Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับ อวัยวะรับสัมผัสพิเศษ, น.ส.วริษฐา โปรยทอง รุ่น 37 …
ปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับ
อวัยวะรับสัมผัสพิเศษ
หู
โรคหูชั้นนอกที่พบบ่อย
ขึ้หูอุดตัน
อาการ
หูอื้อ ปวดหู
การรักษา
โดยการล้าง ใช้เครื่องดูดหรือการใช้เครื่องมีออื่น ๆ ช่วย
สาเหตุ
ขี้หูสามารถอุดตันอยู่ในส่วนของช่องหูชั้นนอกและมีสีและปริมาณที่มากน้อยได้แตกต่างกัน
พยาธิสภาพ
ส่วนมากเกิดจากขี้หูสร้างมากผิดปกติ ในผู้สูงอายุต่อมสร้างขี้หูฝ่อ ทำให้แห้งและแข็ง รวมทั้ง Epithelial migration ลดลง ทำให้ขี้หูอุดตันได้ง่าย
สิ่งแปลกปลอมในช่องหู
สาเหตุ
เด็กเล็กมักพบของเล่นขึ้นเล็ก ลูกปัด หรือเมล็ดผลไม้
ผู้ใหญ่มักพบเป็นเศษชิ้นส่วนของไม้พ้นสำหรือพวกแมลง
อาการ
หูอื้อ รำคาญ สูญเสียการได้ยิน อาการ (Facial Paralysis) ได้
บางรายมีอาการมึนงงเวียนศีรษะจนถึงอัมพาตของใบหน้า
การรักษา
สิ่งมีชีวิตใช้แอลกฮอล์ 70% หรือยาหยดประเภทน้ำมันหยอดลงไป แล้วคีบออก
สิ่งไม่มีชีวิตใช้น้ำสะอาดหรือเกลืปราศจากเชื้อหยอดจนเต็มหูแล้วเทน้ำออกหรือใช้ที่ล้างหูช่วย
เยื่อแก้วหูทะลุ
สาเหตุ
ของมีคมหรือแคะหูหรือแรงดันบริเวณกระดูกขมับ
อาการ
เสียการได้ยิน มีเสียงดันในหูและเลือดไหล บางรายเวียนศีรษะร่วม
การรักษา
ทิ้งไว้เฉยๆอย่าชะล้าง ไม่หยอดยา ทานยาฆ่าเชื้อ
หูชั้นนอกอักเสบ
สาเหตุ
บ่อยจากการติดเชื้อแบคทีเรีย บางรายติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อรา
ความผิดปกติของผิวหนัง
การรักษา
ทำความสะอาดและหยอดยา
โรคหูชั้นกลาง
หินปูนเกาะบริเวณฐานกระดูกโกลน
สาเหตุไม่ทราบแน่ชัด
อาการ
หูอื้อบ้านหมุน สูญเสียการได้ยินแบบCHL
การรักษา
ใช้เครื่องช่วยฟัง,ผ่าตัดใส่เทียม
การบาดเจ็บจากแรงดันของหู
สาเหตุ
ความดันในหู
ป้องกัน
ไม่ให้เกิดOtitic baratrama
โรคหูน้ำหนวก
สาเหตุ
ดูดนมขวดแรง
เป็นหวัด
ความดันเวลาขึ้นลงเครื่องบิน
เพดานโหว่
ท่อยูสเตเชียนอุดตัน
เนื้องอกหลังโพรงจมูกอุดตันท่อยูสเตเซียน
อาการ
รู้สึกหูอื้อ เหมือนมีน้ำขังตลอดเวลา
การรักษา
ทำvalsava maneuverเละ Politzerisation
โรคหูชั้นใน
หินปูนในหูชั้นในหลุด
พบตะกอนแคลเชียมสะสมบริเวณอวัยวะทรง เมื่อมีการเคลื่อนไหวศีรษะจะเกิดการกระตุ้น
สาเหตุ
เสื่อมตามวัย อุบัติหตุโดยเฉพาะการบาดเจ็บหรือบัติเหตุบริเวณศีรษะ โรคหูชั้นใน การติดเชื้อ
อาการ
บ้านหมุน เสียการทรงตัวเมื่อเคลื่อนไหวศีรษะรวดเร็ว
การรักษา
รักษาด้วยยา ให้ยบรรเทาอาการเวียนศีษะ และผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงทำทางที่กระตุ้นให้เกิดอาการ
กายภาพบำบัด ขยับศีษะและคอ โดยใช้แรงดึงดูดของโลก เพื่อเคลื่อนตะกอนหินปูนออกจากอวัยวะควบคุมการทรงตัว
การผ่าตัด ทำในกรณีที่ผู้ป่วยรักษาด้วยยาและทำกายภาพไม่ได้ผล คือ ยังมีอาการเวียนศีรษะตลอด
น้ำในหูไม่เท่ากัน
สาเหตุไม่ทราบชัดเจน
อาการ
ประสาทหูเสื่อม มีเสียงดังในหู
อาการเวียนศีษะ บ้านหมุน
บางครั้งอาจคลื่นไส้อาเจียน
เหงื่อออกร่วมด้วย
การรักษา
เลี่ยงการเดินทางโดยเรือ จำกัดความเค็ม การกินยาขยายหลอดเลือด ฮิสตามีน หลีกเสี่ยงชา คาเฟอีน บุหรี่ ความเครียด
