Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 3 การช่วยเหลือดูเเลเบื้องต้นในผู้ใหญ่เเละผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพไ…
บทที่ 3 การช่วยเหลือดูเเลเบื้องต้นในผู้ใหญ่เเละผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพไม่รุนเเรงเเละไม่ซับซ้อน
ปัญหาสุขภาพของระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อยในผู้ใหญ่เเละผู้สูงอายุ
อาการปวดท้อง (Abdominal pain)
ปวดท้องเฉียบพลันคืออาการปวดท้องรุนเเรงระยะเวลาปวดสั้นภายใน 1-2 วันเเละไม่เกิน 7 วัน ตรวจอาการเปลี่ยนเเปลงที่สำคัญได้เเก่ซ็อก ท้องอืด เเละอาการเเสดงทางท้อง
ลักษณะการปวด
-อาการปวดเริ่มจากน้อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยช้าๆเเละทุเลาเองช้าๆ มักพบในโรค เเผลในกะเพาะอาหาร
-มีอาการปวดดป็นๆ หายๆ ที่ความปวดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปวดท้องเฉียบพลันหมายถึง
สาเหตุ
ม่ว่าจะเป็นอาการปวดท้องไม่รุนแรง ปวดท้องหนักรุนแรง ปวดบีบในท้อง
อาการปวดท้องลักษณะอื่นใดก็ตามล้วนแต่เกิดขึ้นได้จากสาเหตุที่หลากหลาย โดยสาเหตุของอาการปวดท้อง
อาการปวดท้องมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างช้าๆ อาการไม่ดีขึ้น
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด เช่น การตรวจจำนวนเม็ดเลือดขาวที่จะช่วยบ่งบอกถึงการอักเสบหรือติดเชื้อที่เกิดขึ้น หรือจำนวนเม็ดเลือดแดงที่ต่ำอาจแสดงถึงการมีเลือดออกในลำไส้
การตรวจเอกซเรย์ช่องท้อง หรืออาจเรียกว่าการตรวจระบบทางเดินปัสสาวะ (KUB) เนื่องจากการ
เอกซเรย์ชนิดนี้จะรวมถึงการเอกซเรย์ไต ท่อไต และกระเพาะปัสสาวะ อาการปวดท้องที่มีสาเหตุมาจากลำไส้อุดตันจะแสดงให้เห็นภาพภายใน
การตรวจอัลตราซาวด์ ใช้ในการวินิจฉัยอาการปวดท้องที่น่าจะมีสาเหตุมาจากนิ่วในถุงน้ำดี ถุงน้ำดีอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ หรือซีสต์รังไข่ที่เกิดแตกออก
กระบวนการส่องกล้อง
การส่องกล้องกระเพาะอาหาร จะนำมาใช้ในการตรวจโรคกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะอาหารอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร
การผ่าตัด บางครั้งการวินิจฉัยก็จำเป็นต้องทำโดยการผ่าตัดเพื่อตรวจดูช่องท้อง ซึ่งอาจเป็นการผ่าตัดผ่านกล้องหรือการผ่าตัดทางศัลยกรรมโดยทั่วไปก็ได้
การรักษาอาการปวดท้อง
ารรักษาเมื่อมีอาการปวดท้องนั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิด โดยมีวิธีตั้งแต่การใช้ยารักษา เช่น กรณีที่ปวดท้องจากอาการอักเสบทั้งหลาย โรคกรดไหลย้อน หรือโรคกระเพาะอาหาร การใช้ยาปฏิชีวนะหาก
หมั่นจิบน้ำหรือของเหลว อาจดื่มเกลือแร่เล็กน้อย ทั้งนี้ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องตรวจวัดน้ำตาลในเลือดบ่อย ๆ และปรับการใช้ยาเมื่อจำเป็น
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแข็ง ๆ ในช่วง 2-3 ชั่วโมงแรกที่ปวดท้อง
ข้อบ่งชี้ในการตรวจ
อาการปวดท้องส่วนบนที่สัมพันธ์กับอาการ
อาการกลืนลำบาก หรือกลืนเเล้วเจ็บ
อาการปวดท้องส่วนบนที่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม
อาการของโรคกรดในกะเพาะอาหารไหลย้อน
ผู้ป่วยที่มีเลือดออกจากทางเดินอาหารส่วนบน
ปัจจัยสนับสนุน
