อวัยวะรับสัมผัส
หู
ตา
ช่องปากและลําคอ
กายวิภาค
หูชั้นกลาง (Middle ear)
หูชั้นใน (Inner ear)
หูชั้นนอก (External ear)
รูหู
แก้วหู
ใบหู
รวบรวมคลื่นเสียง ส่งไปหูชั้นนอกต่อไป
คดเป็นรูปตัว s
มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น
fibrous lyer ชั้นกลาง
mucous membrane ชั้นในสุด
epithelium layer ชั้นนอกติดกับช่องหู
เป็นโพรงอากาศที่อยู่ระหว่างแก้วหู (ear drum) กับหูชั้นใน
ประกอบด้วย
กระดูกทั่ง (incus)
กระดูกโกลน (Stapes)
กระดูกค้อน (maleous)
เป็นตัวนําคลื่นเสียงผ่านสู่หูชั้นใน
แบ่งออกเป็น
อยู่ภายในส่วน Petrous ของกระดูก temporal เป็นที่อยู่ของอวัยวะรับเสียงและอวัยวะเกี่ยวกับการทรงตัว
Bony labyrinth
คือส่วนที่เป็นกระดูก
ได้แก่
vestibule semicircular canal 3 ou
semicircular canal 3 อัน
cochlea
Membranous labyrinth
ได้แก่
cochlear duct
utricle saccule semicircular duct3 อัน
saccule semicircular duct3 อัน
คือส่วนที่เป็นท่ออยู่ภายใน Body labyrinth
กลไกการได้ยิน
ทางที่สองคือการได้ยินเสียงผ่านกระดูก (bone conductionpathway)
ทางแรกคือการได้ยินเสียงผ่านทางอากาศ (Air Conductionpathway)
เริ่มจากใบหู จะป้องให้เสียผ่านเข้ารูหูไปกระทบแก้ว หู เกิดการสั่นสะเทือนไปตามกระดูกหูทั้ง ๓ ชิ้น แล้วผ่าน Ovalwindow เข้าไปยังหูชั้นใน
เสียงจากการสั่นของกระดูกผ่านกระดูกมาสตอยด์ เ ถึงหูชั้นในบริเวณ Cochlea
โดยธรรมชาติแล้วการได้ยินเสียงผ่านทาง อากาศจะดีกว่าการได้ยินเสียงผ่านทางกระดูก
การตรวจวินิจฉัยความผิดปกติ
การตรวจ
Vestibular Function Test
ตรวจดู Nystagmus
การตรวจร่างกาย
การตรวจพิเศษด้วยเครื่องมือ
การซักประวัติผู้ป่วย
มีเสียงดังในหู (Tinnitus)
มีอาการเวียนศีรษะ (Dizziness or vertigo)
อาการหูอื้อ ได้ยินเสียงลดลง (Hearing loss)
มีของเหลวไหลจากหู (Otorrhea)
อาการปวดหู (Otalgia)
ตรวจหูภายนอก
ตรวจช่องหู (Otoscopy)
โดยการมองและคลําดูบริเวณหน้าและหลังหู
ตรวจด้วยไม้พันสําลี
ตรวจดูเยื่อแก้วหู (Tympanic membrane)
การตรวจพิเศษอื่น ๆ
การนัดตรวจซ้ําเป็นระยะ ๆ ถ้าไม่พบความผิดปกติใด ๆ แต่ผู้ป่วย
ยังคงปวดหูอยู่เพราะบางโรคอาจตรวจพบได้หลังจากระยะแรกไปแล้ว
ตรวจหูแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติให้ตรวจศีรษะและคอด้วย
ช่องปาก ดูเหงือกและฟัน ว่ามีฟันคุด หรือมีก้อนเนื้องอก
Temporomandibular joint ปวดหูขณะเคี้ยวอาหารหรือพูด จากข้อต่อที่อักเสบ คลําดูข้อต่อและกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคี้ยวด้วยว่ามี อาการเจ็บหรือไม่
ช่องจมูก ว่ามีไซนัสอักเสบหรือไม่ - ช่องคอทั้ง 3 ส่วน กล่องเสียง หลอดลม
ตรวจดูด้านหน้า – ข้าง หลัง ลําคอ ว่าต่อมน้ําเหลืองบวมโต หรือไม่
เช่น
ถ่ายภาพรังสีของหู คอ จมูก ส่วนที่ สงสัย หรือทํา CT scan, MRI เพื่อแยกโรคให้ชัดเจนขึ้น
การตรวจโดยการใช้คําพูด (Speech Audiometry)
การทดสอบการได้ยิน นิยมตรวจ
Audiometry โดยใช้เครื่องตรวจการได้ยินชนิดไฟฟ้า (Audiometry)
Tuning fork test
การแปลผล : Weber Test
เป็นการตรวจโดยใช้ส้อมเสียง
Weber Test เป็นการทดสอบ Cochlear function
ถ้าคนปกติจะได้ยินเท่ากัน 2 ข้าง
ถ้ามีระบบการนําเสียงบกพร่อง ข้างที่มีปัญหาจะได้ยินชัดเจนกว่า
ถ้ามีระบบประสาทรับฟังเสียงบกพร่อง ข้างที่ดีจะได้ยินชัดเจนกว่า
การแปลผล : Rine Test
Rine Test positive คือ ได้ยินทางหน้าหูดีกว่าทางหลังหู (AC > BC)
Rine Test negative คือ ได้ยินทางหลังหูดีกว่าทางหน้าหู (BC > AC)
False negative Rinne จะมี BC > AC
เป็นการคัดกรองโดยจําแนกประเภทของการสูญเสียการได้ยิน
เพื่อวินิจฉัยผู้ป่วยที่มี ปัญหาการนําเสียงบกพร่อง (Conductive hearing loss หรือ CHL)
เป็นการตรวจการได้ยินโดยผ่านการนําเสียงกระดูก (Bone conduction; BC)
โดยผู้ป่วยฟังเปรียบเทียบที่หูข้างเดียวกัน ผ่านการนํา เสียงทางอาการ (Air Conduction; AC)
Speech Reception Threshold (SRT) ตรวจระดับ เสียงพูดที่ต่ําที่สุดที่ผู้ป่วยสามารถเข้าใจว่าเป็นคําพูด เป็นคํา 2 พยางค์
Speech Discrimination คือ ประสิทธิภาพของหูในการ แยกเสียง และเข้าใจความหมายของคําพูด การตรวจจะใช้คําที่มีพยางค์เดียว
คืออาการตากระตุก โดยการทํา Head Shaking (สั่นศีรษะผู้ป่วยในแนวระนาบนอน ๒๐ ครั้ง)
Romberg's Test โดยการยืนตรง ส้นเท้าและปลายเท้าชิด กัน มองตรงไปข้างหน้า
Unterbergers : Test ทําเหมือน Rombergs Test แต่ยื่น มือตรงไปข้างหน้า หลับตา ซอยเท้าอยู่กับที่
Gait Test ให้เดินตามแนวเส้นตรงระหว่างจุด ๒ จุด แล้ว หมุนตัวเร็ว ๆ กลับมาที่เดิม
หรือทํา Position Test (ให้ผู้ป่วยนอน จับ ศีรษะตะแคงขวา ซ้าย หงาย ตรง) เพื่อดูอาการเวียนศีรษะ (Vertigo)
การสูญเสียการได้ยิน HEARING LOSS
ภาวะที่มีความบกพร่องของการได้ยิน ทําให้ผู้ป่วยมี ปัญหาในการฟัง พบได้ตั้งแต่แรกเกิดถึงวัยชรา
ประเภท
การสูญเสียการได้ยินแบบประสาทหูเสื่อม (Sensorineural Hearing Loss; SNHL)
การรับฟังเสียงบกพร่องแบบผสม (Mixed Hearing Loss)
การสูญเสียการได้ยินแบบการนําเสียงทางอากาศบกพร่อง (Conductive Hearing Loss; CHL)
ความบกพร่องที่สมองส่วนกลาง (Central Hearing Loss)
สาเหตุการเสียการได้ยิน
การนําเสียงทางอากาศบกพร่อง (Conductive Hearing Loss; CHL)
ประสาทหูเสื่อม (Sensorineural Hearing Loss; SNHL)
โรคของเยื่อแก้วหูและหูชั้นกลาง ได้แก่ เยื่อ แก้วหูทะลุ หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน หูชั้นกลางอักเสบมีน้ําเหลืองขัง หูชั้น กลางอักเสบเรื้อรัง โรคกระดูกชั้นกลาง
