Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
อวัยวะรับสัมผัส, น.ส.พิชญานิน นิสภา 62111301059
เลขที่ 57 รุ่น 37 ปี 2 -…
อวัยวะรับสัมผัส
ตา
ประกอบด้วย 3 ชั้น
ชั้นกลาง
ประกอบด้วย
-
Ciliary body เป็นส่วนหน้าสุดของ choroid ทําหน้าที่สร้างของเหลวที่ เรียกว่า aqueous humor ทําหน้าที่ให้อาหารแก่เลนส์และกระจกตา ซึ่งไม่มีเลือดมาเลี้ยงโดยตรง
Choroid เป็นเยื่อบาง ๆ อยู่ ระหว่าง sclera กับจอตา เป็นชั้นที่มี หลอดเลือดจํานวนมากและมี เซลล์เม็ดสี (pigmented cell) จํานวนมาก
-
ชั้นใน
จอประสาทตา (Retina) เป็นส่วนหลังสุดของลูกตา เป็นเนื้อเยื่อที่ ประกอบด้วยเซลล์ที่มีความไวต่อแสงมาก มีหน้าที่รับภาพจากแก้วตา
แก้วตา (Lens) เป็นอวัยวะที่ไม่มีหลอดเลือดมาเลี้ยง ไม่มีเส้นประสาทมากํากับ อาศัยอาหารจากสารน้ําในลูกตาและหุ้นตา ทําหน้าที่ ช่วยกระจกตาทําหน้าที่ในการหักเหของแสงให้
-
ชั้นนอก
ประกอบด้วย
เปลือกลูกตา (Sclera) ทําหน้าที่ห่อหุ้มลูกตาเพื่อรักษาทรงของลูกตา
ป้องกันอันตรายให้แก่เนื้อเยื่อชั้นในผนังลูกตาชั้นนี้จะทึบแสง
-
-
การตรวจศีรษะ
การคลํา
-
ในเด็กคลํารอยต่อของกระดูก กะโหลกศีรษะ (Sagital Suture) ว่าแยกห่างจากกันหรือเกย ซ้อนกัน หรือกระหม่อมยุบไปหรือไม่ ปกติจะคลําไม่พบก้อนไม่ พบต่อมน้ําเหลือง
-
-
การตรวจใบหน้า
การดู สังเกตความสมมาตรของใบหน้า ความสมดุลของอวัยวะบนใบหน้า ลักษณะของผิวหน้า อาการบวม รอยโรค ตุ่ม ผื่น การแสดงออกของใบหน้า
-
-
ลูกตา ดูตําแหน่งของลูกตา และเปลือกตาดูความชุ่มชื้น ดูความนูนของลูกตา
ปกติขณะลืมตา ขอบของเปลือกตาบนจะคลุม รอยต่อของตาดําและตาขาว (Limbus)
การตรวจดูภาวะตาโปน (Exopthalmos) ให้ผู้รับบริการนอนผู้ตรวจ อยู่ด้านเหนือศีรษะ สังเกตอาการว่ามีตาโปนมากกว่าปกติหรือไม่ ถ้ามีจะ พบเปลือกตาบนไม่คลุมของตาดํา จึงเห็นตาขาวลอยอยู่เหนือตาดํา
-
รูม่านตาและแก้วตา ใช้ไฟฉายส่องตรงกลาง สังเกตว่ารูม่านตาเป็นวงกลมหรือไม่ ปกติรูม่านตาจะเป็นวงกลม สมมาตรกันทั้งสองข้าง ส่วนแก้วตาให้มองผ่านรูม่านตา ถ้าปกติ จะเห็นเป็นสีดําและใส ถ้ารูม่านตาเป็นลักษณะขุ่นจะเป็นต้อ
ต้อหิน (GLAUCOMA)
เมื่อมีแรงดันลูกตาเพิ่มมากขึ้นจะทําให้ประสาทตาถูกทําลายส่งผลให้เกิด การสูญเสียประสิทธิภาพของลานสายตา และสมรรถภาพของการมองเห็น
-
-
-
เป็นกลุ่มโรคที่มีลักษณะร่วม ได้แก่ มีความดันในลูกตา (IOP) มีขั้วตาผิดปกติ
และสูญเสียลานสายตา (Visual field)
อาการและอาการแสดง
-
ต้อหินระยะเรื้อรัง
-
ความดันของลูกตาสูงขึ้นเล็กน้อย ผู้ป่วยอาจไม่ รู้สึกอาการอะไร บางคนรู้สึกมึนศีรษะ ตาพร่ามัว รู้สึกเพลียตา ลานสายตาจะค่อย ๆ แคบลง
-
-
ต้อกระจก (Cataract)
อาการและอาการแสดง
-
ความสามารถในการมองเห็นลดลง รู้สึกว่าสายตาสั้นลง เพราะการหักเห
ของแสงที่เปลี่ยนไปจึงทําให้มองได้ชัดเจนในระยะที่ใกล้
ตามัว ไม่รู้สึกเจ็บปวด โดยเฉพาะมีอาการตามัวขึ้นในที่สว่าง เนื่องจากในที่มีแสงสว่างรูม่านตาจะเล็กลง ส่วนอยู่ในที่มืดจะเห็นชัดขึ้น เพราะรูม่านตาขยาย
-
-
สาเหตุ
เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ โดนกระทบกระเทือนที่ลูกตา หรือโดนของมีคมที่มแทงทะลุตาและไปโดยเลนส์ตา โรคเบาหวาน ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ พาราไทรอยด์ พิษสารเคมี
-
-
-
-
-
-
-
ช่องปากและลําคอ
-
ภาวะแทรกซ้อน
