Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

เตียง21 DX: STROKE โรคหลอดเลือดสมอง, Bun 37.4 mg/dL (8.9-20.6 mg/dL),…

- - - - FT3 1.280 pg/mL (1.58-3.91 pg/mL)
        
        Hyperthyroidism
    - - Troponin-T 0.032 ng/mL (0-0.014 ng/mL)
        
        เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
  - - - Reticulocyte Count 4.22% (0.0-2.0%)
        
        มีภาวะโลหิตจาง
      - Hemoglobin(Hb) 7.1 g/dL (12.8-16.1 g/dL)
        
        มีภาวะโลหิตจาง
      - MCV 102.1 fL (78.9-98.6 fL)
        
        มีภาวะโลหิตจาง
      - RBC 2.14 10^6/uL (4.03-5.55 10^6/uL)
        
        มีภาวะโลหิตจาง
      - HEMATOCRIT(Hb) 21.9% (38.2-48.3%)
        
        มีภาวะโลหิตจาง
    - - HEMATOCRIT(Hb) 18.2% (38.2-48.3%)
        
        มีภาวะโลหิตจาง
      - MCHC 31.5 g/dL (32.0-34.9 g/dL)
        
        มีภาวะโลหิตจาง
      - RBC 1.17 10^6/uL (4.03-5.55 10^6/uL)
        
        มีภาวะโลหิตจาง
      - RBC 1.17 10^6/uL (4.03-5.55 10^6/uL)
        
        มีภาวะโลหิตจาง
      - Neutrophil 75.8% (48.1-71.2%)
        
        เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
      - Hemoglobin(Hb) 5.7 g/dL (12.8-16.1 g/dL)
        
        มีภาวะโลหิตจาง
      - Lymphocytes 14.0% (21.1-42.7%)
        
        เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
    - - RBC 2.06 10^6/uL (4.03-5.55 10^6/uL)
        
        มีภาวะโลหิตจาง
      - Hemoglobin(Hb) 6.8 g/dL(12.8-16.1 g/dL)
        
        มีภาวะโลหิตจาง
      - MCV102.9 fL (78.9-98.6 fL)
        
        มีภาวะโลหิตจาง
      - HEMATOCRIT(Hb) 21.2% (38.2-48.3%)
        
        มีภาวะโลหิตจาง
      - Lymphocytes 20.1% (21.1-42.7%)
        
        มีภาวะติดเชื้อ
  - - - Uric acid 8.5 mg/dL (3.5-7.2 mg/dL)
        
        ไตทำงานผิดปกติ
      - Urea nitrogen 667.00 mg/dL (ค่าปกติ 1.0-1.6)
        
        ไตทำงานผิดปกติ
      - Globulin 2.6 g/dL (2.7-3.5 g/dL)
        
        ไตทำงานผิดปกติ
      - Urea(Urine-spot) 1431.38 mg/dL (ค่าปกติ 1-1.6 mg/dL)
        
        ไตทำงานผิดปกติ
    - - Co2 20.2 mmol/L (22-29 mmol/L) :
        
        ไตทำงานผิดปกติ
      - Creatinine 2.35 mg/dL (0.73-1.18 mg/dL)
        
        ไตทำงานผิดปกติ
      - Chloride 114.9 mmol/L (98-107 mmol/L)
        
        ไตทำงานผิดปกติ
    - - HbA1c 6.0% (4.8-5.9%)
        
        เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
      - Chloride 115.5 mmol/L (22-29 mmol/L)
        
        ไตทำงานผิดปกติ
      - Bun 32.3 mg/dL (8.9-20.6 mg/dL)
        
        ไตทำงานผิดปกติ
      - Creatinine 2.36 mg/dL (0.73-1.18 mg/dL)
        
        ไตทำงานผิดปกติ
      - Co2 20.9 mmol/L (22-29 mmol/L)
        