โรคหูชั้นนอก เช่น สิ่งแปลกปลอมเข้า ในหู หูชั้นนอกขี้หูอุดตัน ช่องรูหูตีบแคบตั้งแต่กําเนิด อักเสบ เนื้องอก
ประสาทหูเสื่อมที่เป็นตั้งแต่กําเนิด(Congnital Sensorineural Hearing Loss)
ประสาทหูเสื่อมที่เกิดภายหลัง (Acquired Sensorineural Hearing Loss)
Noise induced hearing loss เกิดจากเสียงดังมาก
Drug induced hearing loss เกิดจากยากลุ่ม Aminoglycoside, salicylate, diuretics
Presbycusis พบในคนชรา
Infection ติดเชื้อจากหูชั้นใน น้ําไขสันหลัง การติดเชื้อหูชั้นกลาง
Tumor
Trauma อุบัติเหตุบริเวณศีรษะทําให้เกิดการแตกของกระดูก temporal ผ่านหูชั้นใน
Meniere's disease หรือ endolymphatic hydro
Vascular cause
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
อาการร่วม
ประวัติในอดีต
อาการนํา
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางระบบประสาท กรณีสงสัยรอยโรคของเส้นประสาท หรือสมอง
การตรวจการได้ยินด้วยส้อมเสียง (Tuning fork) เพื่อแยกโรคหูชั้น กลางหรือเส้นประสาทหูในผู้ป่วยที่มีปัญหาการได้ยินที่ตรวจไม่พบความ ผิดปกติของหูชั้นนอกและเยื่อแก้วหู
การตรวจทางร่างกายทางหู คอ จมูก การส่องกล้องดูหู (Otoscope)
โรคที่พบบ่อยจากการได้ยินและการทรงตัว
โรคหูชั้นนอก
โรคหูชั้นกลาง
สิ่งแปลกปลอมในหูชั้นนอก
การบาดเจ็บจากแรงดันต่อหู
โรคหูชั้นใน
โรคน้ําในหูไม่เท่ากัน
เยื่อแก้วหูฉีกขาดเป็นรูทะลุ
ขี้หูอุดตัน
พยาธิสภาพ
อาการและอาการแสดง หูอื้อ ปวดหู
สาเหตุ
การรักษา โดยการล้าง ใช้เครื่องดูดหรือการใช้เครื่องมืออื่น ๆ ช่วย
ปกติขี้หูสามารถอุดตันอยู่ในส่วนของช่องหูชั้นนอกและมีสี และปริมาณที่มากน้อยได้แตกต่างกัน
ขี้หูถูกสร้างโดยต่อมสร้างขี้หูซึ่งอยู่ในช่องหูส่วนกระดูกอ่อนปกติขี้หูจะเคลื่อนออกมาด้านนอกได้เอง
ส่วนมากเกิดจากขี้หูสร้างมาก ผิดปกติ ในผู้สูงอายุต่อมสร้างขี้หูฝ่อ ทําให้ขี้หูแห้งและแข็ง รวมทั้งEpithelial migration ลดลง ทําให้ขี้หูอุดตันได้ง่าย
สาเหตุ
อาการและอาการแสดง หูอื้อ รําคาญ สูญเสียการได้ยิน ในเด็กเล็กมักเอามือจับหูบ่อย ๆ ร้องกวน และไม่ยอมดูดนม ในวัยผู้ใหญ่จะพยายาม แคะหู บางรายมีอาการมึนงงเวียนศีรษะจนถึงอัมพาตของใบหน้า
การรักษา
ในเด็กเล็กมักพบของเล่นชิ้นเล็ก หรือเมล็ดผลไม้ ทําให้เกิดอาการติดเชื้อ จนถึงอาการเยื่อแก้วหูทะลุได้ ส่วนในผู้ใหญ่มัก พบเป็นเศษชิ้นส่วนของไม้พันสําลีหรือพวกแมลง
เป็นสิ่งมีชีวิตใช้แอลกฮอล์ 70% หรือยาหยดประเภทน้ํามัน หยอดลงไป แล้วคีบออก
เป็นสิ่งไม่มีชีวิต ใช้น้ําสะอาดหรือเกลือปราศจาก เชื้อหยอดจนเต็มหูแล้วเทน้ําออกหรือใช้ที่ล้างหูช่วย ถ้าเป็นของแข็งใช้ เครื่องมือแพทย์คีบออก
สาเหตุ
อาการและอาการแสดง เจ็บปวดเฉียบพลัน สูญเสียการได้ยิน (Hearing loss), มีเสียงดังในหู (Tinnitus),
มีเลือดออกในหูแลไหลออกมา จากการ ฉีกขาดของเยื่อแก้วหู, บางรายมีอาการเวียนศีรษะ (Vertigo) ร่วมด้วย
เกิดจากของมีคม เช่น กิ๊ปติดผมหรือสําลีปั่นหู หรือที่เจาะหูที่ใช้ในการแคะขี้หู หรืออาจเกิดจากแรงอัดดันจากการถูกกระทบกระแทกบริเวณ กระดูกขมับแรง ๆ เช่น ถูกตบตี หรือได้รับอันตรายจากเสียงดังมาก ๆ เช่น ระเบิด ประทัด
การรักษา
ไม่ต้องเอาลิ่มเลือดออก
ไม่ต้องทําความสะอาดภายในช่องหู
ไม่ต้องหยอดยาหู แต่ให้ยารับประทานกันการติดเชื้อแทน
ทิ้งไว้เฉย ๆ อย่าชะล้าง
อาการต่าง ๆ ควรหายภายใน 1 เดือน ถ้า 2 เดือนไม่หายให้ทําการ ซ่อมแซมเยื่อแก้วหู หรือแพทย์บางท่านอาจใช้ยาปฏิชีวนะ ชนิดขี้ผึ้งแปะบริเวณที่ขาดเพื่อให้เนื้อเยื่อแก้วหูที่ขาดมาประสานกันเร็วขึ้น
โรคหินปูนเกาะฐานกระดูกโกลน
โรคหูน้ําหนวก
ป็นภาวะที่มีการขังค้างของเหลวอยู่ในหูชั้นกลาง บางราย อาจจะมีการติดเชื้อร่วมด้วย
แบ่งเป็น
Acute Otitis Media
Serous Otitis Media
Chronic Otitis Media
Adhesive Otitis Media
มีภาวะหูน้ําหนวกเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ มีอาการ น้อยกว่า 3 สัปดาห์
มีภาวะหูน้ําหนวกที่มีน้ําใสขังค้างอยู่ในหูชั้นกลาง มี อาการระหว่าง 3 เดือนถึง 3 สัปดาห์
มีภาวะหูน้ําหนวกที่เกิดเป็นซ้ําและเป็นอยู่ใน เวลานาน ๆ มีอาการมากกว่าหรือเท่ากับ 3 เดือน
มีภาวะหูน้ําหนวกที่เกิดเป็นนาน ๆ เป็น ระยะเวลานานปี
สาเหตุ
เพดานโหว่ ทําให้กล้ามเนื้อ Tensor Veli palatine ที่ปิดเปิดท่อยูสเตเชียน ทํางานได้ไม่ดี
เด็กที่ถูกเลี้ยงดูด้วยนมขวด จะใช้แรงดูดมากกว่าเด็กที่ดูดนมแม่ และเด็กมัก นอนบนพื้นราบมากกว่าการดูดนมแม่ เกิดการไหลย้อนของนมเข้าสู่ท่อยูสเตเชียนได้ง่ายทําให้เกิดหูชั้นกลางอักเสบขึ้นได้
ท่อยูสเตเชียนอุดตัน พบมากในเด็กอายุ<8 ปี เพราะโครงสร้างยังเจริญไม่เต็มที่
เนื้องอกบริเวณช่องหลังโพรงจมูก (Nasopharynx) ไปอุดตันท่อยูสเตเชียน
ขณะเครื่องบินลง เกิดภาวะ Barotrauma จากการปรับเปลี่ยนความดันทําให้ กล้ามเนื้อ Tenso vail palatine ดึงท่อยูสเตเชียนให้เปิดไม่ได้
เป็นหวัด คัดจมูก คออักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ
อาการของ
การรักษา
รู้สึกเหมือนมีน้ําขังอยู่ในหูตลอดเวลา
ตรวจแก้วหูด้วย Otoscopy พบเยื่อแก้วหูมีลักษณะนูนโป่งและมีอาการปวด หูร่วมด้วย
สูญเสียการได้ยินบางรายอาจมีอาการหูอื้อเวลาพูดเสียงดังจะรู้สึกก้องหูมาก
ทํา Valsava Maneuver และ Politzerisation คือหายใจเข้าเต็มที่ บีบจมูกหุบปากให้สนิทแล้วเบ่งลมหายใจออกเป็นการเพิ่มความดันบริเวณช่องคอหลัง โพรงจมูก ทําให้ท่อยูสเตเชียนเปิดออกได้
ให้ยาแก้แพ้ยาลดอาการคัดแน่นในจมูกและยาปฏิชีวนะร่วมด้วย โดยเฉพาะถ้าตรวจพบอาการหูชั้นกลางอักเสบจากเชื้ออะไรควรให้ยา ตามผลการเพาะเชื้อชนิดนั้นด้วยเพื่อให้ออกฤทธิ์ครอบคลุม