ระบบสมองส่วนกลางผิดปกติ
การบาดเจ็บทางจิตใจ
โรคระบบทางเดินอาหาร
ความเจ็บปวด
ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)
การรักษา
ผ่าตัด
หากผู้ป่วยมีไข้สูง อาเจียนอย่างรุนแรง เจ็บที่บริเวณแผลผ่าตัด หรือบริเวณแผลผ่าตัดมีลักษณะที่ผิดปกติ เช่น จับแผลแล้วรู้สึกร้อน แผลบวมแดง ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณของอาการติดเชื้อที่แผลผ่าตัด
ไส้ติ่งอักเสบสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดเท่านั้น เพราะจะช่วยรักษาอาการและช่วยกำจัดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะไส้ติ่งแตก โดยการผ่าตัดที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ การผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery) เพราะเป็นการผ่าตัดเล็กสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ทันที เหมาะกับกรณีไส้ติ่งที่อักเสบยังอยู่ในระยะไม่ร้ายแรงนัก
สาเหตุ
ศษอุจจาระขนาดเล็กที่ทำให้ไส้ติ่งเกิดการติดเชื้อและบวมขึ้น หรืออาจเป็นก้อนเนื้อมะเร็ง บางครั้งก็อาจเกิดจากการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบน ที่ส่งผลให้ต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกาย รวมทั้งต่อมน้ำเหลืองในไส้ติ่งเกิดการปฏิกิริยาตอบสนอง
ไส้ติ่งอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศ ทุกวัย แต่ส่วนใหญ่มักจะพบในกลุ่มคนอายุตั้งแต่ 10-30 ปี ทั้งนี้ อาจพบในกลุ่มเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี
การตรวจวินิจฉัย
การติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ
โรคลำไส้อักเสบโครห์น (Crohn's disease)
ปัญหาถุงน้ำดี
โรคกระเพาะอาหารอักเสบ
การติดเชื้อในลำไส้
ภาวะเเทรกซ้อน
โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ
เมื่อไส้ติ่งที่อักเสบแตก เชื้อโรคจะแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อที่อยู่ข้างเคียง และก่อให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อภายในช่องท้อง
ฝี
ในผู้ป่วยบางรายที่มีภาวะไส้ติ่งแตก อาจมีฝีเกิดขึ้นภายในช่องท้อง ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการต่อสู้เชื้อโรคของร่างกาย โดยแพทย์จะทำการรักษาด้วยการต่อท่อระบายหนองออกจากฝีในช่องท้อง ร่วมกับการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อลดการติดเชื้อ ซึ่งจะกินเวลาประมาณ 2 สัปดาห์
ภาวะแทรกซ้อนของไส้ติ่งอักเสบจะเกิดขึ้นหากไม่มีการรักษาอย่างทันท่วงทีจนทำให้เกิดภาวะไส้ติ่งแตก โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นอาการที่เกิดจากเชื้อโรคที่แพร่กระจายจากไส้ติ่งที่แตก
อาการ
คือการอักเสบของไส้ติ่งที่อยู่ระหว่างลำไส้เล็กส่วนปลายและลำไส้ใหญ่ส่วนต้น นับเป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและอันตราย เพราะถ้าหากไม่ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด ไส้ติ่งที่อักเสบจะแตก ทำให้เชื้อโรคที่อยู่ในไส้ติ่งแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย อาจเข้าสู่กระแสเลือดจนทำให้เป็นอันตรายต่อชีวิตได้
มีอาการปวดอย่างเฉียบพลัน ที่บริเวณรอบสะดือ ต่อมาย้ายไปปวดที่ท้องด้านล่างขวาเนื่องจากการอักเสบที่ลุกลามมากขึ้น