ประสาทหูเสื่อมฉับพลันไม่ทราบสาเหตุ
สาเหตุ ไม่ทราบชัดเจน
ติดเชื้อไวรัส
การอุดตันของเลือดไปเลี้ยงที่หูชั้นใน
การรั่วของน้ำในหูชั้นในเข้าหูชั้นกลาง
สาเหตุทราบสาเหตุ
การบาดเจ็บที่ศีรษะอาจทำให้เกิดการรั่วของน้ำในหูชั้นใน
อาการและอาการแสดง
หูอื้อ ได้ยินลดลงในหูข้างใดข้างหนึ่ง
การรักษา
กรณีที่ทราบสาเหตุ
รักษาตามสาเหตุ ส่วนใหญ่ไม่สามารถรักษาประสาทหูที่เสื่อมให้คืนกลับมาได้
กรณีไม่ทราบสาเหตุ
มักมีอาการหายได้เองสูง ส่วนใหญ่มุ่งรักษาเพื่อรักษาอาการอักเสบของประสาทหู
หูตึงเหตุจากสูงอายุ
สาเหตุ
อายุที่เพิ่มมากขึ้น การใช้ยา การได้รับเสียงดัง การสูบบุหรี่
อาการและและอาการเสดง
การได้ยินลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป เท่า ๆ กันทั้งสองข้าง อาจมีเสียงดังในหูร่วมด้วย
การรักษา
ใช้เครื่องช่วยฟังเป็นหลัก การจำกัดแคลอรี่
ช่วยลดปริมาณไขมันในร่างกาย
การสูญเสียการได้ยิน (Hearing loss)
ประเภท
การสูญเสียการได้ยินแบบการนำเสียงทางอากาศบกพร่อง (Conductive Hearing Loss; CHL)
เกิดจากความผิดปกติของหูชั้นนอก เยื่อแก้วหู และหูชั้นกลาง
การสูญเสียการได้ยินแบบประสาทหูเสื่อม(Sensorineural Hearing Loss; SNHL)
เกิดจากความผิดปกติในอวัยวะรูปหอยโข่งในหูชั้นใน outet hair cell หรือความผิดปกติที่เส้นประสาทการได้ยิน
การรับฟังเสียงบกพร่องแบบผสม (Mixed Hearing Loss)
ระบบการนำเสียงร่วมกับประสาทรับฟังเสียงบกพร่อง พบได้ในโรคที่มีความผิดปกติของหูชั้นกลางและหูชั้นในร่วมกัน
ความบกพร่องที่สมองส่วนกลาง (Central Hearing Loss)
ความผิดปกติของสมองโดยเฉพาะ ทำให้ผู้ป่วยได้ยินแต่ไม่สามารถแปลความหมายของสัญญาณนั้นได้
สาเหตุ
การนำเสียงทางอากาศบกพร่อง (Conductive Hearing Loss; CHL)
ประสาทหูเสื่อมที่เกิดภายหลัง (Acquired Sensorineural Hearing Loss)
ประสาทหูเสื่อมที่เป็นตั้งแต่กำเนิด(Congnital Sensorineural Hearing Loss)
ภาวะที่มีความบกพร่องในกลไกของการได้ยิน ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการฟัง หูอื้อ ได้ยินไม่ชัด หรือมีเสียงดังในหู พบได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยชรา
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการVertigo
ให้คำแนะนำเรื่องการเคลื่อนไหว เคลื่อนไหวช้าๆดูแลการพยุง ขณะเวียนศีรษะควรนอนพักนิ่งๆ Absolute bed
แนะนำความรู้ เรื่องโรค การรักษาให้ดำเนินชีวิตได้ รวมถึงให้กำลังใจ
ประเมินเรื่องจำเป็นเพื่อจัดกิกรมได้เหมาะสม และปฏิบัติการพยาบาลบางอย่าง
จัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะได้พักผ่อน
แนะนำเรื่องการออกกำลังกาย แต่ไม่ควรทำงานหนักเกินและไม่ไปที่อันตราย เช่น ขึ้นเขา ดำน้ำ
การดูแลผู้ป่วยก่อน-หลังผ่าตัดMASTOID
นอนราบตะแคงข้างที่ไม่ผ่า
ติดตามประเมินภาวะปากเบี้ยว ตาปิดไม่สนิท หน้าชา
ห้ามออกแรงยกของหนัก นาน2สัปดาห์
ถ้าไม่อาเจียนเริ่มทานอาหารอ่อนได้ เคี้ยวด้านตรงข้ามที่ผ่าตัด
ถ้าเวียนศีรษะให้นอนพัก ระวังอุบัติเหตุ
ตัวกดห้ามเลือด จะนำออกหลังผ่าตัด 24-48ชม.