การทํา Myringostomy (ในรายที่รักษาทางยาไม่ได้ผล) คือ การเจาะเยื่อแก้ว หูแล้วใส่ท่อคาไว้เพื่อให้ลมผ่านเข้าออกได้ตลอด ให้ของเหลวในหูชั้นกลางไหลออกมาก หลังทําห้ามแคะหู ห้ามน้ําเข้าหู ถ้ามีหนองไหลใช้สําลีสะอาดเช็ด
สาเหตุ เกิดจากภาวะที่มีการรักษาไม่หายขาดของหูชั้นกลางอักเสบ และการกลับเป็นซ้ําอีกของ Otitis Media
อาการและอาการแสดง
การรักษา
มีของเหลวไหลเป็นน้ําหนอง
หูอื้อ บางรายสูญเสียการได้ยิน
เยื่อแก้วหูทะลุ (Tympanic Membrane perforation)
ให้ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวด ยาลดการคัดแน่นจมูก บางราย อาจให้ยาหยอดหูร่วมด้วย
ควรทําการผ่าตัดต่อไป (ทํา Tympanoplasty และอาจต้องทํา Mastoidectomy ร่วมด้วยในบางราย) ให้ยานาน 2 สัปดาห์ไม่หาย
Tympanoplasty และ Mastoidectomy
เป็นการผ่าตัดเพื่อนําเอา Cholesteatoma (ภาวะแทรกซ้อนที่พบหลังหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง) ออก
ทําการซ่อมแซมกระดูกหู ร่วมทั้งนําส่วน Mastoid air cell ออก
หรือเรียกว่า Tympano -Mastoidectomy
แต่ขณะเดียวกันก็อาจทําให้เกิด ภาวะอัมพาตของใบหน้า
สาเหตุ
อาจเกิด Measle virus และหากมีประวัติ ในครอบครัวถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ autosomal dominate
อาการและอาการแสดง
หูอื้อ บางรายมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนในขณะเปลี่ยนท่าทางของศีรษะ โดยไม่เกิดอาการขึ้น ทันทีทันใด หรือมีเสียงดังในหู การสูญเสียการได้ยินเป็นแบบ CHL
พยาธิสภาพ มีการเพิ่มของ osteoblastic และ Osteoclasvtic activity บริเวณ stapes footplate ทําให้เกิด otosclerosis
การรักษา
ใช้เครื่องช่วยฟัง เหมาะสําหรับสูญเสียการฟังไม่มาก
วิธีการผ่าตัด แพทย์จะนํากระดูกหูที่มีพยาธิสภาพออกและใส่วัสดุเทียมเข้าไปเพื่อทําหน้าที่ในการส่งผ่านเสียงแทนกระดูกที่มหินปูนยึดติด
สาเหตุ
อาการและอาการแสดง ปวดหู แน่นหู หรือสูญเสียการได้ยินแบบ CHL ร่วมกับมีประวัติขึ้นเครื่องบินหรือดําน้ํา
พยาธิสภาพ
จากผลการเปลี่ยนแปลงความดันอากาศหรือความดันในหูชั้นกลางและโพรงกกหู
มักเกิดในภาวะที่ท่อ Eustachain ทํางานผิดปกติ ส่วนมากเกิดจากการเดินทางโดยเครื่องบิน
เมื่อความดันในหูชั้นกลางมีความแตกต่างจากบรรยากาศภายนอก เยื่อเมือกจะบวม มีการสร้างของเหลวจากต่อมเมือก มีเส้น เลือดฉีกขาด ทําให้เกิดของเหลวหรือเลือดคั่งในหูชั้นกลาง
ประสาทหูเสื่อมฉับพลัน
โรคหินปูนในหูชั้นในหลุด
หูตึงเหตุจากสูงอายุ
สาเหตุ จากความเสื่อมตามวัย อุบัติเหตุโดยเฉพาะการบาดเจ็บหรือ อุบัติเหตุบริเวณศีรษะ โรคหูชั้นใน การติดเชื้อ
อาการ มักมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน รู้สึกโครงเครง หรือสูญเสีย การทรงตัว เมื่อมีการเคลื่อนไหวของศีรษะอย่างรวดเร็ว ผู้ที่เป็นโรค นี้มักไม่มีอาการหูอื้อหรือเสียงดังในหู ไม่มีแขนขาชาหรืออ่อนแรง หรือพูดไม่ชัด ไม่มีอาการหมดสติหรือเป็นลม
ซึ่งเคลื่อนที่ได้เมื่อน้ําในหูชั้นในเคลื่อนที่ เกิดการส่งกระแสประสาทไปที่ประสาทส่วนกลางที่เกี่ยวข้องกับ การทรงตัว จึงมีผลไปกระตุ้นอวัยวะการทรงตัว ทําให้เกิดบ้าน หมุนขึ้น และตรวจพบตากระตุก (nystagmus)
การวินิจฉัย
เป็นโรคที่พบตะกอนแคลเซียมสะสมบริเวณอวัยวะทรงตัวในหูชั้นใน เมื่อมีการเคลื่อนไหวศีรษะจะเกิดการกระตุ้นการเคลื่อนที่ของตะกอนแคลเซียมนี้
การซักประวัติ ได้แก่ อาการเวียนศีรษะ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ท่าทางของศีรษะและเป็นช่วงสั้น ๆ ไม่มีการสูญเสียการได้ยินหรือหูอื้อ ไม่มีเสียงดังในหูที่ผิดปกติ
การตรวจร่างกาย เมื่อให้ผู้ป่วยล้มตัวลงนอนอย่างรวดเร็วในท่า ตะแคงศีรษะและห้อยศีรษะลงเล็กน้อย ผู้ป่วยจะมีอาการเวียนศีรษะ และมีการกระตุกของลูกตา
การสืบค้นเพิ่มเติม
การตรวจการได้ยิน มักปกติ ยกเว้นในรายที่มีความผิดปกติอยู่ก่อนแล้ว
การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) มักทําในรายที่สงสัยว่ามี พยาธิสภาพของระบบประสาทส่วนกลาง เช่น สมอง ทําให้เกิด อาการเวียนศีรษะ
ภาวะแทรกซ้อน
การรักษา
ป้องกันอาการกําเริบ
การทํากายภาพบําบัด การขยับศีรษะและคอ โดยใช้แรงดึงดูด ของโลก เพื่อเคลื่อนตะกอนหินปูนออกจากอวัยวะควบคุมการทรงตัว
การผ่าตัด มักทําในกรณีที่ผู้ป่วยรักษาด้วยยาและทํากายภาพไม่ ได้ผล คือ ยังมีอาการเวียนศีรษะตลอด
ให้ยาบรรเทาอาการเวียน ศีรษะ และผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงท่าทางที่กระตุ้นให้เกิดอาการ
ถ้าเวียนศีรษะมากอาจล้มได้ ทําให้เกิดการบาดเจ็บของอวัยวะต่าง ๆ
เมื่อมีอาการ ควรรีบนั่งลงหรือนอนพื้นราบไม่ให้มีการ เคลื่อนไหว ถ้าเกิดมีอาการขณะขับรถหรือขณะทํางาน ควรหยุด รถข้างทางหรือหยุดการทํางาน ไม่ควรดําน้ํา ว่ายน้ํา หรือปีนป่ายที่สูง
ถ้าอาเจียนมาก อาจมีการสูญเสียน้ําและเกลือแร่ในร่างกายมากอาจถึงช็อกได้
ตอนตื่นนอนตอนเช้า ควรลุกจากเตียงช้า ๆ และนั่งบนขอบเตียงก่อน
หลีกเลี่ยงการก้มเก็บสิ่งของ หรือเงยหยิบสิ่งของที่อยู่สูง
หลีกเลี่ยงการการนอนที่เอาหูด้านที่กระตุ้นให้เกิดอาการลง
เวลาทําอะไรควรทําอย่างช้า ๆ ทําอะไรค่อย ๆ
นอนหนุนหมอนสูง หลีกเลี่ยงการนอนราบ
อาการ
ประสาทหูเสื่อม ผู้ป่วยมีการเสียการได้ยินแบบประสาท เสียงเสีย ทําให้หูอื้อ ได้ยินไม่ชัดเจน แน่นในหู มีเสียงดังในหู และ อาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน บางครั้งอาจคลื่นไส้อาเจียน เหงื่อออกร่วมด้วย ทําให้ผู้ป่วยไม่ สามารถทํากิจวัตรประจําวันได้ตามปกติ ต้องนอนพัก
พยาธิสภาพ
เกิดการคั่งของ endolymph จนทําให้ membranous Labyrinth แตกออก ทําให้มีการลดลงของ Auditory และ Vestibular neronal Outflow ตามมา จึงทําให้มี อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน การได้ยินลดลง