        ไตทำงานผิดปกติ
      - Serum Iron 35.0 ug/dL (65.0-175.0 ug/dL)
        
        ไตทำงานผิดปกติ
- - - - ทำให้ผู้ป่วยมาด้วยอาการ
        
        ชาหรืออ่อนแรงใบหน้าซีกใดซีกหนึ่งอย่างฉับพลัน ทำให้มุมปากตก ปากเบี้ยว อมน้ำไม่อยู่ น้ำไหลออกจากมุมปาก ชาหรืออ่อนแรงใบหน้าซีกใดซีกขวาอย่างฉับพลัน
  - - - จากผลตรวจทางห้องปฎิบัติการทำให้แพทย์สงสัยว่าเป็น : Acute Kidney Injury
        
        เนื่องจากผู้ป่วยมีค่าcreathinineสูงถึง2.18mg/dL
        และมีค่าeGFRถึง29.8mL/min/1.73m2คือมีภาวะค่าระดับไตลดลงระยะที่4คือมีค่าGFลดลงมาก
        มีค่าChlorideสูงถึง113.2mmol/Lและมีการให้เลือดปริมาณ2Unitและผู้ป่วยมีอาการเลือดออกในกะเพาะอาหารทำการตรวจegdพบว่ามีเชื้อผลเป็นpositiveอาการไม่ดีขึ้น
- - - - การแบ่งงชนิดของภาวะซีด
        
        การสร้างเม็ดเลือดแดงน้อย (impaired red cell formation)
        
        1) สารอาหารในการสร้างเม็ดเลือดแดงไมพอ(deficiency)ได้แก่การขาดธาตุเหล็กวิตามินบี12 และโฟลิคเป็นต้น
        2) ไขกระดกู ฟ่อหรือมีเซลล์มะเร็งกระจายในไขกระดกู (bonemarrowfailure/infiltration)ได้แก่ aplastic anemia, acute leukemia, neuroblastoma เป็นต้น
        
        การเสียเลือดจากร่างกาย (blood loss ) แบ่งเป็น
        
        เสียเลือดเฉียบพลัน(acutebloodloss)ได้แก่ภาวะฉุกเฉินทางศัลยกรรม(surgicalcondition)เช่น
        splenic rupture เป็นต้น
        
        เสียเลือดเรื้อรัง(chronicbloodloss)ได้แก่พยาธิปากขอเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหาร
        หรือลําไส้เล็กส่วนต้นเป็นต้น
        
        3.การแตกทําลายของเม็ดเลือดแดง (hemolytic anemia)
        
        จากภายในเม็ดเลือด(corpuscular)ได้แก่ภาวะG6PDdeficiency,thalassemia,hereditary spherocytosis เป็นต้น
        
        จากภายนอกเม็ดเลือด(extracorpuscular)ได้แก่isoimmunehemolyticanemiaเช่นminorblood group incompatibility และ autoimmune hemolytic anemia เชน autoimmune hemolytic anemia (AIHA), SLE เป็นต้น
      - ผู้ป่วยมีปัญหา upper gastrointestinal bleeding หรือUGIB
        
        ภาวะเลือดภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบนเกิดจากทางเดินอาหารอักเสบหรือเป็นแผลตามปกติทางเดินอาหารจะมีmucosalเพื่อป้องกันการย่อยตัวเองacid autodigestionเมื่อมีการหลั่งกรดโดยมีprostaglandinเป็นตัวช่วยป้องกันถ้ากลไกล้มเหลวหรือขาดความสมดุจะทำให้ทางเดินอาหารอักเสบมีการทำลายของmucosaทำให้เกิดอันตรายต่อเส้นเลือดเล็กๆsmall vesscelsทำให้เกิดการบวมเลือดออกและรอยถลอกและที่ออกมาจะทำปฏิกิริยากับน้ำย่อยในกระเพาะอาหารจึงทำให้เลือดเป็นสีดำผู้ป่วยมักมาด้วยอาการอาเจียนเป็นเลือดเลือดสดหรือเลือดเก่าและถ่ายดำ
        