คำแนะนำการผ่าตัดหูชั้นกลางและMASTOID
ห้ามทำงานใช้แรงยกของหนัก
ห้ามสั่งน้ำมูก ไอจามควรเปิดปากทุกครั้ง
หลังผ่าตัด2สัปดาห์ดูแลอยให้น้ำเข้าหู
ตา
การตรวจตา เทคนิคดูและคลำ
ลูกตา
การคลำลูกตาเพื่อประเมินความนุ่ม หากสัมผัสแล้วแข็ง
บ่งบอกภาวะความดันในลูกตาสูง
หนังตา
ดูการบวม ซ้ำเป็นก้อนเป็นหนองหรือไม่สังเกตการดึงรั้งของหนังตา เปลือกตาตกหรือไม่ ถ้าพบแสดงว่ามีปัญหาจากกล้ามเนื้อลูกตาเสีย
ขนตา
สังเกตว่ามีม้วนเข้าข้างในหรือไม่ ขนตามัวนเข้า (entopion) ขนตาปลื้นออก (ectropion)
รูม่านตาและม่านตา
ใช้ไฟฉายส่องตรงกลางสังเกตว่ารูม่านตาเป็นวงกลมหรือไม่ แก้วตาให้มองผ่านรูม่านตา ถ้าปกติจะเห็นเป็นสีดำและใส ถ้ารูม่านตาเป็นลักษณะขุ่นจะเป็นต้อ
ต้อหิน (glaucoma)
มีความดันในลูกตา(OP) มีซ้ำตาผิดปกติและสูญเสียลานสายตา (visual field) ร่วม
สาเหตุ
การคั่งของน้ำเอเควียสจากมีโครงสร้างตาผิดปกติ
ความผิดปกติของ trabecular meshwork ตั้งแต่กำเนิด
มีความเสื่อมของเนื้อเยื่อภายในลูกตา
ใช้ยาที่มีสารฮอรโมนพวกคอร์ติโคสเตียรอยด์ติดต่อเป็นเวลานาน
มีต้อกระจกสุกหรือต้อกระจกสุกงอม
เนื้องอกในลูกตา
อุบัติเหตุในตา
ชนิด
ต้อหินปฐมภูมิ
ชนิดมุมปิด
การตีบแคบของ trabecular meshwork ที่เป็นทางระบายน้ำเลี้ยง ทำให้การระบายน้ำเลี้ยงในลูกตาลดลงทำให้มีแรงกดภายในลูกตา โดยเฉพาะoptic disc จอประสาทตาขาดเลือด สูญเสียการมองเห็น ปวดตามาก
ชนิดมุมเปิด
เกิดความผิดปกติของทางเดินน้ำเลี้ยงภายในลูกตา เช่น การตีบแคบของท่อตะแกรงที่เป็นทางระบายน้ำเลี้ยงภายในลูกตา (trabecular meshwork) จึงสูญเสียลานสายตาทีละน้อย จนกระทั้งเสียความสามารถในการมองเห็น
ต้อหินทุติยภูมิ
เกิดขึ้นเนื่องจากมีความผิดปกติภายในลูกตาหรืออาจเกิดจากมีโรคทางกายทีทำให้การไหลของเอเควียสลดลง
ต้อหินตั้งแต่กำเนิด
มี development anormalies โดยชนิดการเกิดต้อนั้นอาจเป็นแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง
อาการและอาการแสดง
ระยะเฉียบพลัน
ปวดศีรษะมาก ตาสู้แสงไม่ได้ ตามัวลงคล้ายหมอกมาบัง บางคนมองเห็นแสงสีรุ้งรอบ ๆ ดวงไฟ เนื่องจากมีน้ำเข้าแทรกอยู่ในกระจกตา
ระยะเรื้อรัง
ความดันของลูกตาสูงเล็กน้อย บางคนรู้สึกมึนศีรษะ ตาพร่ามัว เพลียตา ไม่มีปวด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของลานสายตา ลานสายตาจะค่อย ๆ แคบลง
การรักษา
ระยะเฉียบพลัน
ลดความดันในลูกตาให้ลงสู่ระดับปกติ แพทย์มักให้ยาหยอดตา และยารับประทานทางปากหรือยาฉีด จนความดันลดลงสู่อาการปกติ การเห็นดีขึ้นจึงนัดผ่าตัดตามมา
ระยะเรื้อรัง
แพทย์ให้ยาหยอดตาและยารับประทาน พื่อเพิ่มการไหลออกหรือลดการผลิตน้ำเอเควียส ควบคุมความดันลูกตาให้อยู่ในระดับปกติพร้อมนัดมาตรวจเป็นระยะ ๆ
การพยาบาล
อธิบายให้เข้าใจเกี่ยวกับโรคและการรักษา
เตรียมตัวก่อนการยิงเลชอร์ เวลายิงจะไม่รู้สึกเจ็บภายใน 24 ชั่วโมงแรก หลังยิงเลเชอร์อาจมีอาการปวดศีรษะหรือตามัวลงเล็กน้อย
หากมีอาการ ตาแดง น้ำตาไหล ปวดตามาก ตามัวลง หรือตาสู้แสงไม่ได้ให้มาตรวจก่อนวันนัด
สอนวิธีการหยอดตาอย่างมีประสิทธิภาพ
แนะนำให้ใส่แว่น หลีกเสี่ยงการขยี้ตา หลังทำเลเซอร์
ต้อกระจก (Cataract)
Lensขุ่น จกการเปลี่ยนแปลงโปรตีนในแก้วตา จากที่มีลักษณะโปร่งใสเหมือนกระจกในภาวะปกติเป็นทึบแสง ไม่ยอมให้แสงผ่าน ทำให้เกิดอาการตามัว มองเห็นภาพไม่ชัดเจน
สาเหตุ
