Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 3 การพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาจิตสังคม, นางสาวจิราภรณ์ แก้วขวาน้อย รหัส…
บทที่ 3 การพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาจิตสังคม
บุคคลที่มีความวิตกกังวลและความเครียด
ความวิตกกังวล
ความรู้สึกไม่สบาย สับสน กระวนกระวาย กระสับกระส่าย กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ลักษณะอาการและอาการแสดง
การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย
ระบบหัวใจและหลอดเลือด : หัวใจเต้นเร็ว ผิดจังหวะ เจ็บหน้าอก ใจสั่น BPสูง หน้าแดง ถ้ามีความวิตกกังวลในระดับรุนแรง=พบน้ำตาลในเลือดสูง
แต่ถ้ามีความวิตกกังวลระดับรุนแรงสุดขีด = เป็นลม หน้ามืด BPต่ำลง ผิวซีด
ระบบทางเดินหายใจ : สะอึก หายใจเร็ว หายใจลำบาก
ระบบทางเดินอาหาร : กลืนลำบาก ปากแห้ง ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ฯลฯ
ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ : ปัสสาวะบ่อย ความรู้สึกทางเพศลดลง ฯลฯ
ระบบประสาท : ปวดศีรษะเพราะเครียด ตาพร่า หูอื้อ ปากแห้ง เหงื่อออก มือสั่น รูม่านตาขยาย
ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ : ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย มือสั่น ฯลฯ
การเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจและอารมณ์
รู้สึกหวาดหวั่น กลัว ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง มองตนเองไร้ค่า สับสน กระวนกระวาย โกรธง่าย ก้าวร้าว
การเปลี่ยนแปลงด้านสังคม
มีปัญหาเรื่องสัมพันธภาพกับผู้อื่น
การเปลี่ยนแปลงด้านสติปัญญา
ความคิด ความจำลดลง คิดไม่ออก ครุ่นคิด พูดติดขัดหรือไม่พูดเลย การรับรู้ การตัดสินใจผิดพลาด มีความคิดและการกระทำซ้ำๆ
การตอบสนองของบุคคลต่อความวิตกกังวล
1)พฤติกรรมที่แสดงออกถึงการต่อสู้ (acting out behavior)
2)พฤติกรรมชะงักงันหรือถดถอย (paralysis and retreating behavior)
3)มีการเจ็บป่วยทางกาย (somatizing)
4)มีพฤติกรรมเผชิญความวิตกกังวลในเชิงสร้างสรรค์ (constructive behavior)
ชนิดของความวิตกกังวล
1)ความวิตกกังวลปกติ (normal anxiety) เป็นแรงผลักดันให้ชีวิตประสบความสำเร็จ มีผลให้บุคคลตื่นตัว กระตือรือร้นจะแก้ปัญหา
2)ความวิตกกังวลเฉียบพลัน (acute anxiety) เกิดขึ้นในช่วงที่มีเหตุการณ์เข้ามากระทบหรือคุกคาม ทำให้เกิดความวิตกกังวล
3)ความวิตกกังวลเรื้อรัง (chronic anxiety) อาจเรียกว่า อุปนิสัยวิตกกังวล (trait anxiety)
ระดับของความวิตกกังวล
ระดับต่ำ (mild anxiety) +1
ช่วยกระตุ้นให้ตื่นตัว และพยายามแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ:
ระดับปานกลาง (moderate anxiety) +2
สติสัมปชัยังคงมีอยู่ แต่มีเคลื่อนไหวมากขึ้น เกือบจะลุกลี้ลุกลน การรับรู้แคบลง สนใจเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวข้องกับปัญหา
ระดับรุนแรง (severe anxiety) +3