        อาการแสดงของผู้ป่วย
        
        อ่อนเพลีย ถ่ายอุจจาระดำ
    - - ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิด ภาวะHypovolemic shockเนื่องจากมีการสูญเสียเลือดในระบบทางเดินอาหารส่วนต้น
        
        ระดับภาวะช้อค
        
        ระยะที่1ระยะที่ปรับได้early or compensated shock ระยะสามารถปรับตัวได้
        
        ระยะที่2ระยะที่ร่างกายปรับตัวไม่สำเร็จ intermediate or progressive shock กลไกการปรับตัวทำงานไม่เต็มที่ ไม่เพียงพอไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆอาจทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
        
        ระยะที่3 ระยะไม่พักฟื้น late or irreversible shock เซลล์บุหลอดเลือดและเยื่อหุ้มเซลล์เสียหายทำให้เซลล์ตาย การทำงานล้มเหลวทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต
        
        ข้อมูลสนับสนุน
        
        Objective Data
        -ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย
        -ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำคล้ำ มีกลิ่มคาวเลือด 2-3 ครั้ง
        -Hematocrit 26.3%
        -Hemoglobin 6.8 g/dL
        -RBC 2060000 uL
        
        วัตถุประสงค์
        
        เพื่อไม่ให้เกิดภาวะช็อก
        
        เกณฑ์การประเมินผล
        
        -vital signs อยู่ในเกณฑ์ปกติ อุณหภูมิร่างกาย 36.5-37.5 องศาเซลเซียสชีพจร 60-100 ครั้ง/นาที อัตราการหายใจ 12-20 ครั้ง/นาที ความดันโลหิต systolic 90-140 mmHg Diastolic 80-100 mmHg O2 sat >95%
        -ไม่รู้สึกสับสน วิตกกังวล
        -ไม่มี cyanosis
        -หายใจปกติ ไม่ตื้นหรือเร็ว
        -ชีพจรสม่ำเสมอ
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        1.ประเมินอาการและอาการแสดงภาวะช็อก ได้แก่ เนื้อตัวเย็น ผิวซีด มึนงง เริ่มมีอาการทรงตัวไม่อยู่ ตาเบลอ ตาค้าง ชีพจรเต้นเบา เร็วหรือเต้นไม่คงที่ หายใจเร็ว ลมหายใจสั้นและถี่ ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ หรือไม่ปัสสาวะนาน 4-6 นาที เหงื่อออกมาก ไม่มี cyanosis
        
        2.ประเมิน vital signs ทุก 4 ชั่วโมง ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ vital signs อยู่ในเกณฑ์ปกติ ชีพจร 60-100 ครั้ง/นาที ชีพจรเต้นด้วยความถี่ที่สม่ำเสมอ อัตราการหายใจ 12-20 ครั้ง/นาที หายใจไม่เร็วหรือสั้นเกินไป ความดันโลหิต systolic 90-140 mmHg Diastolic 80-100 mmHg O2 sat>95%
        
        3.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารอ่อน ย่อยง่าย งดอาหารที่มีรสจัด เช่น เผ็ดจัด เค็มจัด หวานจัด ห้ามผู้ป่วยรับประทานอาหารจากข้างนอก งดอาหารที่มีสีดำแดง
        
        4.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ
        
        5.ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อนอย่างเพียงพอ
        
        6.ประเมินปัสสาวะ ไม่มีสีขุ่น ไม่มีตะกอน ไม่มีสีปนเลือด จำนวนครั้งในการขับถ่าย อุจจาระ ไม่มีถ่ายดำ ถ่ายเหลว ถ่ายปนมูกเลือด ไม่มีกลิ่นคาวเลือด
        