อาการของช่องหูชั้นกลางอักเสบ อาจมี แก้วหูทะลุ สูญเสียการได้ยินถาวรได้ มีมาสตอยด์อักเสบ (Mastoiditis) ร่วมด้วย
-
-
สาเหตุ
ส่วนการอักเสบเรื้อรังนั้นอาจเกิดได้จากการเป็นโรคอื่น ๆ มาก่อน เช่น
มีภาวะภูมิแพ้ หอบหืด และโพรงอากาศข้างจมูกอักเสบ (Sinusitis)
Beta - hemolytic streptococci or Staphylococi) พบได้มากถึง
30% และเป็นพวกแบคทีเรียตัวอื่น รวมทั้งไวรัสด้วย
-
การพยาบาลหลังผ่าตัด
อธิบายหลังผ่าตัดอาจมีอาการเจ็บคอ คอแข็ง อาเจียนภายใน 24 ชม แรกรวมถึงมีอาการเจ็บคอ ปวดหู นาน 7 – 10 วันหลังผ่าตัด
-
-
-
แนะนําให้รับประทานของเย็น เหรือ การเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อช่วยลดอาการบวมในลําคอ และทําให้กล้ามเนื้อคลายอาการเกร็งตัวจะบรรเทาอาการปวดได้
-
จมูก
เลือดกําเดา (Epistaxis)
-
การรักษา
Posterior Epistaxis
-
-
Posterior nasal packing คือ การอุดในช่องคอหลังโพรงจมูก โดยใช้ gauze tanpon หรือใช้ balloon หรือ สาย Foley's ซึ่งอาจเกิด ภาวะแทรกซ้อนกับผู้ป่วยต้องดูแลอย่างใกล้ชิด
-
-
Anterior Epistaxis
-
การใช้ Anterior nasal packing คือ การใส่ผ้ากอซที่มียา ปฏิชีวนะและสารพวก Gel foam (ใช้หล่อลื่นเวลานําออก) เพื่อไปอุดตําแหน่งเลือดออก
-
การพยาบาลหลังการรักษา
ถ้ามีอาการบวมบริเวณจมูกมากให้ประคบเย็น และให้ยาแก้ปวดร่วมกับ
จัดท่านอนศีรษะสูง 45 - 60 องศา เพื่อลดอาการบวมและให้พักผ่อน ให้เพียงพอ
ประเมินเลือดออกโดยสังเกตผ้ากอซ ว่ามีเลื่อนหลุดลงไปในลําคอหรือไม่ ถ้าเลื่อนต้องตัดให้สั้น แต่ห้ามดึงผ้ากอซออกเอง
-
อธิบายให้ทราบว่า อาจมีอาการหูอื้อได้ แต่จะหายเมื่อนําตัวกดห้าม เลือดออก ซึ่งจะเอาออกหลังใส่ 48 - 72 ชั่วโมงแต่รายที่มีเลือดออกมาก อาจใส่นาน 7 วัน
-
-
Sinusitis
-
-
สาเหตุ
-
สาเหตุโดยตรง ได้แก่ โรคที่มีอาการนําทางจมูก ฟันผุและการถอนฟัน การสั่งน้ํามูก-จามอย่างรุนแรง การดําน้ํา
-
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
-
-
-
การเปลี่ยนแปลงของการรับรู้ต่าง ๆ เช่น การมองเห็นเปลี่ยนไป เนื่องจาก อันตรายจากการกระทบกระเทือนต่อระบบต่าง ๆในการผ่าตัดบริเวณจมูก
เสี่ยงต่อภาวะพร่องของสารน้ําและสารอาหารเนื่องจากความไม่สมดุลของสารน้ําร่างกายและการเสียเลือดออกทางช่องจมูก
แบ่งเป็น 4 คู่
Frontal sinus อยู่ที่หัวคิ้วทั้ง 2 ข้าง ในบางรายพบว่ามีเพียงช่องเดียว หรือไม่มีเลย บางรายก็มีถึง 3 ช่อง
Ethmoidal sinus อยู่ที่ซอกตาระหว่างกระบอกตา และจมูกเป็นช่อง เล็ก ๆ ติดต่อกันอยู่มีข้างละประมาณ 2-10 ช่อง
-
-
การพยาบาลหลังผ่าตัด
การป้องกันการติดเชื้อ กระตุ้นให้ผู้ป่วยดูแลทําความสะอาดช่องปาก บ้วนปากด้วยน้ําเกลือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการแปรงฟันบริเวณ แผล
-
-
ไม่ไอจามแรงๆ ให้จามแบบเปิดปากเพื่อลดแรงดันที่จะ เข้าสู่โพรงอากาศข้างจมูก ซึ่งทําให้แผลผ่าตัดในช่องปากแยกได้
-
การได้กลิ่น (Smeling)
กลไกการได้กลิ่น
โมเลกุลในอากาศ>ช่องโพรงจมูก >สัมผัสกับขน(cilia) ของเซลล์รับความรู้สึกในการดมกลิ่นซึ่งอยู่ที่เยื่อบุโพรงจมูกด้านบน>ไปไซแนปส์กับเซลล์ประสาทรับกลิ่น (Olfactory cell)>ซึ่งเปลี่ยนกลิ่นเป็นกระแสประสาท> วิ่งไปตามเส้นประสาทสมองคู่ที่ 1 (Olfactory nerve)+ Olfactory bulb>แปลผลที่ Temporal lobe ของ Cerebrum (ศูนย์ การดมกลิ่น)
-
-
-