การรักษา
เมื่อมีอาการเวียนศีรษะควรหยุดเดินหรือนั่งพักถ้าฝืนจะเกิดอุบัติเหตุ
พยายามอย่ากินหรือดื่มหนัก
หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยเรือ
จํากัดความเค็ม เพราะโซเดียมที่มีมากในร่างกายจะทําให้มี น้ําคั่งในร่างกาย และน้ําในหูชั้นในมากขึ้น อาจทําให้อาการแย่ลง
การกินยาขยายหลอดเลือด ฮิสตามีน จะช่วยให้มีการไหลเวียนไปที่หูเพิ่มขึ้น
ถ้าอาการดีขึ้นแล้วควรออกกําลังกายสม่ําเสมอ
หลีกเลี่ยงชา คาเฟอีน บุหรี่ ความเครียดเพราะจะทําให้เลือดไปเลี้ยงที่หูชั้นในลดลง
สาเหตุ
การอุดตันของเลือดไปเลี้ยงที่หูชั้นใน
การรั่วของของน้ําในหูชั้นใน เข้าไปในหูชั้นกลางซึ่งอาจเกิดมาจากการเบ่ง ถ่าย ไอ จามแรง ๆ
การติดเชื้อไวรัส
การบาดเจ็บที่ศีรษะอาจทําให้เกิดการรั่วของน้ําในหูชั้นใน หรือกระดูกบริเวณกกหูหักทําให้มีการบาดเจ็บของเส้นประสาทหู
อาการและอาการแสดง
หูอื้อ
การได้ยินลดลงในหูข้างใดข้างหนึ่งอย่างฉับพลัน
บางรายอาจมีอาการเวียนศีรษะร่วมด้วย
การรักษา
กรณีไม่ทราบสาเหตุ
กรณีที่ทราบสาเหตุ
รักษาตามอาการ เช่น อาการเวียนศีรษะ, อาการมีเสียงดังในหู
หรืออาจ ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน
ส่วนใหญ่ไม่สามารถรักษาประสาทหูที่เสื่อมให้คืนกลับมาได้
มุ่งรักษาเพื่อรักษาอาการอักเสบของประสาทหู และเซลล์ประสาทหู
1สัปดาห์ ถ้าการได้ยินไม่ดีขึ้น อาจพิจารณาให้มีการฉีดยาสเตียรอย
มักมีอาการหายได้เองสูง ส่วนใหญ่
ยาขยายหลอดเลือด จุดประสงค์เพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงที่หูเพิ่มมากขึ้น
ยาลดอาการเวียนศีรษะ (ถ้ามีอาการ)
การนอนพัก เพื่อลดการรั่วของน้ําในหูชั้นในเข้าไปในหูชั้นกลางนอนยกศีรษะสูง 30 องศา
ยาวิตามิน บํารุงประสาทหูที่เสื่อม
ป้องกันประสาทหูเสื่อมเพิ่มขึ้น
หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ หรือการกระทบกระเทือนที่หู
หลีกเลี่ยงการติดเชื้อที่หู
หลีกเลี่ยงยาที่มีพิษต่อหู
ลดอาหารเค็ม หรือเครื่องดื่มที่มีการกระตุ้นระบบประสาท
ถ้าเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ซีด เป็นต้น
หลีกเลี่ยงเสียงดัง
อาการและและอาการแสดง การได้ยินลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป เท่า ๆ กันทั้งสองข้าง อาจมีเสียงดังในหูร่วมด้วย
พยาธิสภาพ
สาเหตุ
อายุที่เพิ่มมากขึ้น เป็นปัจจัยส่งเสริม
เช่น
การสูบบุหรี่
การใช้ยา การสูบบุหรี่
มีโรคที่ทําให้เลือดไปเลี้ยงหูชั้นในลดลง
มี Atrophy ของ stria vascularis
มีการแข็งตัวของ basilar membrane จากสาเหตุ Oxidation stress จากเสียงดัง
มีการลดลงของ Sensory cells และ Supporting cells ใน organ of Corti, Spiral ganglion cells
สารต้านอนุมูลอิสระยังทําลาย mitochondrial DNA ในหูชั้นใน ทําให้เกิด Mutation/deletion mtDNA และการทํางานของ mitochondrial ลดลง
การรักษา
ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้เครื่องช่วยฟังเป็นหลัก
การจํากัดแคลอรี่ ช่วยลดปริมาณไขมันในร่างกาย
อาการและอาการแสดง
ภาวะแทรกซ้อน
สาเหตุ
ส่วนการอักเสบเรื้อรังนั้นอาจเกิดได้จากการเป็นโรคอื่น ๆ มาก่อน เช่น
มีภาวะภูมิแพ้ หอบหืด และโพรงอากาศข้างจมูกอักเสบ (Sinusitis)
Beta - hemolytic streptococci or Staphylococi) พบได้มากถึง
30% และเป็นพวกแบคทีเรียตัวอื่น รวมทั้งไวรัสด้วย
ไข้ ไอ เจ็บคอ กลืนลําบาก
รายที่ต่อมอีนอยด์อักเสบด้วย
อาการของช่องหูชั้นกลางอักเสบ อาจมี แก้วหูทะลุ สูญเสียการได้ยินถาวรได้ มีมาสตอยด์อักเสบ (Mastoiditis) ร่วมด้วย
การพูดเสียงขึ้นจมูก (Hyponasal) เกิดจากภาวการณ์อุตันใน ช่องจมูกและการหายใจทางปากแทนภาวะปกติ
ใจทางปากและเสียงดัง บางครั้งมีอาการนอนกรน เป็นผลมาจากภาวะที่ต่อมอื่นอยด์ บวมโตไปขวางการหายใจ
การผ่าตัด
Tonsidectomy + Adenoidectomy
มีการเกิดฝีรอบทอนซิลและรักษาจนหายอักเสบแล้วอย่างน้อย 6 สัปดาห์เพื่อรักษาโรคนี้ให้หายขาด
มีอาการกลืนลําบากมาก
มีการกลับเป็นซ้ําของภาวะทอลซิลอักเสบประมาณ 4 - 5 ครั้ง/ปี
มีภาวะบวมโตของต่อมทั้ง 2 นี้จนขัดขวางการหายใจ
รักษาด้วยยาแล้วไม่ได้ผล
มีอาการอื่น ๆร่วมด้วยภายหลังต่อมนี้บวมโต เช่น มีภาวะการณ์อักเสบของช่องหูชั้นกลาง สูญเสียการได้ยิน และไข้รูมาติค
การพยาบาลหลังผ่าตัด
อธิบายหลังผ่าตัดอาจมีอาการเจ็บคอ คอแข็ง อาเจียนภายใน 24 ชม แรกรวมถึงมีอาการเจ็บคอ ปวดหู นาน 7 – 10 วันหลังผ่าตัด
แนะนํางดการใช้เสียงการทํางานหรือกิจกรรมที่ต้องออกแรงมากๆ อย่างน้อย 7 วันเพื่อรอแผลหาย
ควรทานรสเปรี้ยวเผ็ดหรือร้อนเพราะจะ ระคายเคืองแผลในลําคอทําให้มีเลือดออก
หลีกเลี่ยงแหล่งชุมชนในช่วง 7 วันแรกหลังผ่าตัดป้องกันการรับเชื้อโรค เข้าสู่ร่างกาย
แนะนําให้รับประทานของเย็น เหรือ การเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อช่วยลดอาการบวมในลําคอ และทําให้กล้ามเนื้อคลายอาการเกร็งตัวจะบรรเทาอาการปวดได้
จมูก
เลือดกําเดา (Epistaxis)
Sinusitis
การได้กลิ่น (Smeling)
ริดสีดวงจมูก (Nasal polyp)
กลไกการได้กลิ่น
ในโพรงจมูกจะมีเซลล์รับสัมผัสกลิ่นซึ่งเป็นสารเคมีอยู่ทางตอนท้ายของ โพรงจมูก 7 ชนิด
โมเลกุลในอากาศ>ช่องโพรงจมูก >สัมผัสกับขน(cilia) ของเซลล์รับความรู้สึกในการดมกลิ่นซึ่งอยู่ที่เยื่อบุโพรงจมูกด้านบน>ไปไซแนปส์กับเซลล์ประสาทรับกลิ่น (Olfactory cell)>ซึ่งเปลี่ยนกลิ่นเป็นกระแสประสาท> วิ่งไปตามเส้นประสาทสมองคู่ที่ 1 (Olfactory nerve)+ Olfactory bulb>แปลผลที่ Temporal lobe ของ Cerebrum (ศูนย์ การดมกลิ่น)
อาการและอาการแสดง
การรักษา
สาเหตุ