ริดสีดวงทวาร(hemorrhoid)
สาเหตุ
เนื่องจากโรคริดสีดวงทวารไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน แต่มีภาวะความดันในหลอดเลือดดำสูงทำให้เส้นเลือดเกิดการบวมนูนเนื่องจากสาเหตุต่างๆหลายอย่าง เช่น
การเบ่งอุจจาระเป็นเวลานาน
โรคท้องผูก ขับถ่ายลำบาก
ใช้ยาสวนอุจจาระหรือยาระบายบ่อย
ระยะ
ระยะที่ 2
หัวริดสีดวงทวารหนักจะโผล่ออกมาเวลาเบ่งถ่ายอุจจาระเเละจะหดเข้าไปเอง
ระยะที่ 3
จะมีหัวริดสีดวงทวารหนักโผล่ออกมาเวลาเบ่งถ่ายอุจจาระ ไอ จาม ยกของหนัหรือออกกำลังกาย
ระยะที่1ผู้ป่วยมักมีอาการเลือดสดๆ ออกมาภายหลังการถ่ายอุจจาระเเต่ไม่มีก้อนเนื้อ
ระยะที่ 4
มีหัวริดสีดวงโผล่ออกมาตลอดเวลา ไมสามารถดันกลับเข้ากลับมาได้
อาการ
มีความผิดปกติในช่องท้อง จนเกิดอาการเจ็บๆ คันๆ
ในระยะแรก อาจสังเกตว่ามีเลือดติดกระดาษชำระหลังอุจจาระ หรือเคลือบอุจจาระออกมา และจะเพิ่มเป็นอาการเจ็บปวดในระยะหลัง
เมื่อมีก้อนริดสีดวงโป่งพองโผล่ออกมาขณะอุจจาระ หรืออาจทำให้เกิดอาการเลือดออกขณะหรือหลังถ่ายอุจจาระได้ เนื่องจากการเสียดสีระหว่างอุจจาระกับเส้นเลือดที่โป่งพอง
อาจมีอาการเจ็บปวดและมีอาการอื่นเกิดร่วมด้วย เช่น เวียนหัว หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม
การรักษา
การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเพิ่มความดันของหลอดเลือดที่เป็นสาเหตุของโรคริดสีดวงทวาร
ระวังอย่าให้เกิดอาการท้องร่วง ท้องเดิน หรือท้องเสียบ่อย ๆ
ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่มและขับถ่ายออกได้ง่าย
การพยาบาล
ก่อนผ่าตัด
การให้ยาระบายหรือการสวนเพื่อส่งเสริมความสะอาดของลำไส้
หลังผ่าตัด
-ประเมินเลือกออกบริเวรผ่าตัด
-ส่งเสริมให้เกิดความสะดวกสุขสบาย
-ให้ยาเเก้ปวด Rx
-เเช่นํ้าอุ่นทุกครั้งหลังถ่ายอุจจาระ อย่างน้อย 2 สัปดาห์
กะเพาะอักเสบ (Gastritis)
รคที่เกิดจากมีการอักเสบ บวม แดง ของเยื่อเมือกบุภายในกระเพาะอาหาร เป็นโรคพบได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ และพบทั้งในผู้หญิงและในผู้ชายสามารถเกิดขึ้นได้แบบเฉียบพลันในเวลาอันรวดเร็ว เป็นระยะสั้นๆ
การประเมินสภาพ
จุกเเน่นลิ้นปี่ อึดอัดไม่สบาย
ค่า hct ,hb ลดลง
ประวัติเบื่ออาหาร คลืนไส้อาเจียน อาเจียนเป็นเลือด
สาเหตุ
โรคจากที่น้ำดีจากตับซึ่งปกติจะอยู่เฉพาะในลำไส้เล็ก ท้นเข้าสู่กระเพาะอาหาร น้ำดีจึงก่อให้เกิดการระคายเคืองและการอักเสบของเซลล์เยื่อเมือกบุกระเพาะอาหาร
ความเครียด เพราะจะกระตุ้นให้เซลล์กระเพาะอาหารหลั่งกรดเพิ่มขึ้น ซึ่งกรดจะก่อการระคายเคือง และ การอักเสบต่อเซลล์เยื่อเมือกบุกระเพาะอาหาร
ดื่มกรด หรือ ด่าง ซึ่งทั้งกรด และด่างจะก่อให้เกิดการระคายเคือง และการอักเสบของเซลล์เยื่อเมือกบุกระเพาะอาหาร
อุบัติเหตุร้ายแรงที่ส่งผลให้ร่างกายเกิดความเครียดสูง ซึ่งส่งผลให้กระเพาะอาหารสร้างกรดสูงขึ้นมาก
การพยาบาล
กินยาตามแพทย์แนะนำ ให้ถูกต้อง สม่ำเสมอ
รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อป้องกันการติดเชื้อต่างๆซ้ำหลัง จากรักษาโรคหายแล้ว
ควบคุมอาการคลืนไส้อาเจียน
กินอาหารอ่อนย่อยง่าย
กินอาหารตรงตามเวลาทุกมื้อ
อาการ
ปวดท้องตำแหน่งกระเพาะอาหาร (ใต้ลิ้นปี่) เป็นๆ หายๆ
ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอบ่อย แน่นอึดอัดท้องทั้งๆที่ไม่ได้กินอะไร หรือ กินเพียงเล็กน้อย (ธาตุพิการ/อาหารไม่ย่อย)
เมื่อเป็นมาก และมีเลือดออกจากเยื่อเมือกบุกระเพาะอาหาร จะมีถ่ายอุจจาระเป็นสีดำเหมือนยางมะตอย
อาจารย์ผู้สอน อาจารย์วรรณภา ประภาสอน
อาการท้องเสีย (Diarrhea)
สาเหตุ
กากใยทิ้งไว้ แต่เมื่อเกิดอาการท้องเสียขึ้น ทำให้ลำไส้ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
สารอาหารเหล่านั้นจึงไม่ถูกดูดซึมและถูกขับออกมาจากร่างกาย
ปกติลำไส้จะดูดซึมสารอาหารในรูปแบบของเหลวจากสิ่งที่รับประทานเข้าไปในร่างกาย
การถ่ายอุจจาระเหลวหรือถ่ายเป็นมูกเลือดนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ แบ่งออกเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง
ท้องเสียหมายถึง ลำไส้เคลื่อนไหวมากขึ้น ถ่ายอุจจาระเป็นนํ้า
การประเมินสภาพ
ปวดเกร็งท้อง ท้องอืด อุจจาระเป็นนํ้า
ลำไส้เคลื่อนไหวมากขึ้น
เบื่ออาหาร ปวดเบ่ง
การพยาบาล
หลีกเลี่ยงนมเเละผลิตภัณฑ์จากนม
ให้อาหารเหลว/ ที่มีโปรตีนสูง เเคลอรี่สูง
ควบคุมนํ้าเเละรับประทานอาหาร
เฝ้าระวังเเละรักษาสมดุลของสารนํ้า
ดูเเลให้ยาตามเเผนการรักษา
ท้องผูก (Constipation)
การประเมินสภาพ
เจ็บปวดขณะอุจจาระ ผายลมมากขึ้น
อุุจจาระเเข็ง
ความรูู้สึกเเน่นท้อง ท้องอืด รู้สึกมีเเรงกดดัน rectum
สาเหตุ
เกิดการตกค้างในลำไส้ใหญ่เป็นเวลานานจนมีการดูดน้ำในอุจจาระกลับ อุจจาระจึงมีลักษณะแห้ง แข็ง
มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ถ่ายออกได้ลำบาก ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการท้องผูก
ท้องผูกเป็นอาการที่มักเกิดขึ้นได้บ่อยเมื่อลำไส้มีการบีบตัวหรือเคลื่อนตัวช้าในระหว่างการย่อยอาหาร ทำให้ไม่สามารถกำจัดอุจจาระออกจากระบบทางเดินอาหาร
อาการท้องผูก
ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์หรือน้อยกว่าปกติที่เคยเป็น
อุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง เป็นเม็ดเล็ก ๆ
รู้สึกถ่ายอุจจาระไม่ออก หรือถ่ายได้ไม่สุด
ถ่ายอุจจาระออกได้ยาก ต้องใช้แรงเบ่งมากหรือใช้มือช่วยล้วง อาจมีอาการเจ็บขณะถ่ายอุจจาระร่วมด้วย
ผู้ที่มีอาการในข้างต้น 2-3 ข้อ เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 3 เดือน อาการท้องผูกธรรมดาหรือที่เรียกว่าท้องผูกฉับพลันอาจพัฒนากลายเป็นท้องผูกเรื้อรังที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ากพบความผิดปกติในการถ่ายอุจจาระเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยหาสาเหตุไม่ได้ แม้พยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิตแล้ว
การพยาบาล
ดื่มน้ำอย่างน้อย 2 ลิตร เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะการขาดน้ำ และไม่ทำให้อุจจาระแข็งจนเกินไป
ออกกำลังกายด้วยการเดินเป็นระยะเวลา 10-15 นาที วันละหลาย ๆ ครั้ง เพื่อฝึกกล้ามเนื้อให้ทำงานได้เป็นปกติ
ส่งเสริมให้รับประทานนํ้ามากขึ้น
ไม่ควรใช้ยาระบายติดต่อกันเกิน 1 สัปดาห์ และควรมีการปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาทุกครั้ง
กลืนลำบาก(Dysphagia)
อาการ
รู้สึกคล้ายมีอาหารติดอยู่ในลำคอหรือหน้าอก
มีอาหารหรือกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับมาที่คอ