ระดับสติสัมปชัญญะลดลง สมาธิในการรับฟังปัญหาและข้อมูลต่างๆลดลง
ระดับท่วมท้น (panic anxiety) +4
ความวิตกกังวลสะสมจนไม่สามารถทนต่อไปได้
สาเหตุความวิตกกังวล
1)ด้านชีวภาพ : ด้านกายภาพของระบบประสาท, ด้านชีวเคมี, ด้านการเจ็บป่วย
2)ด้านจิตสังคม : ด้านจิตวิเคราะห์, ด้านพฤติกรรมและการรู้คิด
3) ด้านสังคม ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคล เชื่อว่าความวิตกกังวลเกิดสัมพันธภาพระหว่างบุคคลไม่ดี
การพยาบาลบุคคลที่มีความวิตกกังวล
1)ประเมินสภาวะความวิตกกังวล
2)การวินิจฉัยการพยาบาล
มุ่งเน้นลดความวิตกกังวลให้กับผู้ป่วย
3)กิจกรรมการพยาบาล
สร้างสัมพันธภาพ ให้กำลังใจ
4)การประเมินผลทางการพยาบาล
ประเมินตามวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้
ความเครียด
ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายและจิตใจที่มีต่อสิ่งกระตุ้น (stressor)
ลักษณะอาการและอาการแสดงของบุคคลที่มีความเครียด
การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย : มึนงง ปวดศีรษะ หูอื้อ ปวดตามกล้ามเนื้อ
อ่อนแรงไม่อยากทำอะไร มีปัญหาการนอน
การเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจ สังคม : วิตกกังวล โกรธง่าย หงุดหงิด
ซึมเศร้า ท้อแท้ การตัดสินใจไม่ดี
การเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรม: ร้องไห้ กัดเล็บ ดึงผมตัวเอง กินเก่ง ติดบุหรี่ สุรา ก้าวร้าว
การตอบสนองของบุคคลต่อความเครียด
1)ด้านร่างกาย
แบ่งเป็น 3 ระยะ
ระยะเตือน (alarm reaction) ร่างกายตื่นตัว เกิดแรงป้องกันตนเอง
ระยะข็อก (shock phase) เตรียมพร้อมที่จะสุ้หรือถอยหนี ใช้เวลา 1นาที ถึง 24 ชั่วโมง
ระยะตอบสนองการช็อก (counter shock phase shock phase) ร่างกายจะปรับตัวกลับสู่สภาพเดิม
ระยะต่อต้าน (stage of resistance) ปรับตัวต่อต้านความเครียดโดยใบ้กลไกการป้องกันตัว
ระยะหมดกำลัง (stage of exhaustion) ร่างกายหมดแรงที่จะต่อสู้กับความเครียด
2)ด้านจิตใจ
กลไกทางจิต
หนีหรือเลี่ยง (flight)
ยอมรับและเผชิญกับความเครียด (fight)
ชนิดของความเครียด
ความเครียดฉับพลัน (acute stress)
ความเครียดเรื้อรัง (chronic stress)
ระดับของความเครียด
1)ระดับต่ำ (mild stress) หายไปได้ในระยะสั้น ไม่คุกคามต่อการดำเนินชีวิต (แบบประเมิน ST20 ระดับคะแนน 0-23 คะแนน)
2)ระดับปานกลาง (moderate stress) เครียดจากมีสิ่งคุกคามหรือเหตุการณ์ที่ทำให้เครียด แบบประเมิน ST20ระดับคะแนน 24-41 คะแนน)
3)ความเครียดระดับสูง (high stress) เครียดจากการแก้ปัญหาไม่ได้ แบบประเมิน ST20 ระดับคะแนน 42-61 คะแนน
4)ความเครียดระดับรุนแรง (severe stress)
เป็นความเครียดระดับสูงและเรื้อรังต่อเนื่อง ทำให้มีความล้มเหลวในการปรับตัว ควรเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์ แบบประเมิน ST20 ระดับคะแนน 62 คะแนนขึ้นไป
สาเหตุความเครียด
1)จากภายนอก : สิ่งแวดล้อมกายภาพ การย้ายถิ่นฐานที่อยู่
2)จากภายใน : ภาวะสุขภาพของตนเอง