เสื่อมตามวัย
ต้อกระจกที่ยังไม่สุก
ตาขุ่นไม่มาก เริ่มขุนcortex ล้กษณะที่สอง คือ ทึบตรงส่วนกลางแก้วตา แต่ส่วนรอบ ๆ ยังใส
ต้อกระจกที่สุกแล้ว
ตาขุ่นทั้งหมดแก้วตาขุ่นและมีความแข็งตัวในขนาดที่พอดี เห็นเพียงแสงไฟและบอกทิศทางได้ ระยะนี้หมาะสมกับการผ่าตัดมากที่สุด
ต้อกระจกที่สุกเกินไป
ขนาดเลนส์เล็กลงและมีเปลือกหุ้มเลนส์ที่ย่น เกิดจากน้ำซึมออกนอกเชลล์เลนส์แข็งมากขึ้น หากปล่อยทิ้งไว้ตาจะบอดได้ ระยะนี้หาผ่าตัดค่อนข้างยาก
โดยกำเนิด
กรรมพันธ์ุ
อื่นๆ
โดนกระทบกระเทือนอย่างแรงที่ลูกตา ของมีคมทิ่มแทงทะลุตาโดนเลนส์ตา ต้อหิน โรคเบาหวาน ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ พาราไทรอยด์ พิษสารเคมื
อาการและอาการแสดง
ตามัว ในที่สว่าง ในที่มืดจะเห็นชัด
เห็นภาพซ้อน แก้วตาขุ่นการหักเหแสงเปลี่ยนไป
ความสามารถในการมองเห็นลดลง
มองผ่านรูม่านตา (pupil) จะเห็นแก้วตาขุ่นเมื่อส่องดูด้วยไฟฉาย
การรักษา
การผ่าตัดเอา แก้วตา ที่ขุ่นออก ซึ่งเรียกว่า ลอกต้อกระจก
ชนิดการผ่าตัด
IICE
การผ่าตัดนำแก้วตาที่ขุ่นพร้อมทั้งเปลือกหุ้มเข้าตาทั้งหมดในเวลาเดียวกัน
ECCE
การผ่าตัดเอาแก้วตาที่ขุ่นออกพร้อมทั้งเปลือกหุ้มเข้าตาด้านหน้า โดยเหลือเปลือกหุ้มแก้วตาด้านหลัง
PE C IOL
เป็นการผ่าตัดต้อกระจกโดยใช้คลื่นเสียงหรืออัลตราชาวด์ที่มีความถี่สูงเข้าไปสลายเนื้อแก้วตาแล้วดูดออกมาทิ้ง และจึงนำแก้วตาเทียมใส่เข้าไปแทน
การพยาบาล
จัดท่านอนให้ผู้ป่วยไม่นอนทับบริเวณตาที่ได้รับการผ่าตัด
เลี่ยงการไอจามแรง ๆ การก้มศีรษะต่ำกว่าระดับเอว
ระมัดระวังการกระทบกระเทือนบริเวณดวงตาและศีรษะ
รับประทานอาหารอ่อนงดอาหารแข็งเหนียวที่ต้องออกแรงเคี้ยวจนกว่าแผลจะหายประมาณ 2 สัปดาห์
ห้ามเบ่งถ่ายอุจจาระ
การพยาบาลเมื่อกลับบ้าน
ระวังอย่าให้น้ำกระเต็นเข้าตา
ค่อย ๆ แปรงฟันไม่สั่นศีรษะไปมา
หลีกเลี่ยงอาหารแข็งเหนียวที่ต้องออกแรงเคี้ยวมาก ไม่ควรท้องผูก
หลีกเลี่ยงยกของหนักมากกว่า 5 kg
ไม่ควรใช้สายตานานเกิน 1 ชั่วโมง
เน้นกลางคืนปิดฝาครอบตา กลางวันใส่แว่นตาสีชาหรือสีดำ
จอประสาทตาลอก (Retinal Detachment)
ภาวะที่เกิดการแยกหรือลอกตัวของชั้นจอประสาทตาด้านใน (neurosensory retina) ออกจากชั้นของจอประสาทตาด้านนอก (retinal pigment epithelium)
สาเหตุ
การผ่าตัดเอาแก้วตาออกชนิด intracapsular cataract extraction ได้ถึงร้อยละ 10-20
การได้รับอุบัติหตุถูกกระทบกระเทือนบริเวณที่ตา หรือของแหลมที่แทงเข้าตาถึงชั้นของจอประสาทตา
vitreous เสื่อม
ชนิด
ชนิดที่เกิดจากรูหรือรอยฉีกขาดทีจอประสาทตา (Rhegmatogenous retinal detachment)
ชนิดที่เกิดจากการดึงรั้ง (Tractional retinaldetachment)
ชนิดไม่มีรูขาดทีจอประสาทตา (Non-rhegmatogenous retinal detachment or exudative retinal detachment)
อาการและอาการแสดง
มองเห็นแสงจุดดำหรือเส้นลอยไปลอยมา (foater)
มองเห็นแสงวูบวาบคล้ายฟ้าแลบ (flashes of light)
การรักษา
การฉีดก๊าชเข้าไปในตา (Pneumatic retinopexy)
ฉีดก๊าชเข้าไปในช่องน้ำวุ้นลูกตาเพื่อดันให้จอประสาทตาที่หลุดลอกกลับเข้าไปติดที่เดิม
การผ่าตัดหนุนจอประสาทตา (Scleral buckling)
ใช้วัสดุหรือยางเพื่อหนุนตาขาวให้เข้าไปติดจอประสาทตาที่หลุดลอก
Cryocoagulation (การจี้ด้วยความเย็น)
จี้รอบ ๆ รูหรือรอยฉีกขาดของจอประสาทตา เพื่อช่วยยืดให้จอประสาทตากลับเข้าที่ ซึ่งวิธีการชนิดนี้จะหาเมื่อจอประสาทตาฉีกขาดเป็นรู