การพยาบาลหลังการรักษา
ได้รับบาดเจ็บ การมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไป และการมี ความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด
การติดเชื้อรวมไปถึงการมีเนื้อ งอกในช่องจมูกด้วย
เป็นภาวะที่มีเลือดออกมาทางจมูก จากการฉีกขาดของหลอดเลือดที่เยื่อบุจมูก
เลือดออกจากผนังกั้นจมูกส่วนหน้า (Anterior Epistaxis)
เลือดออกจากผนังกั้นจมูกส่วนหลัง (Posterior Epistaxis)
พบบริเวณที่เรียกว่า Kiesselbach's plexus or little area
ซึ่งเป็นบริเวณที่มีหลอดเลือดที่มาเลี้ยงจมูกรวมอยู่มาก
พบมากในเด็กและคนหนุ่มสาว
มักพบ ในผู้สูงอายุที่มีโรค HT หรือโรคในกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือดทําให้ เลือดออกง่ายหยุดยาก
Posterior Epistaxis
Anterior Epistaxis
การใช้สารเคมีหรือไฟฟ้า จี้สกัดจุดที่มีเลือดออก
การใช้ Anterior nasal packing คือ การใส่ผ้ากอซที่มียา ปฏิชีวนะและสารพวก Gel foam (ใช้หล่อลื่นเวลานําออก) เพื่อไปอุดตําแหน่งเลือดออก
Arterial ligation คือ การผูกหลอดเลือดแดงเพื่อควบคุมภาวะ เลือดออก
Arterial Embolization
Posterior nasal packing คือ การอุดในช่องคอหลังโพรงจมูก โดยใช้ gauze tanpon หรือใช้ balloon หรือ สาย Foley's ซึ่งอาจเกิด ภาวะแทรกซ้อนกับผู้ป่วยต้องดูแลอย่างใกล้ชิด
Laser Photocoagulation
Skin graft to nasal septum and Lateral nasal wall
ถ้ามีอาการบวมบริเวณจมูกมากให้ประคบเย็น และให้ยาแก้ปวดร่วมกับ
จัดท่านอนศีรษะสูง 45 - 60 องศา เพื่อลดอาการบวมและให้พักผ่อน ให้เพียงพอ
ประเมินเลือดออกโดยสังเกตผ้ากอซ ว่ามีเลื่อนหลุดลงไปในลําคอหรือไม่ ถ้าเลื่อนต้องตัดให้สั้น แต่ห้ามดึงผ้ากอซออกเอง
ห้ามสั่งน้ํามูกหรือแกะสะเก็ดแผล
อธิบายให้ทราบว่า อาจมีอาการหูอื้อได้ แต่จะหายเมื่อนําตัวกดห้าม เลือดออก ซึ่งจะเอาออกหลังใส่ 48 - 72 ชั่วโมงแต่รายที่มีเลือดออกมาก อาจใส่นาน 7 วัน
แนะนําให้อ้าปากเวลาไอจาม
หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนบริเวณจมูก
สิ่งตรวจพบ:ใช้ไฟฉายส่องดูรูจมูก มักพบมีติ่งเนื้อเมือกสีค่อนข้างใสอุดกั้นอยู่ในรูจมูก
อาการแทรกซ้อน:ส่วนมากทําให้มีอาการแน่นจมูกน่ารําคาญ บางรายอาจมีไซนัสอักเสบ
อาการ
การรักษา
สาเหตุ
การเป็นหวัดเรื้อรังเช่น หวัดจากการแพ้ หรือการติดเชื้อของ เยื่อจมูก
เป็นเรื้อรังเป็น แรมเป็นปี บางครั้งอาจไม่มีความรู้สึกในการรับกลิ่น
มีน้ํามูกออกเป็นหนอง ถ้าติงเนื่อเมือกอุดกั้นรูเปิดของไซนัสก็อาจทําให้เกิดมีอาการปวดที่หัวคิ้วหรือ โหนกแก้ม
มีอาการคันจมูก แน่นจมูก หายใจไม่สะดวก พูดเสียงขึ้นจมูก
การรักษาโรคที่เกิดร่วมและการป้องกันการเกิดซ้ํา
กําจัดริดสีดวงจมูกออก
Medical Polypectomy เป็นการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ พ่นจมูก เพื่อทําให้ยุบตัวลง
Surgical Polypectomy
Nasal polyp ทําผ่าตัด Polypectomy โดยใช้ Snaring (คือการ ใช้ลวดคล้องและดึงออก) หรือทํา ESS (Endoscopic Sinus Surgery)
Antrochonal polyviainea Caldwell – luc operation
แพทย์ต้องหาสาเหตุให้พบไม่เช่นนั้นจะต้องทําผ่าตัดซ้ําหรือรักษาซ้ํา ๆได้
แนะนําการทําความสะอาดโพรงจมูกโดยน้ําเกลือปราศจากเชื้อเองทุกวัน และมาพบแพทย์เพื่อให้ล้างโพรงจมูกทุกสัปดาห์เพื่อให้โพรงจมูกทํางานได้ดีขึ้น
การให้ยาเพื่อป้องกันการเกิดซ้ํา ให้ยาเพรดนิโซโลนนาน 5 - 7 วัน โดยให้หลังผ่าตัดแล้ว 1 - 2 สัปดาห์ ร่วมกับให้ยาสเตียรอยด์พบ ซึ่งอาจพ่นไปนานถึง 3 เดือน
อาการ
การรักษา
สาเหตุ
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
แบ่งเป็น 4 คู่
การพยาบาลหลังผ่าตัด
Frontal sinus อยู่ที่หัวคิ้วทั้ง 2 ข้าง ในบางรายพบว่ามีเพียงช่องเดียว หรือไม่มีเลย บางรายก็มีถึง 3 ช่อง
Ethmoidal sinus อยู่ที่ซอกตาระหว่างกระบอกตา และจมูกเป็นช่อง เล็ก ๆ ติดต่อกันอยู่มีข้างละประมาณ 2-10 ช่อง
Maxillary sinus มีขนาดใหญ่ที่สุด อยู่ที่แก้มทั้ง 2 ข้าง
Sphenoidal sinus อยู่ที่หลังจมูกด้านบนสุด ติดกับฐานของสมอง
สภาพของจมูก เช่น การอักเสบในจมูก เนื้องอกในจมูก แผ่นกั้นช่องจมูกคด
สาเหตุโดยตรง ได้แก่ โรคที่มีอาการนําทางจมูก ฟันผุและการถอนฟัน การสั่งน้ํามูก-จามอย่างรุนแรง การดําน้ํา
สุขภาพทั่วไปของผู้ป่วยไม่ดี เช่น ภูมิต้านทานต่ํา เป็นโรคเลือด เบาหวาน
คัดจมูก
มีของเหลวเป็นหนองไหลออกจากช่องจมูก
อาการปวดกดเจ็บบริเวณโพรงอากาศข้างจมูก
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีจะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น โพรงอากาศข้างจมูกอักเสบเรื้อรัง
รักษาด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะและยาที่รักษาตาอาการ
ไม่นิยมให้ยาหยอดจมูก
การป้องกันการติดเชื้อ กระตุ้นให้ผู้ป่วยดูแลทําความสะอาดช่องปาก บ้วนปากด้วยน้ําเกลือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการแปรงฟันบริเวณ แผล
หลีกเลี่ยงการออกกําลังกาย การยกของ หรือทํางานหนัก ภายใน 10 - 14 วันแรกหลังผ่าตัด
ประคบเย็นบริเวณจมูกเพื่อบรรเทาอาการปวด
ไม่ไอจามแรงๆ ให้จามแบบเปิดปากเพื่อลดแรงดันที่จะ เข้าสู่โพรงอากาศข้างจมูก ซึ่งทําให้แผลผ่าตัดในช่องปากแยกได้
จัดท่านอนในท่าศีรษะสูง40 - 45 องศาเพื่อลดอาการบวมบริเวณจมูกและ แก้มเพื่อให้หายใจได้สะดวกขึ้น
เกิดความเจ็บปวดในการผ่าตัดช่องจมูก
สี่ยงต่อภาวะติดเชื้อจากมีของเหลวคั่งค้างในจมูก
เกิดภาวะการหายใจไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากมีภาวะช่องจมูกบวมหรืออุดตัน
การเปลี่ยนแปลงของการรับรู้ต่าง ๆ เช่น การมองเห็นเปลี่ยนไป เนื่องจาก อันตรายจากการกระทบกระเทือนต่อระบบต่าง ๆในการผ่าตัดบริเวณจมูก