การพยาบาลบุคคลที่มีความเครียด
1)ประเมินสภาวะความเครียด
2)การวินิจฉัยทางการพยาบาล
เน้นปัญหาและพฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำๆ และเป็นผลมาจากความเครียด
3)กิจกรรมการพยาบาล
เน้นตามแผนการบำบัดรักษาอาการทางกายของแพทย์ก่อนเป็นลำดับแรก
4)การระเมินผลทางการพยาบาล
ประเมินตามวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้
บุคคลที่มีความโกรธและความก้าวร้าว
ความหมายความโกรธ
ความโกรธ (anger) เป็นปฏิกริยาตอบสนองด้านจิตใจและอารมณ์ของบุคคล เกิดจากความรู้สึกขุ่นเคืองใจ ไปจนถึงความรู้สึกไม่พอใจที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
ลักษณะอาการและอาการแสดงของความโกรธ
1)ด้านร่างกาย : อัตราการเต้นหัวใจและความดันโลหิตสูงขึ้น หน้าแดง มือสั่น หายใจเร็วแรง ฯลฯ
2)ด้านจิตใจและอารมณ์ : เกิดความขุ่นเคืองใจ สูญเสียคุณค่า และศักดิ์ศรีในตนเอง คับข้องใจ วิตกกังวล
ความแปรปรวนของพฤติกรรม
ความไม่เป็นมิตร (hostility) แสดงปรปักษ์ ประสงค์ร้าย
ความก้าวร้าว (aggression) คำพูดหรือการกระทำที่โต้ตอบความรู้สึกโกรธ
การกระทำที่รุนแรง (violence) ลงมือทำร้ายหรือทำลายโดยตรง ใช้กลไกทางจิตแบบโทษผู้อื่น (projection)
แยกตัว (withdrawal) แยกออกจากสถานการณ์ที่ทำให้เกิดอารมณ์ ใช้กลไกทางจิตแบบปฏิเสธความจริง (denial of reality) แบบถดถอย (regression)
ซึมเศร้า (depression) เก็บอารมณ์โกรธไว้ ไม่แสดงออก ใช้กลไกทางจิตแบบโทษตนเอง (introjection) แบบเก็บกด (repression) และแบบฝืนทําให้ตรงข้ามกับความรู้สึกท่ีแท้จริง (reaction formation)
สาเหตุการเกิดความโกรธ
ปัจจัยด้านชีวภาพ : ความผิดปกติของสารสื่อสมอง, การได้รับบาดเจ็บที่สมอง และการเจ็บป่วยทางกายอื่นๆ
ปัจจัยด้านจิตใจ : ด้านจิตวิเคราะห์ การแสดงความโกรธถือว่าเป็นสัญชาติญาณแห่งการตายของมนุษย์, ด้านพฤติกรรมและการรู้คิด พฤติกรรมที่แสดงออกของอารมณ์โกรธน้ันเป็นผลมาจากการเรียนรู้ต่อสงิ่เรา้ที่ไม่ได้ดังใจท่ีตนเองคาดหวังหรือ กําหนดไว้
ปัจจัยด้านสังคม : แนวคิดด้านสังคมวิทยา เด็กโตในครอบครัวที่มีพฤติกรรมรุนแรง มักเลียนแบบพฤติกรรมผู้เลี้ยงดูได้
การพยาบาลบุคคลที่มีความโกรธ
1)ประเมินบุคคลที่ภาวะโกรธ
ความเสี่ยงในการทำร้ายตนเอง
ความขัดแย้งในจิตใจ
อาการทางกาย
การใช้กลไกทางจิต
พื้นฐานอารมณ์และระดับความอดทน
ความเข้าใจตนเอง
การสร้างสัมพันธภาพ
สิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตวิญญาณ
2)การวินิจฉัยทางการพยาบาล
เน้นการลดและขจัดอารมณ์โกรธอย่างสร้างสรรค์
3)กิจกรรมทางการพยาบาล
เน้นการให้การพยาบาลตามเป้าหมายทางการพยาบาลและข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
4)การประเมินผลทางการพยาบาล
บุคคลที่มีภาวะสูญเสีย เศร้าโศก
ความหมายของภาวะสูญเสียและเศร้าโศก
1)การสูญเสีย (loss) คือ การพลัดพรากจากสิ่งที่มีคุณค่าและสำคัญกับชีวิต และมีการแสดงออกที่เจ็บปวดต่อการสูญเสีย
ประเภทและลักษณะอาการและอาการแสดงของภาวะสูญเสีย