การผ่าตัดน้ำวุ้นลูกตา (Pars plana vitrectomy)
การตัดน้ำวุ้นลูกตาที่ดึงรั้งจอประสาทตาให้ฉีกขาดออก
การพยาบาล
ก่อนผ่าตัด
ดูแลให้ผู้ป่วย Absolute bed rest
แนะนำผู้ป่วยหลีกเลี่ยงขยี้ตา ส่ายศีรษะและใบหน้าแรง การอาเจียน
แนะนำผู้ป่วยห้ามก้มหน้า
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรค แผนการรักษา การผ่าตัด
ให้ผู้ป่วยทราบเพื่อลดความวิตกกังวล
หลังผ่าตัด
ดูแลให้ได้รับการวัดความดันลูกตาจากแพทย์หลังผ่าตัดประมาณ 4-6 ชั่วโมง
ประเมินอาการเริ่มต้นของภาวะความดันลูกตาสูง ได้แก่ มีอาการปวดและรับประทานยาแล้วไม่ทุเลาลง
ดูแลให้นอนคว่ำหน้าหรือนั่งคว่ำหน้าให้ได้อย่างน้อยวันละ 16 ชั่วโมง
ควรให้การสนับสนุนด้านกำลังใจและให้ข้อมูลกี่ยวกับแผนการรักษาเป็นระยะ
ดูแลให้รับประทานอาหารอ่อน ประเมินอาการท้องผูก
เมื่อกลับบ้าน
ควรทำความสะอาดใบหนโดยใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาด ๆ เช็ดหน้าเบา ๆ เฉพาะข้างที่ไม่ได้ผ่าตัด
หลังการผ่าตัด 2 เตือนแรก ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หักโหม
เบาหวานขึ้นจอตา
(Diabetic Retinopathy: DR)
ปัจจัย
ความยาวนานของการเป็นโรคเบาหวาน
การควบคุมระดับน้ำตาล
การมีความผิดปกติที่ไตจากเบาหวาน
ความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง
การตั้งครรภ์
อาการและอาการแสดง
เบาหวานระยะแรก (NPDR)
เบาหวานระยะรุนแรง (PDR)
การรักษา
การรักษาด้วยการยิงเลเซอร์
การฉีดยาเข้าในน้ำวุ้นตา
การผ่าตัดน้ำวุ้นตา
การพยาบาล
แนะนำให้ผู้ป่วยควบคุมระดับน้ำตาลให้คงที่
ดูแลแนะนำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานได้รับการตรวจจอประสาทตาอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
ออกกำลังกาย รับประทานยาหรือฉีดยาลดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ
Hyphema
มีการฉีกขาดของเส้นเลือดบริเวณม่านตา ทำให้มีเลือดออกในช่องหน้าม่านตา (anterior chamber)
ภาวะแทรกซ้อน
Increase intraocular pressure
Blood stain cornea
Rebleeding
การรักษา
Absolute bed rest โดยให้นอนศีรษะสูงประมาณ 30-45 องศา
ปิดตาทั้งสองข้างเพื่อให้ได้พักผ่อนลดโอกาสการเกิด rebleeding
รับยา สเตียรอยด์ หยอดเพื่อช่วยป้องกันการเกิด rebleeding
ดูแลให้ได้รับยแก้ปวด paracetamol และ diazepamแต่หากเลือดไม่ถูกดูดซึมไปในเวลาอันควรหรือมีอาการของ Blood stain cornea
ควรรีบหาผ่าตัด paracentesisเมื่อครบ 5-7 วันก็สามารถให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้
การพยาบาล
แนะนำให้ผู้ป่วยนอนนิ่งๆ ไม่ควรลุกจากเตียงประมาณ 3 - 5 วัน
ปิดตาทั้ง 2 ข้างที่มีเลือดออกด้วยผ้าปิดตา (eye pad) และที่ครอบตา (eye shield) ไขห้วเตียงสูง 30-45 องศา
เช็ดตาให้ผู้ป่วยทุกวันในตอนเช้าพร้อมทั้งประเมินว่ามีภาวะเลือดออก
ถ้าผู้ป่วยปวดตาต้องติดตามประเมินอาการปวดตาของผู้ป่วยภายหลังรับประทานยาแก้ปวดแล้ว 30 นาที ถ้าไม่ทุเลาให้รีบรายงานแพทย์
Eye injury
อันตรายจากสารเคมี (chemical injury) สารด่าง สารกรด
อาการ
การมองเห็นจะลดลงถ้าสารเคมีเข้าตาจำนวนมาก
ปวดแสบปวดร้อนระคายเคืองตามาก
สายตาสู้แสงไม่ได้ ทำให้ผู้ป่วยพยายามจะหลับตาตลอดเวลา (blepharospasm)
การรักษา
