาจเจ็บคอ ปววดหู นาน 7-10 วันหลังผ่าตัด
-หลีกเลี่ยงแหล่งชุมชนหลัง 7 วันแรก ป้องกันการรับเชื้อโรค
-แนะนำงดใช้เสียง การทำงานหรือกิจกรรมที่ต้องออกแรงมากอย่างน้อย 7 วัน
นางสาวพิชามญชุ์ เชิงทวี
เลขที่ 59 (62111301061)
ชั้นปีที่ 2 รุ่นที่ 37