แบ่งเป็น 4 ประเภท
1)สูญเสียสิ่งของภายนอก คือ การสูญเสียสิ่งของภายนอกร่างกาย
2)สูญเสียตามช่วงวัย เช่น เด็กที่ต้องหย่านมแม่ ออกจากโรงเรียนเมื่อเรียนจบ การย้ายที่ทำงาน
4)สูญเสียความรักหรือบุคคลสำคัญในชีวิต
3)สูญเสียภาพลักษณ์ หรืออัตมโนทัศน์ เป็นการสูญเสียด้านร่างกายหรือจิตสังคม
ปฏิกิริยาต่อการสูญเสียมี 3 ระยะ
ระยะช็อค (shock and disbelief)
ระยะแรกที่รับรู้ถึงการสูญเสีย บุคคลจะตกใจ ไม่
เชื่อ ปฏิเสธ อาจเกิดความรู้สึกมีนชาใน 2 -3 ชั่วโมงถึง 2 -3 สัปดาห์
ระยะพัฒนาการตระหนักรู้ถึงการสูญเสีย (developingawareness)
เริ่มมีสติรับรู้มากขึ้นและตระหนักรู้ได้ถึงการสูญเสีย ดีขึ้นไม่เกิน 6 เดือนหลังมีการสูญเสียเกิดขึ้น
ระยะพักฟื้น (restitution)
ระยะที่มีการปรับตัวเพื่อฟื้นคืนสู่ภาวะปกติ เริ่มยอมรับความจริง การหมกมุ่นคิดถึงส่ิงท่ีสูญเสียน้อยลง มองหาสิ่งใหม่ทดแทน และเริ่มมีความหวังใหม่ในชีวิต
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการปรับตัว
การให้ความหมายต่อสิ่งที่สูญเสีย
ประสบการณ์การปรับตัวต่อการสูญเสียที่ผ่านมา
บุคลิกภาพ
ภาวะสุขภาพ
แหล่งสนับสนุนทางสังคม
2)ภาวะเศร้าโศก (grief) ปฏิกิริยาทางจิตใจและอารมณ์ที่เกิดขึ้นหลังการสูญเสีย
ลักษณะอาการและอาการแสดงของภาวะเศร้าโศก (grief)
การเศร้าโศกแบบปกติ (normal grief)
ระยะเฉียบพลัน ระยะนี้เกิดขึ้นในช่วง 4 – 8 สัปดาห์แรก บุคคลจะช็อค ไม่เชื่อ และไม่ยอมรับการสูญเสียที่เกิดขึ้น มีอาการตื่นตะลึง ตัวชา และปฏิเสธ ซึ่งจะเป็นกลไกช่วยลดความรู้สึก เจ็บปวด
ระยะเผชิญกับการสูญเสีย อาการและอาการแสดงทางร่างกายและจิตใจหลังจากผ่านวิกฤตระยะเฉียบพลัน
อาการแสดงทางกายท่ีพบได้บ่อย : หายใจขัด ลําคอตีบตัน หมดแรง อ่อนเพลีย ตัวชา หน้ามืด คอแห้ง คลื่นไส้อาเจียน แบบแผนการรับประทานอาหารและการนอนหลับ พักผ่อนเปลี่ยนแปลงไป
อาการแสดงทางจิตใจที่พบได้บ่อย : มีความคิดหมกมุ่น อยู่กับสัญลักษณ์หรือ ตัวแทนของบุคคลที่สูญเสีย เช่นรูปถ่าย เสื้อผ้า
การเศร้าโศกแบบผิดปกติ (maladaptive grief) ไม่สามารถปรับตัวกับการสูญเสีย
chronic grief reaction เป็นปฏิกิริยาความเศร้าโศกเรื้อรัง ยาวนาน
delayed grief reaction เป็นปฏิกิริยาเศร้าโศกที่ล่าช้า บุคคลไม่สามารถแสดง ความเศร้าโศกออกมาได้
การพยาบาลบุคคลที่มีภาวะสูญเสีย เศร้าโศก
1)การประเมินภาวะสูญเสีย เศร้าโศก
ระดับความรุนแรงของอาการ
การให้คุณค่าความหมายและสิ่งสูญเสีย
บุคลิกภาพ
ประสบการณ์สูญเสียในอดีต
แหล่งสนับสนุนช่วยเหลือทางสังคม
2)การวินิจฉัยทางการพยาบาล
มุ่งเน้นลดภาวะเศร้าโศก ให้การดูแลเรื่องอาการและอาการแสดงทางกาย
3)กิจกรรมการพยาบาล
มุ่งเน้นให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การพยาบาล และข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
4) การประเมินผลทางการพยาบาล
ประเมินตามวัตถุประสงค์ที่ได้กําหนดไว้
บุคคลที่มีภาวะซึมเศร้าและบุคคลที่มีปัญหาฆ่าตัวตาย
ภาวะซึมเศร้า (depression)