มีอาการเจ็บเวลากลืนอาหาร หรือไม่สามารถกลืนอาหารได้
น้ำลายไหลออกทางปากมากผิดปกติ
สาเหตุ
การไม่ประสานงานของกล้ามเนื้อเเละระบบประสาท
การตีบของหลอดอาหาร
Dysphagia หรือความผิดปกติเกี่ยวกับการกลืนนั้นมีความซับซ้อน บางครั้งจึงไม่สามารถระบุ
เเผลเเละการอักเสบ
ความผิดปกตเเต่กำเนิน
การรักษา
การผ่าตัด จะใช้ในกรณีที่เกิดเนื้องอกในหลอดอาหาร โรคอะคาเลเซีย มีการโป่งพองของหลอดอาหารออกเป็นกระเปาะ
การใช้ยารักษา กรณีที่เกิดจากโรคกรดไหลย้อน อาจจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อลดกรดในกระเพาะอาหารร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต
การขยายหลอดอาหาร ในกรณีที่เกิดจากโรคอะคาเลเซียหรือภาวะหลอดอาหารตีบ แพทย์อาจใช้กล้องส่องตรวจพร้อมทำบอลลูนชนิดพิเศษ
การพยาบาล
สังเกตเเละประเมินอาการอย่างถี่ถ้วน
ดูเเลเรื่องการได้รับสารอาหารเเละนํ้า
ให้ได้รับยาตามคำสั่งเเพทย์
ระมัดระวังการสำลัก
ดูเเลความสะอาด ปากเเละฟัน ภาชนะ สิ่งเเวดล้อม
การดูเเลด้านจิตใจ
โรคไส้เลือน(Hernia)
สาเหตุ
ปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่าย เช่น อาการท้องผูก เป็นต้น
การไอหรือจามแรง ๆ ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินหายใจ หรือโรคเรื้อรัง อาทิ วัณโรค โรคถุงลมโป่งพอง
การยกของหนัก ๆ ทำให้ต้องออกแรงมาก ซึ่งจะเกิดอาการเกร็ง ปอดขยายและดันกระบังลมลงมา ทำให้เกิดแรงดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น
ผู้ป่วยเคยเป็นไส้เลื่อน หรือมีประวัติว่าคนในครอบครัวเป็นไส้เลื่อน
ผู้ป่วยที่มีอาการไอเรื้อรังจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น การสูบบุหรี่
อาการ
รู้สึกแน่นท้อง หรือมีอาการปวดแสบปวดร้อน หากมีอาการไส้เลื่อนที่บริเวณกระบังลม
ภาวะกรดไหลย้อน เจ็บหน้าอก หรือมีปัญหาในการกลืน ทว่าผู้ป่วยบางคนอาจไม่มีอาการใด ๆ เลย มีแต่เพียงอาการให้เห็นภายนอกเท่านั้น
อาการของไส้เลื่อนที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ ผู้ป่วยรู้สึกมีก้อนลักษณะตุงอยู่บริเวณที่มีลำไส้เคลื่อนตัวออกมา และมีอาการเจ็บโดยเฉพาะเวลาที่ก้มตัว ไอ หรือยกสิ่งของ บางรายอาจมีความผิดปกติที่ช่องท้อง
การรักษา
ไส้เลื่อน รักษาได้โดยการผ่าตัด โดยเฉพาะไส้เลื่อนชนิดติดค้างควรได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน ส่วนไส้เลื่อนชนิดอื่น ๆ หากในระหว่างรอการผ่าตัด แพทย์อาจใช้ยาเพื่อประคับประคองอาการไม่ให้รุนแรงไปกว่าเดิม อาทิ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาขยายหลอดลมเพื่อลดอาการไอในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคปอด หรือยาขับปัสสาวะเพื่อลดระดับของเหลวในช่องท้อง
นกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นเด็ก จะมีการพิจารณาจากขนาดของไส้เลื่อน อายุ อาการของผู้ป่วย และชนิดของไส้เลื่อนที่เป็น เช่น เด็กที่เป็นไส้เลื่อนที่สะดือ
ภาวะกรดไหลย้อน(Gastroesophageal Reflux Diseas)