เสี่ยงต่อภาวะพร่องของสารน้ําและสารอาหารเนื่องจากความไม่สมดุลของสารน้ําร่างกายและการเสียเลือดออกทางช่องจมูก
ประกอบด้วย 3 ชั้น
ชั้นกลาง
ชั้นใน
ชั้นนอก
ประกอบด้วย
เป็นชั้นของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
เปลือกลูกตา (Sclera) ทําหน้าที่ห่อหุ้มลูกตาเพื่อรักษาทรงของลูกตา
ป้องกันอันตรายให้แก่เนื้อเยื่อชั้นในผนังลูกตาชั้นนี้จะทึบแสง
กระจกตา (Cornea) มีลักษณะโปร่งแสงทําหน้าที่หักเหแสงร่วมกับเลนส์ตา และช่วยในการโฟกัสภาพ
ประกอบด้วย
มีหลอดเลือดจํานวนมาก
ม่านตา (Iris) เป็นแผ่นบาง ๆ ยืดหดได้ อยู่หลังกระจกตาหน้าเลนส์
Ciliary body เป็นส่วนหน้าสุดของ choroid ทําหน้าที่สร้างของเหลวที่ เรียกว่า aqueous humor ทําหน้าที่ให้อาหารแก่เลนส์และกระจกตา ซึ่งไม่มีเลือดมาเลี้ยงโดยตรง
Choroid เป็นเยื่อบาง ๆ อยู่ ระหว่าง sclera กับจอตา เป็นชั้นที่มี หลอดเลือดจํานวนมากและมี เซลล์เม็ดสี (pigmented cell) จํานวนมาก
จอประสาทตา (Retina) เป็นส่วนหลังสุดของลูกตา เป็นเนื้อเยื่อที่ ประกอบด้วยเซลล์ที่มีความไวต่อแสงมาก มีหน้าที่รับภาพจากแก้วตา
แก้วตา (Lens) เป็นอวัยวะที่ไม่มีหลอดเลือดมาเลี้ยง ไม่มีเส้นประสาทมากํากับ อาศัยอาหารจากสารน้ําในลูกตาและหุ้นตา ทําหน้าที่ ช่วยกระจกตาทําหน้าที่ในการหักเหของแสงให้
วุ้นตา (Vitreous) เป็นแหล่งอาหารแก้วตา เนื้อเยื่อ Ciliary body และจอตา
การตรวจศีรษะ
การคลํา
การดู
ผม:การกระจายของเส้นผม ดูลักษณะการแห้ง กรอบขาด ผมร่วงหรือเป็นมัน หรือมีเหาหรือไม่
หนังศีรษะ:ดูการอักเสบ เป็นแผล รังแค ก้อน หรือสิ่ง ผิดปกติอื่น ๆ
ศีรษะ:ดูรูปร่าง ขนาดและลักษณะความสมมาตร ของศีรษะ
เริ่มจากด้านหน้าไล่ ไปถึงท้ายทอย อาจคลําต่อมน้ําเหลืองบริเวณท้ายทอย (Occipital lymph node)
ในเด็กคลํารอยต่อของกระดูก กะโหลกศีรษะ (Sagital Suture) ว่าแยกห่างจากกันหรือเกย ซ้อนกัน หรือกระหม่อมยุบไปหรือไม่ ปกติจะคลําไม่พบก้อนไม่ พบต่อมน้ําเหลือง
ผู้ตรวจยืนด้านหน้าของผู้รับบริการ ใช้ปลายนิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง คลําวนเบา ๆ ให้ทั่วศีรษะ
การตรวจใบหน้า
การดู สังเกตความสมมาตรของใบหน้า ความสมดุลของอวัยวะบนใบหน้า ลักษณะของผิวหน้า อาการบวม รอยโรค ตุ่ม ผื่น การแสดงออกของใบหน้า
ปกติ ใบหน้าทั้งสองต้องสมมาตรกัน ไม่บิด เบี้ยว สีผิวตามเชื้อชาติ ไม่มีอาการบวม
คิ้ว ดูการกระจายตัวของขนคิ้ว ผิวหนังว่าอักเสบ หรือไม่ เป็นขุยหรือไม่
ลูกตา ดูตําแหน่งของลูกตา และเปลือกตาดูความชุ่มชื้น ดูความนูนของลูกตา
ปกติขณะลืมตา ขอบของเปลือกตาบนจะคลุม รอยต่อของตาดําและตาขาว (Limbus)
การตรวจดูภาวะตาโปน (Exopthalmos) ให้ผู้รับบริการนอนผู้ตรวจ อยู่ด้านเหนือศีรษะ สังเกตอาการว่ามีตาโปนมากกว่าปกติหรือไม่ ถ้ามีจะ พบเปลือกตาบนไม่คลุมของตาดํา จึงเห็นตาขาวลอยอยู่เหนือตาดํา
ขนตา สังเกตว่ามีม้วนเข้าข้างในหรือไม่
รูม่านตาและแก้วตา ใช้ไฟฉายส่องตรงกลาง สังเกตว่ารูม่านตาเป็นวงกลมหรือไม่ ปกติรูม่านตาจะเป็นวงกลม สมมาตรกันทั้งสองข้าง ส่วนแก้วตาให้มองผ่านรูม่านตา ถ้าปกติ จะเห็นเป็นสีดําและใส ถ้ารูม่านตาเป็นลักษณะขุ่นจะเป็นต้อ
ต้อหิน (GLAUCOMA)
เมื่อมีแรงดันลูกตาเพิ่มมากขึ้นจะทําให้ประสาทตาถูกทําลายส่งผลให้เกิด การสูญเสียประสิทธิภาพของลานสายตา และสมรรถภาพของการมองเห็น
สาเหตุ
ปกติค่าความดันของลูกตาอยู่ประมาณ 10 – 20 mmHg
ชนิดและอาการ
เป็นกลุ่มโรคที่มีลักษณะร่วม ได้แก่ มีความดันในลูกตา (IOP) มีขั้วตาผิดปกติ
และสูญเสียลานสายตา (Visual field)
การใช้ยาที่มีสารฮอร์โมนพวกคอร์ติโคสเตียรอยด์ติดต่อเป็นเวลานาน
มีต้อกระจกสุกหรือต้อกระจกสุกงอม
มีความเสื่อมของเนื้อเยื่อภายในลูกตา
เนื้องอกในลูกตา
ความผิดปกติของ trabecular meshwork ตั้งแต่กําเนิด
อุบัติเหตุในตา
มีการคั่งของน้ําเอเควียสจากมีโครงสร้างตาผิดปกติ
ต้อหินทุติยภูมิ (Secondary glacoma)
ต้อหินแต่กําเนิด (Congenital glacoma)
ต้อหินปฐมภูมิ (Primary glacoma)
ต้อหินชนิดมุมปิด (angle - closure glacoma)
ต้อหินชนิดมุมเปิด (open – angle glacoma)
อาการและอาการแสดง
ต้อหินระยะเฉียบพลัน
ต้อหินระยะเรื้อรัง
มีอาการปวดศีรษะมาก ปวดตามากสู้แสงไม่ได้ ตามัวลงคล้ายหมอกมาบัง บางคนมองเห็นแสงสีรุ้งรอบ ๆ ดวงไฟ
การรักษา
ต้องรีบรักษาเพื่อลดความดันในลูกตา ก่อนที่จะเกิดพยาธิสภาพเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรกับ ประสาทตา
โดยแพทย์มักให้ยาหยอดตา และยารับประทานทางปากหรือยา ฉีด จนความดันลดลงสู่อาการปกติ
การเห็นดีขึ้นจึงนัดผ่าตัด
การรักษา
ความดันของลูกตาสูงขึ้นเล็กน้อย ผู้ป่วยอาจไม่ รู้สึกอาการอะไร บางคนรู้สึกมึนศีรษะ ตาพร่ามัว รู้สึกเพลียตา ลานสายตาจะค่อย ๆ แคบลง
แพทย์จะให้รักษาเพื่อมิให้ยาหยอดตาและยา รับประทาน เพื่อเพิ่มการไหลออกหรือลดการผลิตน้ําเอเควียส
ควบคุมความ ดันลูกตาให้อยู่ในระดับปกติพร้อมนัดมาตรวจเป็นระยะ ๆ
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากตามัว
ขาดความรู้ก่อนและหลังการยิงเลเซอร์ (Laser trabeculoplasty)
ขาดความรู้ในการปฏิบัติตัวเมื่อเป็นต้อหิน
ผู้ป่วยมีภาวะความดันในลูกตาสูงขึ้น
การพยาบาลผู้ป่วยต้อหิน
สอนวิธีการหยอดตาอย่างมีประสิทธิภาพ
แนะนําให้ใส่แว่น หลีกเลี่ยงการขยี้ตา หลังทําเลเซอร์
การเตรียมตัวก่อนการยิงเลเซอร์
หากมีอาการ ตาแดง น้ําตาไหล ปวดตามาก ตามัวลง หรือตาสู้แสงไม่ได้ให้มาตรวจก่อนวันนัด
อธิบายให้เข้าใจเกี่ยวกับโรคและการรักษา
ต้อกระจก (Cataract)
อาการและอาการแสดง
ชนิดของการผ่าตัด
สาเหตุ
เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ โดนกระทบกระเทือนที่ลูกตา หรือโดนของมีคมที่มแทงทะลุตาและไปโดยเลนส์ตา โรคเบาหวาน ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ พาราไทรอยด์ พิษสารเคมี
ความผิดปกติโดยกําเนิด (Congenital cataract)
การเสื่อมตามวัย (Senile cataract)
ต้อกระจกที่สุกแล้ว (mature cataratc) เป็นระยะที่ตาขุ่นทั้งหมด แก้วตามีความแข็งตัวในขนาดที่พอดี ความขุ่นของแก้วตากระจายไปทั่ว
ต้อกระจกที่สุกเกินไป (hypermature cataract) เป็นต้อกระจกที่สุก มากจนขนาดเลนส์เล็กลงและมีเปลือกหุ้มเลนส์ที่ย่น เกิดจากน้ําซึมออกนอกเซลล์
ต้อกระจกที่ยังไม่สุก (immature cataratc) เป็นระยะที่ตาขุนไม่มาก
มองเห็นภาพซ้อน เนื่องจากแก้วตาที่อุ่นจะทําให้การหักเหของแสงเปลี่ยนไป
ความสามารถในการมองเห็นลดลง รู้สึกว่าสายตาสั้นลง เพราะการหักเห
ของแสงที่เปลี่ยนไปจึงทําให้มองได้ชัดเจนในระยะที่ใกล้
ตามัว ไม่รู้สึกเจ็บปวด โดยเฉพาะมีอาการตามัวขึ้นในที่สว่าง เนื่องจากในที่มีแสงสว่างรูม่านตาจะเล็กลง ส่วนอยู่ในที่มืดจะเห็นชัดขึ้น เพราะรูม่านตาขยาย
มองผ่านรูม่านตา (pupil) จะเห็นแก้วตาขุ่นเมื่อส่องดูด้วยไฟฉาย
Extracapsular cataract extraction (ECCE)
Phacoemulsification with Intraocular Lens (PE C IOL)
Intracapsular cataract extraction (ICE)
การผ่าตัดนําแก้วตาที่ขุ่นพร้อมทั้งเปลือกหุ้มเข้าตาทั้งหมดในเวลาเดียวกัน
การผ่าตัดเอา แก้วตาที่อุ่นออกพร้อมทั้งเปลือกหุ้มเข้าตาด้านหน้า โดยเหลือเปลือกหุ้ม แก้วตาด้านหลัง
การผ่าตัดต้อกระจกโดยใช้คลื่นเสียงหรืออัลตราซาวด์ที่มีความถี่สูงเข้าไป สลายเนื้อแก้วตาแล้วดูดออกมาทิ้ง
ข้อดี แผลผ่าตัดเล็กกว่า การเกิดสายตาเอียงหลังผ่าตัดน้อยลงระยะพักฟื้นหลังการผ่าตัดสั้นกว่า
ข้อเสีย ต้องอาศัยความชํานาญของแพทย์ต้อง ใช้เครื่องมือราคาแพง ต้องใช้สารหล่อลื่น ช่วยในระหว่างผ่าตัด มิฉะนั้นเครื่องอัลตราซาวด์อาจสั่นไป ทําลายกระจกตาได้
จอประสาทตาลอก
(RETINAL DETACHMENT)
สาเหตุ
อาการและอาการแสดง
แบ่งเป็น
การรักษา
.จอประสาทตาลอกชนิดที่เกิดจากการดึงรั้ง
จอประสาทตาลอกชนิดไม่มีรูขาดที่จอประสาทตา
จอประสาทตาลอกชนิดที่เกิดจากรูหรือรอยฉีกขาดที่จอประสาทตา
การผ่าตัดเอาแก้วตาออกชนิด intracapsular cataract extraction ได้ถึงร้อยละ 10-20
การได้รับอุบัติเหตุถูกกระทบกระเทือนบริเวณที่ตา หรือของแหลมทิม แทงเข้าตาถึงชั้นของจอประสาทตา
มีการเสื่อมของจอประสาทหรือน้ําวุ้นตา
มีอาการมองเห็นแสงจุดดําหรือเส้นลอยไปลอยมา
มองเห็นคล้ายม่าน บังตา (Scotoma) มีอาการตามัวร่วมด้วย
มองเห็นแสงวูบวาบคล้ายฟ้าแลบ (flashes of light)
Cryocoagulation (การจี้ด้วยความเย็น) บริเวณรอบ ๆ รูหรือรอยฉีกขาดของจอประสาทตา เพื่อช่วยยึดให้จอประสาทตากลับเข้าที่ จะทําเมื่อจอประสาทตาฉีกขาดเป็นรู
การฉีดก๊าซเข้าไปในตา (Pneumatic retinopexy) เป็นวิธีการฉีดก๊าซ เข้าไปในช่อ ติดที่เดิม
การพยาบาล
ระยะหลังผ่าตัด
ระยะก่อนผ่าตัด
ดูแลให้ผู้ป่วย Absolute bed rest
แนะนําผู้ป่วยหลีกเลี่ยงขยี้ตา ส่ายศีรษะและใบหน้าแรง การ อาเจียน
แนะนําผู้ป่วยห้ามก้มหน้า
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรค แผนการรักษา การผ่าตัด ให้ผู้ป่วยทราบเพื่อ ลดความวิตกกังวล
เน้นการประเมินและป้องกันอาการเริ่มต้นของความ ดันลูกตาสูง
ดูแลให้ได้รับการวัดความดันลูกตาจากแพทย์หลังผ่าตัดประมาณ 4 6 ชั่วโมง
ประเมินอาการเริ่มต้นของภาวะความดันลูกตาสูง ได้แก่ มีอาการ ปวดและรับประทานยาแล้วไม่ทุเลาลง
ดูแลให้นอนคว่ําหน้าหรือนั่งคว่ําหน้าให้ได้อย่างน้อยวันละ 16 ชั่วโมงเพื่อให้แก๊สที่ใส่ไว้ในขณะผ่าตัดไปกดบริเวณจอประสาทตาที่ลอกหลุด ซึ่งจะช่วยให้จอประสาทตาติดกลับเข้าที่ได้
ในผู้ป่วยที่ต้องมาฉีดแก๊สหลายครั้ง อาจมีความท้อแท้หรือมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการมองเห็น ควรให้การสนับสนุนด้านกําลังใจ
ดูแลให้รับประทานอาหารอ่อนเพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนจาก การออกแรงเคี้ยวอาหาร
ประเมินอาการท้องผูก
การพยาบาล (เมื่อกลับบ้าน)
ทําความสะอาดใบหน้าโดยใช้ผ้าขนหนูชุบน้ําบิดหมาด เช็ดหน้าเบา ๆ เฉพาะข้างที่ไม่ได้ผ่าตัด ส่วนตา ข้างที่ทําการผ่าตัดให้เช็ดวันละครั้งหลังตื่นนอน (ก่อนเช็ดควรล้างมือให้ สะอาดและระวังอย่าให้น้ําหรือฝุ่นละอองเข้าตา)
หลังการผ่าตัด 2 เดือนแรก ควรหลีกเลี่ยงการออกกําลังกายที่หัก โหม เช่น การกระโดด และไม่ควรยกของหนักหรือทํางานหนักที่อาจ กระทบกระเทือนถึงตาได้ เช่น ขุดดิน ซักผ้า ตําน้ําพริก เป็นต้น
อันตรายจากสารเคมี (Chemical injury)
อาการและ อาการแสดง
การรักษา
ชนิดของสารเคมีที่พบ
สารกรด
สารด่าง
ปวดแสบปวดร้อนระคายเคืองตามาก
การมองเห็นจะลดลงถ้าสารเคมีเข้าตาจํานวนมาก
สายตาสู้แสงไม่ได้ ทําให้ผู้ป่วยพยายามจะหลับตาตลอดเวลา
หากเกิดภาวะ Corneal abrasion อาจได้รับการป้ายยา terramycin ointment และปิดตาแน่น (pressure patch) ไว้ 24 ชั่วโมง และนัดมาประเมินซ้ําอีกครั้ง
แพทย์อาจให้ยา ช่วยลดการอักเสบในตา ยาป้องกันการติดเชื้อ และยาที่ช่วยในการหายของ แผลเปิดที่กระจกตา ยาลดความดันตา
เมื่อถึงโรงพยาบาลจะได้รับการล้างตามีการถ่างขยายเปลือกตาแล้วหยอดยาชาก่อนเพื่อให้สามารถล้างตาได้สะดวก ขึ้นจนกระทั่งความเป็นกรดด่างในตาหมดไป
การขูดเซลล์กระจกตาที่ตายแล้วออก และอาจมีการปลูกถ่ายเยื่อหุ้มรกเพื่อปิดแผล หรือลดการเกิดแผลเป็นบริเวณเยื่อบุตา การปะกระจกตาที่ทะลุ หรือการเปลี่ยนกระจกตา
ล้างตาด้วยน้ําสะอาดปริมาณมากอาจมากกว่า 5 ลิตร ตั้งแต่สัมผัสสารเคมีก่อนถึงโรงพยาบาล
การพยาบาล