ความหมาย
ภาวะจิตใจที่หม่นหมอง สาเหตุจากการสูญเสียเป็นสำคัญ เกิดในระยะเวลาที่ยาวนาน
ระดับการซึมเศร้า
อ่อน (mild depression/blue mood )ไม่สดชื่น หม่นหมอง แยกจากสิ่งของที่รัก อยู่คนเดียว
ปานกลาง (neurotic depression/moderate) กระทบกระเทือนต่อชีวิตประจำวัน
รุนแรง (severe/Psychotic depression) ต้องได้รับการรักษา ซึมเศร้ามาก ไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้
สาเหตุภาวะซึมเศร้า
แนวคิดกลไกทางจิต : จิตวิเคราะห์ สูญเสียสิ่งที่เราให้ค่า เกิดความรู้สึกซึมเศร้าอย่างมาก ถ้าให้ค่าน้อย ก็เกิดน้อย
สารเคมีในสมองผิดปกติ
รักษาด้วยกระแสไฟฟ้า
การฆ่าตัวตาย (suicide)
ความหมาย
การมีความคิดทำร้ายตัวเอง พยายามทำให้ชีวิตตัวเองสิ้นสุดลงด้วยวิธีต่างๆ ที่ไม่ใช่อุบัติเหตุ
สาเหตุการฆ่าตัวตาย
1)ด้านชีวภาพ :สาร 5-HIAA เป็นสารทำให้อารมณ์เศร้าเพิ่มขึ้น, การเจ็บป่วยทางกายเรื้อรัง
2)ด้านจิตใจ : ด้านจิตวิเคราะห์, ซิกมัน ฟรอยด์ เกิดจากจิตใต้สำนึกตอบสนองแรงขับความก้าวร้าวเข้าหาตนเอง , ด้านพฤติกรรมและการรู้คิด ท้อแท้ ขาดที่พึ่งและความเชื่อผิดๆ
3)ด้านสังคม : ขาดความรู้สึกมีคุณค่า ไม่เห็นค่าตนเอง
4)ด้านจิตวิญญาณ : ไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว
ปัจจัยเสี่ยงการฆ่าตัวตาย
1)สถานภาพสมรส คนมีลูก แต่งงานแล้ว ฆ่าตัวตายน้อยกว่าสาวโสด หย่าร้าง
2)เพศหญิง > เพศชาย เพศชายฆ่าตัวตายสำเร็จกว่าเพศหญิง
3)อายุ ต่ำกว่า 9 ปี อายุมาก 15-24 ปี อัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น
4)ประวัติการฆ่าตัวตายในครอบครัว
5)การเจ็บป่วยทางกาย ถ้าเรื้อรังเป็นเวลานาน อัตราการฆ่าตัวตายเป็น 7 เท่า
6)ประวัติการฆ่าตัวตาย ฆ่าตัวตายซ้ำ
7)ขาดที่พึ่ง/คนดูแล ต้องทำงานในสภาวะที่กดดัน ขาดการพักผ่อน
การพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาฆ่าตัวตาย
1)ประเมินปัญหาการฆ่าตัวตาย
ข้อมูลส่วนบุคคล
อาการและอาการแสดง
ตั้งใจ/วางแผนฆ่าตัวตายอย่างชัดเจน
ความพร้อมในด้านขแหล่งสนับสนุนช่วยเหลือทางสังคมของผู้ป่วย เมื่อต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตของชีวิต
2)การวินิจฉัยทางการพยาบาล
มุ่งเน้นการเฝ้าระวังการฆ่าตัวตายหรือการฆ่าตัวตายซ้ำ
การส่งเสริมความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง
กระตุ้นการมีส่วนรวมของครอบครัวในการดูแลผู้ป่วย
3)กิจกรรมการพยาบาล
การเฝ้าระวังหรือป้องกันการฆ่าตัวตาย
ส่งเสริมความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองของผู้ป่วย
ส่งเสริมสนับสนุนให้ครอบครัวมีส่วนรวมในการดูแลผู้ป่วย
ฝึกทักษะในการเผชิญปัญหาชีวิตอย่างสร้างสรรค์
4)ประเมินผลการพยาบาล
ผลในทางบวก
ผู้ป่วยปลอดภัย ไม่มีพฤติกรรมฆ่าตัวตาย
ผู้ป่วยรู้สึกมีคุณค่าเพิ่มขึ้น
ผู้ป่วยสามารถตั้งเป้าหมายในชีวิตและมีความหวังในชีวิตมากยิ่งขึ้น
นางสาวจิราภรณ์ แก้วขวาน้อย
รหัส 180101041 คณะพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 3