กรดไหลย้อนคือป็นภาวะที่กรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะไหลย้อนกลับมาในหลอดอาหาร จนทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร โดยผู้ป่วยจะรู้สึกแสบร้อนกลางอก เรอเปรี้ยว และคลื่นไส้ ซึ่งสาเหตุสำคัญหนึ่งมาจากพฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ถูกต้องและการใช้ชีวิตที่เร่งรีบในสภาพสังคมปัจจุบัน หากปล่อยให้เกิดอาการเรื้อรังและรักษาด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง อาจนำไปสู่การเกิดหลอดอาหารอักเสบ
สาเหตุ
บริเวณหลอดอาหารจนสร้างความระคายเคืองกับผนังของหลอดอาหาร
กระเพาะอาหารหลั่งกรดในปริมาณมากขึ้น เช่น เข้านอนหลังรับประทานอาหารทันที สูบบุหรี่ ดื่มน้ำอัดลมหรือแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารปริมาณมากภายในมื้อเดียว เป็นโรคอ้วน
กรดไหลย้อนเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของกล้ามเนื้อหูรูดบริเวณส่วนปลายของหลอดอาหาร (Lower Esophageal Sphincter - LES) ทำให้กรดหรือน้ำย่อยภายในกระเพาะอาหาร
อาการ
มีน้ำรสเปรี้ยวหรือขมไหลย้อนขึ้นมาในปากและคอ
ปจนถึงกลืนอาหารได้ลำบาก ในบางรายที่เป็นเรื้อรังอาจพบอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ไอเรื้อรัง รู้สึกระคายเคืองคอตลอดเวลา เสียงแหบแห้ง หรือฟันผุ
ผู้ที่มีภาวะกรดไหลย้อนจะรู้สึกจุกเสียดบริเวณใต้ลิ้นปี่ ปวดแสบปวดร้อนบริเวณอกบ่อยครั้ง มีอาการจุกเสียดแน่นคล้ายอาหารไม่ย่อย เรอบ่อย คลื่นไส้
การรักษา
การปรับพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตอาจช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้ เช่น รับประทานอาหารในปริมาณที่พอดี ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
เข้านอนทันทีหลังรับประทานอาหาร ฯลฯ แต่ในบางราย แพทย์อาจรักษาด้วยการให้รับประทานยาในกลุ่มยับยั้งการหลั่งกรด
กระเพาะอาหาร หรือยาเพิ่มการเคลื่อนตัวของระบบทางเดินอาหาร เพื่อช่วยเพิ่มการบีบตัวของลำไส้มากขึ้น แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้น การผ่าตัดซ่อมแซมกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหาร อาจเป็นอีกทางเลือกของผู้ป่วยในการป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนกลับขึ้นไปด้านบนอย่างผิดปกติ
การพยาบาล
ปรับเปลี่ยนเเบบเเผนการดำเนินชีวิต เช่น ไม่ควรนอนราบ ให้นอนศรีษะสูง
การรักษาทางยา
ปรับเปลี่ยนเเบบเเผนการรับประทานอาหาร
การยาบาลผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของตับเเละถุงนํ้าดี
การอักเสบของถุงนํ้าดีเเละนิ่วในถุงนํ้าดี(cholcystitis and gall stone)
อาการ
เกิดอาการปวดท้องหลังรับประทานอาหาร โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารในปริมาณมาก หรือรับประทานอาหารที่มีไขมันเยอะ
ภาวะที่เกิดการอักเสบของถุงน้ำดีซึ่งเป็นอวัยวะช่วยย่อยอาหาร มีขนาดเล็กคล้ายลูกแพร์ อยู่บริเวณท้องด้านขวาใกล้ตับ ตามปกติแล้ว น้ำดีช่วยในการย่อยอาหาร โดยเฉพาะสารอาหารจำพวกไขมัน น้ำดีจะไหลผ่านถุงน้ำดีไปยังลำไส้เล็ก หากเกิดการอุดตันของน้ำดี จะส่งผลให้ถุงน้ำดีบวม อักเสบ และเกิดอาการปวดได้ การอุดตันของน้ำดีมักมีสาเหตุมาจากนิ่วอุดตันในท่อถุงน้ำดี
สาเหตุ
ถุงน้ำดีอักเสบจากสาเหตุอื่น (Acalculous Cholecystitis) สาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดการอักเสบที่ถุงน้ำดีพบได้ไม่บ่อยนัก
ระสบภาวะแทรกซ้อนจากปัญหาสุขภาพอื่น เช่น เบาหวาน