ถึงรพ.ลางตกันทีโดยอาจต้องมีการถ่างขยายเปลือกตาแล้วหยอดยาชาก่อนเพื่อให้สามารถล้างตาได้สะดวกขึ้นจนกระทั่งความเป็นกรดด่างในตาหมดไป
หากเกิดภาวะ corneal abrasion อาจได้รับการป้ายยา terramycin ointment และปิดตาแน่น (pressure patch) ไว้ 24 ชั่วโมงและนัดมาประเมินช้าอีกครั้ง
ล้างตาด้วยน้ำสะอาดปริมาณมากอาจมากกว่า 5 ลิตร ตั้งแต่สัมผัสสารเคมีโดยมิต้องรอจนกระทั่งมาถึงโรงพยาบาล
การรักษาด้วยการใช้ยาขึ้นกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น
การผ่าตัด ประกอบด้วยการขูดเชลล์กระกตาที่ตายแล้วออก และอาจมีการปลูกถ่ายเยื่อหุ้มรกเพื่อปิดเผล หรือลดการเกิดแผลเป็นบริเวณยื่อบุตา การปะกระจกตาที่ทะลุ หรือการเปลี่ยนกระจกตา ซึ่งการผ่ตัดชนิดใดขึ้นกับความรุนแรงจากการโดนสารเคมี
การพยาบาล
ล้างตาให้ผู้ป่วยโดยเร็วที่สุด โดยใช้ Normal saline หรือ sterile water โดยใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาที
ดูแลบรรเทาอาการปวดกรณีที่ผู้ป่วยมีอคารปวดตามาก และดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาครบตามแผนการรักษา
แผลที่กระจกตา
(Corneal ulcer)
สาเหตุ
อุบัติเหตุ (trauma)
มีความผิดปกติของกระจกตา ได้แก่ โรคขาดวิตามินเอ (vitamin Adeficiency) การแพ้ยา (Stevens Johnson)
ตาปิดไม่สนิทขณะหลับ (Lagophthamos) เนื่องจากเป็นอัมพาตใบหน้าครึ่งซีก (facial palsy)
กระจกตามีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคต่ำ
ความผิดปกติบริเวณหนังตา
โรคทางกายที่ทำให้ภูมิคุ้มกันทั้งร่างกายบกพร่องลง
การใส่เลนส์สัมผัส (Contact lens)
อาการและอาการแสดง
ตาแดงแบบใกล้ตาดำ (ciliary injection)
กลัวแสง (photophobia)
อาการปวดตา (pain)
เคืองตา (foreign body sensation)
น้าตาไหล (lacrimation)
ตาพร่ามัว (blur vision)
กระจกตาขุ่น (hazy cornea)
อาจพบหนองในช่องหน้าม่านตา
การรักษา
กำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดแผลบริวณกระจกตาที่เป็นสาเหตุอื่น
ส่งเสริมให้เกิดการแข็งแรงของร่างกาย เช่น ให้รับประทานวิตามินชี รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เป็นต้น
หาเชื้อโรคทีทำให้เกิดการติด ได้แก่ การขูดเนื้อเยื่อของแผลไปย้อมและเพาะเชื้อ (scrape lesion)
บรรเทาอาการปวดโดยให้รับประทานยาแก้ปวด paracetam!หากมีอาการปวดมากพิจารณาให้ยาบรรเทาปวดกลุ่ม NSAID ในรายที่มีภาวะciliary spasm อาจได้รับยา Atropine eye drop
การพยาบาล
แยกเตียง ของใช้ และยาหยอดตาของผู้ป่วยใช้เป็นส่วนตัว เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู้ผู้อื่น
หยอดตาตามแผนการรักษาอย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกอาจต้องหยอดทุก 30 นาที
แนะนำผู้ป่วยห้ามขยี้ตา อย่าให้น้ำเข้าตา นอนตะแคงข้างที่มีพยาธิสภาพเพื่อป้องกันการติดเชื้อสู่ตาข้างที่ไม่มีพยาธิสภาพ
ให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนและได้รับอาหารที่เพียงพอ
ตรวจเยี่ยมผู้ป่วยสเสมอ เพื่อป้องกันภาวะพรากความรู้สึก (sensory deprivation) ในผู้ป้วยที่เหลือตาข้างเดียว
เช็ดตาวันละ 1-2 ครั้ง โดยครอบเฉพาะพลาสติกครอบตา (Eyeshield) ไม่ต้องปิดผ้าปิดตา (Eye pad)
จมูก
sinusitis
สาเหตุ
สุขภาพทั่วไปของผู้ป่วย
ภูมิต้านทานต่ำ เป็นโรคเลือด เบาหวาน การเปลี่ยนแปลงของอากาศอย่างกะทันหัน
สภาพของจมูก
เช่น การอักเสบในจมูก เนื้องอกในจมูก แผ่นกั้นช่องจมูกคด