ล้างตาให้ผู้ป่วยโดยเร็วที่สุด โดยใช้ Normal saline หรือ sterile water โดยใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาที
ดูแลบรรเทาอาการปวดกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการปวดตามาก และดูแลให้ ผู้ป่วยได้รับยาครบตามแผนการรักษา
เลือดออกในช่องหน้าม่านตา (hyphenma)
เกิดจากการได้รับบาดเจ็บจากวัตถุไม่มีคมบริเวณตา ทําให้มีการฉีกขาดของเส้นเลือดบริเวณม่านตา ทําให้มีเลือดออก
แบ่งระดับเป็น
Grade 2 มีเลือดออก 1/3 ถึง 1/2 ของช่องหน้าม่านตา
Grade 3 มีเลือดออก 1/2 ถึงเกือบเต็มช่องหน้าม่านตา
Grade 1 มีเลือดออกน้อยกว่า1/3 ของช่องหน้าม่านตา
Grade 4 มีเลือดออกเต็มช่องหน้าม่านตา
Microscopic คือมองไม่เห็นระดับเลือดในช่องหน้าม่านตาด้วยตาเปล่า สามารถตรวจพบจากเครื่องมือแพทย์ที่เรียกว่า Stit lamp
ภาวะแทรกซ้อน
.Increase intraocular pressure
Blood stain Cornea
Rebleeding
การรักษา
อาจได้รับยาสเตียรอยด์ หยอดเพื่อช่วยป้องกันการเกิด rebleeding เช่นกัน เนื่องจากช่วยลดความระคายเคืองและการคั่งของเส้นเลือด
รับยาแก้ปวด paracetamol และ diazepam เพื่อให้ได้พักผ่อน ประเมินอาการปวดตาแต่หากเลือดไม่ถูกดูดซึมไปในเวลาหรือมีอาการของ Blood stain cornea หรือต้อหินชนิดแทรก ซ้อนเกิดขึ้น ควรรีบทําผ่าตัด paracentesis โดยการเจาะเข้าในช่องหน้าม่านตา เพื่อลดความดันของนัยน์ตา และเลือดจะได้มีทางไหลออก หรือการใช้ normal saline solution เข้าไปล้างในช่องหน้าม่านตา
ปิดตาทั้งสองข้างเพื่อให้ได้พักผ่อนลดโอกาสการเกิด rebleeding และให้เลือดได้ดูดซึมกลับ
Absolute bed rest โดยให้นอนศีรษะสูงประมาณ 30-45 องศา เพื่อป้องกันการเกิด blood stain
แผลที่กระจกตา (Corneal ulcer)
ความผิดปกติของจอประสาทตาจากโรคเบาหวาน
(DIABETIC RETINOPATHY)
ปัจจัย
การมีความผิดปกติที่ไตจากเบาหวาน
ความดันโลหิตสูง
การควบคุมระดับน้ําตาล
โรคไขมันในเลือดสูง
ความยาวนานของการเป็นโรคเบาหวาน
การตั้งครรภ์
อาการและอาการแสดง
เบาหวานระยะแรก (Non-Proliferation diabetic retinopathy=NPDR)
เบาหวานระยะรุนแรง (Proliferation diabetic retinopathy=PDR)
การรักษา
การฉีดยาเข้าในน้ําวุ้นตา (Intravitreal pharmacologic injection)
การผ่าตัดน้ําวุ้นตา (Vitrectomy) กรณีที่โรครุนแรงจนมีเลือดออกในน้ําวุ้นตา
การรักษาด้วยการยิงเลเซอร์ (Panretinal photocoagulation=PRP)
การพยาบาล
แนะนําให้ผู้ป่วยควบคุมระดับน้ําตาลให้คงที่ เพื่อลดอัตราการเกิด ความผิดปรกติของจอประสาทตาจากโรคเบาหวาน
ดูแลแนะนําให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานได้รับการตรวจจอประสาทตาอย่าง น้อยปีละ 2 ครั้ง
ออกกําลังกาย รับประทานยาหรือฉีดยาลดระดับน้ําตาลในเลือด อย่างสม่ําเสมอ
แบ่งเป็น 3 กลุ่ม
การบาดเจ็บ
การพยาบาลเป็นสิ่งสําคัญที่จะทําให้ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน
ความผิดปกติที่เกิดจากการติดเชื้อ
อาการและอาการแสดง
การพยาบาล
สาเหตุ
กระจกตามีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคต่ํา เช่น การใช้ยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์นานๆ
มีความผิดปกติของกระจกตา ได้แก่ โรคขาดวิตามินเอ (Vitamin A deficiency) การแพ้ยา (Stevens Johnson)
อุบัติเหตุ (trauma) ได้แก่ ถูกใบข้าวหรือใบอ้อยที่มบริเวณกระจก
ตาปิดไม่สนิทขณะหลับ (Lagophthalmos) เนื่องจากเป็นอัมพาตใบหน้าครึ่งซีกทําให้ผิวของกระจกตาดําแห้ง ติดเชื้อง่าย
ความผิดปกติบริเวณหนังตา เช่น ภาวะหนังตาม้วนเข้า (entropion) ภาวะขนตาทิมแทงตา (trichiasis)
โรคที่ทําให้ภูมิคุ้มกันทั้งร่างกายบกพร่องลง ติดเชื้อที่ กระจกตาได้ง่ายขึ้น
การใส่เลนส์สัมผัส (Contact lens) ที่ไม่สะอาดพอใช้น้ํายาล้างแช่ ไม่ถูกต้องก็จะทําให้มีเชื้อโรคเกาะติดกับเลนส์ มีโอกาสที่จะเข้าไปในกระจก ตาโดยตรง
การรักษา
เคืองตา (foreign body sensation)
กลัวแสง (photophobia)
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา (pain)
น้ําตาไหล (lacrimation)
ตาแดงแบบใกล้ตาดํา (ciliary injection)
ตาพร่ามัว (blur vision)
กระจกตาขุ่น (hazy Cornea)
อาจพบหนองในช่องหน้าม่านตา
กําจัดสาเหตุที่ทําให้เกิดแผลบริเวณกระจกตาที่เป็นสาเหตุอื่น เช่น ภาวะตาปิดไม่สนิทขณะหลับ (Lagophthalmos) ความผิดปกติบริเวณหนังตา
ส่งเสริมให้เกิดการแข็งแรงของร่างกายเช่น ให้รับประทานวิตามินซี รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เป็นต้น
หาเชื้อโรคที่ทําให้เกิดการติดเชื้อ ได้แก่ การขูดเนื้อเยื่อของแผลไป ย้อมและเพาะเชื้อ (Scrape lesion)
บรรเทาอาการปวดโดยใยาแก้ปวด paracetamol หากปวดมากพิจารณาให้ยากลุ่ม NSAID ในภาวะปวดตามากจากม่านตาและซีเรียรีบอดีมีการหดเกร็ง อาจได้รับยา Atropine eye drop เพื่อลดอาการปวดโดยการช่วยลดปฏิกิริยาต่อแสงของรูม่านตา
หยอดตาตามแผนการรักษาอย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ช่วงแรกอาจต้องหยอดทุก 30 นาที
แนะนําผู้ป่วยห้ามขยี้ตา อย่าให้น้ําเข้าตา นอนตะแคงข้างที่มีพยาธิสภาพ เพื่อป้องกันการติดเชื้อสู่ตาข้างที่ไม่มีพยาธิสภาพ
เช็ดตาวันละ 1-2 ครั้ง โดยครอบเฉพาะพลาสติกครอบตา (Eye shield) ไม่ต้องปิดผ้าปิดตา (Eye pad)
ให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนและได้รับอาหารที่เพียงพอ
แยกเตียง ของใช้ และยาหยอดตาของผู้ป่วยใช้เป็นส่วนตัว เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย
ตรวจเยี่ยมผู้ป่วยสม่ําเสมอ เพื่อป้องกันภาวะพรากความรู้สึก (sensory deprivation) ในผู้ป่วยที่เหลือตาข้างเดียว
น.ส.พิชญานิน นิสภา 62111301059
เลขที่ 57 รุ่น 37 ปี 2