ถุงน้ำดีอักเสบที่เกิดจากนิ่ว (Calculous Cholecystitis) นิ่วในถุงน้ำดีจัดเป็นสาเหตุที่พบได้มากที่สุด โดยผู้ป่วยร้อยละ 95 เป็นโรคนี้จากนิ่วในถุงน้ำดี ทั้งนี้ นิ่วในถุงน้ำดีเกิดจากการสะสมของไขมันและเกลือที่อยู่ในน้ำดี
การพยาบาล
การผ่าตัดแบบส่องกล้อง การผ่าตัดด้วยเทคนิคนี้มักนิยมใช้ผ่าตัดถุงน้ำดีอักเสบมากที่สุด โดยแพทย์จะผ่าท้องผู้ป่วยให้มีบาดแผลเพียงเล็กน้อย ซึ่งจะผ่าหลายแห่ง และสอดกล้องขนาดเล็กเข้าไปที่รอยผ่ารอยหนึ่ง เพื่อให้มองเห็นถุงน้ำดีและควบคุมการผ่าตัดได้ และสอดอุปกรณ์ผ่าตัดเข้าไปยังรอยแผลอื่น ๆ เพื่อผ่าตัดผู้ป่วย
รักษาน้ำหนักตัว ควรรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่อ้วนหรือผอมจนเกินไป โดยเลือกรับประทานอาหารให้สมดุลและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ลดปริมาณพลังงานของอาหารที่รับประทานให้พอเหมาะ รวมทั้งทำกิจกรรมที่ได้เคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
การผ่าตัด ผู้ป่วยถุงน้ำดีอักเสบจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดทันทีในกรณีที่เกิดการอักเสบซ้ำ หรือประสบภาวะแทรกซ้อนอื่น ได้แก่ เนื้อเยื่อตาย (Gangrene) ถุงน้ำดีทะลุ ตับอ่อนอักเสบ
การรักษาเบื้องต้น แพทย์จะไม่อนุญาตให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ เพื่อลดการบีบตัวของหูรูดที่ถุงน้ำดี ลดการระบายสารต่าง ๆ ออกมา รวมทั้งช่วยให้ถุงน้ำดีไม่ทำงานหนัก อย่างไรก็ตาม แพทย์จะเจาะหลอดเลือดดำให้น้ำเกลือทีละหยดแก่ผู้ป่วย
บประทานอาหารที่ดี ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืชต่าง ๆ เนื่องจากอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันและมีกากใยต่ำจะทำให้เสี่ยงเกิดนิ่วในถุงน้ำดี
ตับอ่อนอักเสบ(pancreatitis)
หน้าที่สำคัญ
ตับอ่อนเป็นทางผ่านของท่อทางเดินน้ำดีจากตับ (รูปที่ 1) โดยตัวตับอ่อนจะทำหน้าที่หลักสองอย่างคือ ผลิตน้ำย่อยในการย่อยโปรตีน คาร์โบไฮเดรท และไขมัน น้ำย่อยต่างๆที่ตับอ่อนผลิตนั้นจะถูกหลั่งออกมาที่ท่อน้ำดีส่วนปลาย ออกสู่ลำไส้เล็กเพื่อย่อยอาหารต่อไป หน้าที่ที่สำคัญอีกอย่างของตับอ่อน คือ สร้างฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งทำหน้าที่ลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือด และ ฮอร์โมนกลูคากอนที่ทำหน้าที่ควบคุมสมดุลย์ของระดับน้ำตาลในร่างกาย
อาการ
มีไข้ ทั้งไข้สูงและต่ำ
ปวดร้าวลงไปบริเวณกลางหลัง
ปวดบริเวณกลางหน้าท้องรุนแรงและเฉียบพลัน
กดแล้วเจ็บท้อง แต่ท้องไม่แข็ง
หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว
สาเหตุ
นิ่วในถุงน้ำดี (Gallstone) พบมากถึง 40 – 70% มักเกิดจากนิ่วที่หลุดออกมาจากถุงน้ำดีและมีขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมต
สาเหตุอื่น ๆ เช่น ระดับแคลเซียมในเลือดสูง ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง ยาชนิดต่าง ๆ เนื้องอกตับอ่อน โรคตับอ่อนที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด
การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากติดต่อกันนาน ส่วนใหญ่ดื่มมากกว่า 50 กรัมต่อวัน ไม่น้อยกว่า 5 ปี พบมากถึง 25 – 35%
การรักษา
การใส่สายยางเข้าเส้นเลือดดำเพื่อประเมินน้ำในร่างกาย