สาเหตุโดยตรง
โรคที่มีอาการนำทางจมูก ฟันผู้และกรถอนฟ้น การสั่งน้ำมูกแรง ๆ จามรุนแรงการดำน้ำ
อาการ
คัดจมูก
ปวดกดเจ็บบริเวณโพรงอากาศข้างจมูกดัดจมูก
มีของเหลวเป็นหนองไหลออกจากช่องจมูก
การรักษา
ส่วนมากเป็นการรักษาด้วยยรับประทาน ไม่นิยมให้ยาหยอดจมูก
ผู้ป่วยที่ปฏิบัติตนตามที่แพทย์แนะนำและรับประทานยาสม่ำเสมอ มักหายได้ง่าย
ในระยะนี้ยาที่ใช้ส่วนใหญ่ คือยปฏิชีวนะและยาที่รักษาตามอาการ
การพยาบาลหลังผ่าตัด
จัดท่านอนในทำศีรษะสูง 40 -45 องศาเพื่อลดอาการบวมบริเวณจมูกและให้หายใจได้สะดวก
ประคบจมูกด้วยความเย็นเพื่อบรรเทาอาการปวด (ใน 48
ชั่วโมงแรกไม่ควรประคบร้อนเพราะจะกระตุ้นให้มีเสือดออก)
เลี่ยงการออกกำลังกาย การยกของ หรือทำงานหนัก ภายใน 10 -14 วันแรกหลังผ่าตัด
ป้องกันการติดเชื้อควรกระตุ้นให้ผู้ป่วยดูแลทำความสะอาดช่องปากโดยบ้วนปากด้วยNSS บ่อย ๆ ควรเลี่ยงการแปรงฟันบริเวณแผล
ไม่ควรไอจามแรงๆถ้าจะจาให้ทำแบบเปิดปากด้วยเพื่อลดแรงดันที่จะเข้าสู่โพรงอากาศข้างจมูก ซึ่งทำให้แผลผ่าตัดในช่องปากแยกได้
ข้อวินิจฉัยผู้ป่วยที่ผ่าตัดในจมูก
เสี่ยงต่อภาวะพร่องของสารน้ำและสารอาหารเนื่องจากความไม่สมดุลของสารน้ำร่างกายและการเสียเลือดออกทางช่องจมูก
เกิดภาวะการหายไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากมีภาวะช่องจมูกบวมหรืออุดตัน
เกิดความเจ็บปวดในการผ่าตัดช่องจมูก
เสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อจากมีของเหลวคั่งค้างในจมูก
การเปลี่ยนแปลงของการรับรู้ต่างๆ เช่น การมองเห็นเปลี่ยนไปเนื่องจากอันตรายจากการกระทบกระเทือนต่อระบบต่าง ๆในการผ่าตัดบริเวณจมูก
ริดสีดวงจมูก (Nasal polyp)
สาเหตุ
จากหวัดเรื้อรัง หรือการติดเชื้อเยื่อจมูก
อาการ
ตรวจพบ
ติ่งเนื้อเมือกสีใสอุดกั้นในรูจมูก
คันจมูก หายใจไม่สะดวก เสียงขึ้นจมูก บางครั้งอาจรับกลิ่นไม่ได้
อาจมีน้ำมูกเป็นหนอง ถ้าติ่งอุดคั้นไชนัสจะปวดที่หัวคิ้วหรือโหนกแก้ม
อาการแทรกซ้อน
ไซนัสอักเสบ
การรักษา
กำจัดริดสีดวงจมูกออก
Medical Polypectom
ใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ พ่นจมูกเพื่อทำให้ยุบตัวลง
Surgical Polypectomy
Nasal polyp ผ่าตัด Polypectomy โดยใช้ Snaring (คือการใช้ลวดคล้องและดึงออก) หรือทำ ESS
Antrochonal poly ทำผ่าตัด Caldwell - luc operation
รักษาโรคที่เกิดร่วมและป้องกันการเกิดซ้ำ
หาสาเหตุของริดสีดวงจมูก ป้องกันการรักษาช้ำๆ
แนะนำการทำความสะอาดโพรงจมูกด้วยNSS
และมาพบแพทย์เพื่อไห้แพทย์ล้างโพรงมูกทุกสัปดาห์เพื่อให้โพรงจมูกทำงานได้ดีขึ้น
ให้ยาเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ ส่วนมากให้prednisolone นาน 5 -7วัน โดยให้หลังผ่าตัดแล้ว 1 - 2 สัปดาห์ร่วมกับให้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกด้วยไปนานถึง 3 เดือน
เลือดกำเดา (Epistaxis)
สาเหตุ
ภาวะที่มีเลือดออกทางจมูก จากการฉีกขาดของหลอดเลือดเยื่อบุจมูก การมีสิ่งแปลกปลอมเข้าและความผิดปกติการแข็งตัวของเลือด รวมถึงการติดเชื้อ เนื้องอก
อาการและอาการแสดง
เลือดออกจากผนังกั้นจมูกส่วนหน(Anterior epistaxis) พบในเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ที่อายุยังน้อยที่มีประวัติการแคะจมูกหรือเยื่อบุจมูกอักเสบ
เลือดออกจากผนังกั้นจมูกส่วนหลัง (Posterior epistaxis) พบได้ในผู้ป่วยสูงอายุที่มีโรคความดันโลหิตสูงหรือมีภวะหลอดเลือดแดงแข็ง