ลดการทำงานของตับอ่อน ด้วยการงดน้ำ งดอาหาร ดูดน้ำย่อยกระเพาะอาหารออก การให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำ (ถ้ามีความรุนแรงเล็กน้อยอาจให้ทานอาหารทางปากได้บ้างเมื่ออาการปวดท้องทุเลาลง)
การให้ยาแก้ปวดแบบที่ไม่ใช่มอร์ฟีน
การป้องกันภาวะแทรกซ้อนหรือรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง แพทย์จะต้องเฝ้าระวังและติดตามอย่างใกล้ชิด
การผ่าตัดผ่านกล้องนิ่วในถุงนํ้าดี มีเพียงส่วนน้อย ซึ่งมาจากโรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันที่มีสาเหตุจากนิ่วในถุงน้ำดี
การตรวจวินิจฉัย
ตรวจทางห้องปฏิบัติการทั่วไป เช่น ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ตรวจการทำงานของตับ ตรวจระดับน้ำตาล ตรวจระดับแคลเซียม ตรวจไตรกลีเซอไรด์
เจาะเลือดตรวจหาเอนไซม์อะไมเลส (Amylase) และไลเปส (Lipase) โดยตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันจะพบเอนไซม์อะไมเลสที่มีค่าสูงขึ้นภายใน 6 – 12 ชั่วโมง ส่วนค่าของไลเปสในเลือดจะสูงขึ้นตั้งแต่วันแรกของการอักเสบ
ซักประวัติ
การส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP)
แผลในกะเพาะอาหาร
สาเหตุ
การใช้ยาแอสไพริน (Aspirin) ไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) นาโปรเซน (Naproxen) รวมถึงยาแก้ปวดต้านการอักเสบในกลุ่มยาเอ็นเสด (NSAIDs) อื่น ๆ เป็นเวลานาน
ยารักษาโรคกระดูกพรุน เช่น อะเลนโดรเนท (Alendronate) ไรซีโรเนต (Risedronate)
เชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร (H. Pylori) จะอาศัยอยู่ในเยื่อบุกระเพาะอาหาร เป็นสาเหตุให้เกิดการระคายเคืองและเพิ่มความเสี่ยงที่ทำให้เกิดความเสียหายจากกรดในกระเพาะอาหาร ติดเชื้อได้กับทุกวัย แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเพราะเหตุใดผู้ป่วยบางรายจึงมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไรได้มากกว่าผู้ป่วยรายอื่น
อาการ
คลื่นไส้ อาเจียน
รอ แน่นท้อง หรือท้องอืด หลังรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
อาการสำคัญของโรคแผลในกระเพาะอาหารคือ ปวดท้องหรือแสบที่กระเพาะอาหาร มักมีอาการตอนท้องว่างหรือประมาณ 2-3 ชั่วโมงก่อนมื้ออาหาร อาจตื่นกลางดึกจากอาการปวดหรือแสบท้อง อาการจะดีขึ้นเมื่อรับประทานอาหารหรือยาลดกรด และอาจมีอาการอื่น ๆ
การรักษา
การใช้ยา Proton pump inhibitors: PPIs เช่น โอเมพราโซล (Omeprazole) แลนโซพราโซล (Lansoprazole) ราบีพราโซล (Rabeprazole) อีโซเมปราโซล (Esomeprazole) แพนโทพราโซล (Pantoprazole) เป็นต้น เพื่อยับยั้งการสร้างกรดและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
การใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin) คลาริโธรมัยซิน (Clarithromycin) เมโทรนิดาโซล (Metronidazole) ทินิดาโซล (Tinidazole) เตตราไซคลีน
การผ่าตัด มักใช้ในผู้ป่วยที่เป็นแผลในกระเพาะอาหารแล้วไม่เข้ารับการรักษา มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กฉีกขาด
การปรับการใช้ยาในผู้ป่วยแผลในกระเพาะอาหารที่มีสาเหตุมาจากการใช้ยาเอ็ดเสด (NSAIDs) โดยเปลี่ยนเป็นพาราเซตามอลหรือยาแก้ปวดต้านการอักเสบในกลุ่มเอ็นเสด
นางสาวอาภาภรณ์ สังข์ภักดี เลขที่ 74