การรักษา
เลือดออกจากผนังกั้นส่วนหน้า
(Anterior epistaxis)
ใช้สารเคมี/ไฟฟ้า
จี้สกัดจุดที่เลือดออก
ใช้ Anterior nasal packing
ใส่ผ้ากอชยาปฏิชีนะและสารGel foarm เพื่ออุดตำแหน่งเลือดออก
เลือดออกจากผนังกั้นส่วนหลัง
(Posterior epistaxis)
posterior nasal packing
ใช้กอชอุดช่องคนหลังโพรงจมูก หรือballoonหรือFoley's
Arterial ligation
การผูกหลอดเลือดแดงเพื่อควบคุมภาวะเลือดออก
Arterial Embolization
Laser Photocoagulation
Skin graft to nasal septum and Lateral nasal wall
การพยาบาลหลังการรักษา
แนะนำให้อ้าปากเวลาไอจาม
ห้ามสั่งน้ำมูกหรือแกะสะเก็ดแผล
ประคบเย็น และให้ยาแก้ปวดร่วมกับจัดท่านอนศีรษะสูง 45 - 60 องศา เพื่อลดอาการบวม
ประเมินเลือดออกโดยสังเกตผ้ากอช แต่ห้ามดึงผ้ากอซออกเอง
อธิบายให้ทราบว่า อาจมีอาการหูอื้อได้ แต่จะหายเมื่อนำตัวกดห้ามเลือดออก
หลังการนำเอาตัวกดเลือดออก ควรนอนพักนิ่ง ๆก่อน 2 - 3 ชม. ห้ามยกของหนัก4-6สัปดาห์
ช่องปากและลำคอ
Tonsillitis +
Adenoiditis
สาเหตุ
Beta - hemolytic streptococci or Staphylococi
พบได้มากถึง30% และเป็นพวกแบคทีเรียตัวอื่น รวมทั้งไวรัสด้วย
อักเสบเรื้อรังจากโรคอื่นๆมาก่อนและเชื้อStreptococci group A ในอดีนอยด์
อาการและอาการแสดง
ช่องหูชั้นกลางอักเสบ ((Otitis Media)
ผลมาจากการที่ท่อยูสเตเชียนเกิดการบวมและอุดตัน ทำให้เกิดมีหนองคั่งค้างในหูชั้นกลาง
การพูดเสียงขึ้นจมูก (Hyponasal)
เกิดจากภาวการณ์อุตันในช่องจมูกและการหายใจทางปากแทนภาวะปกติ
อาการหายใจทางปาก
เสียงดัง บางครั้งมีอคารนอนกรน เป็นผลมาจากภาวะที่ต่อมอีนอยด์ บวมโตไปขวางการหายใจ
การผ่าตัด
รักษาด้วยยาแล้วไม่ได้ผล
มีการกลับเป็นซ้ำของภาวะทอลซิลอักเสบประมาณ 4 - 5 ครั้งปื
มีการเกิดฝีรอบทอนซิลและรักษาจนหายอักเสบแล้วอย่างน้อย 6 สัปดาห์จะต้องทำเพื่อรักษาโรคนี้ให้หายขาด
มีอาการกลืนลำบากมาก
มีภาวะบวมโตของต่อมทั้ง 2 นี้จนขัดขวางการหายใจ
มือคารอื่น ๆร่วมด้วยภายหลังต่อมนี้บวมโต เช่น
มีอาการอักเสบของช่องหูชั้นกลาง
สูญเสียการได้ยิน และไข้รูมาติค
การพยาบาลหลังผ่าตัด
แนะนำให้รับประทานของเย็น เช่น ไอศกรีม น้ำเย็นหรือ การเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อช่วยลดอาการบวมในลำคอ
ควรหลีกเลี่ยงอาหารหลังผ่าตัด ควรไม่มีรสเปรี้ยวเผ็ดหรือร้อน
อธิบายหลังผ่าตัดอาจมีอคารเจ็บคอ คอแข็ง อาเจียนภายใน 24 ชม.
แรกรวมถึงมีอาการเจ็บคอ ปวดหู นาน 7 - 10 วันหลังผ่าตัด
แนะนำงดการใช้เสียงการทำงานหรือกิจกรรมใด ๆ ที่ต้องออกแรงมาก ๆ อย่างน้อย 7 วันเพื่อรอแผลหาย
หลีกเลี่ยงแหล่งชุมชนในช่วง 7 วันแรกหลังผ่าตัดป้องกันการรับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
ข้อวินิจฉัยผู้ป่วยที่ผ่าตัดทอนซิลและอีนอยด์
ปวดแผลบริเวณที่ทำการผ่าตัด
เกิดภาวะพร่องสารน้ำและสารอาหารในร่างกายจากการได้รับอาหารและน้ำในปริมาณไม่เพียงพอ เพราะเจ็บคอเวลากลืน
เสี่ยงต่อภาวะเสียเลือดเนื่องจากมีแผลปิดในคอหรือทางเดินหายใจไม่โล่งจกการสำลักเลือดหรือสิ่งคัดหลั่งอื่นลงไป
เสี่ยงภาวะการอักเสบติดเชื้อของแผลในลำคอเนื่องจากขาดความรู้การดูแลแผล
เสี่ยงต่ออันตรายจากภาวะแทรกช้อนภายหลังกลับบ้านเนื่องจากขาดความรู้ในการดูแลตนเอง
น.ส.วริษฐา โปรยทอง รุ่น 37
เลขที่ 75 รหัส 62111301078