        7.ประเมินและบันทึกสารน้ำเข้าออกของผู้ป่วย ได้แก่ การได้รับเลือด IV อาหาร เพื่อประเมินภาวะช็อก
        
        8.ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
        Hemoglobin 12.8-16.1 g/dL, Hematocrit 38.2-48.3%, RBC 4.03-5.55 10^6/uLให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
        
        9.ดูแลการให้ยา OMEPHAZOLE
        รับประทานครั้งละ 1เม็ดวันละ 2 ครั้งก่อนอาหารเช้า
        เย็น
        
        การประเมินผล
        
        ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะ Hypovolemic shock
  - - - Objective Data
        -ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยเวลาพูด
        -ผู้ป่วยมีอาการเวียนหัว
        
        Hematocrit 26.3%
        -Hemoglobin 6.8g/dL
        -RBC 2060000 uL
    - - 1.ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะหัวใจวาย ได้แก่ เจ็บ แน่น หรือรู้สึกไม่สบายตรงกลางหน้าอก อาการเจ็บหน้าอก ร้าวไปที่คอ แขน หรือขากรรไกร เหงื่อออกจะมีเหงื่อออกอย่างมากจนรู้สึกหนาวบริเวณลำตัวส่วนบน อาจมีอาการวิงเวียน หายใจไม่อิ่ม และคลื่นไส้ร่วมด้วย อาการเหล่านี้อาจเกิดขณะที่ออกกำลังกาย หรือมีอารมณ์เครียดอย่างกะทันหัน อาการเหล่านี้มักจะคงอยู่นานราว 1–10 นาที รู้สึกหายใจไม่ทันขณะที่ออกกำลังกาย อย่างที่ไม่เป็นมาก่อนรู้สึกแน่นอึดอัดท้องอย่างมาก ถ้าออกกำลังกายทันทีภายหลังรับประทานอาหาร
        ประเมินภาวะซีด ได้แก่ ผิวหนังซีด ปลายมือปลายเท้าซีด conjunctiva ซีด Capillary refill >2 วินาที ไม่มี cyanosis ไม่มีอาการอ่อนเพลีย
      - 2.ประเมิน vital signs ทุก 4 ชั่วโมง ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ vital signs อยู่ในเกณฑ์ปกติ อุณหภูมิร่างกาย 36.5-37.5 องศาเซลเซียส ชีพจร 60-100 ครั้ง/นาที ชีพจรเต้นด้วยความถี่ที่สม่ำเสมอ อัตราการหายใจ 12-20 ครั้ง/นาที หายใจไม่เร็วหรือสั้นเกินไป ความดันโลหิต systolic 90-140 mmHg Diastolic 80-100 mmHg O2 sat>95%
      - 3.ดูแลการให้สารอาหารที่เพียงพอต่อร่างกาย
      - 4.ประเมินและบันทึกสารน้ำเข้าออก ชั่งน้ำหนักผู้ป่วย เพื่อประเมินภาวะน้ำเกิน
      - ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำและการให้เลือดตามอัตราที่กำหนดอย่างเคร่งครัดและระวังภาวะแทรกซ้อนจากการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ และการให้เลือด
      - 6.ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อนอย่างเพียงพอ จัดสิ่งแวดล้อมให้เย็นสบายและเงียบ ปิดม่าน ปิดไฟ ไม่ให้มีเสียงรบกวน
      - 7.ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
        Hemoglobin 12.8-16.1 g/dL, Hematocrit 38.2-48.3%, RBC 4.03-5.55 10^6/uL, MCV 78.9-98.6 fL ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    - - เพื่อป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
    - - -ผู้ป่วยไม่มีอาการหายใจเหนื่อยหอบ
        -ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการอยู่ในเกณฑ์ปกติ
        -ผู้ป่วยไม่มีภาวะน้ำเกิน
        -vital signs อยู่ในเกณฑ์ปกติ อุณหภูมิร่างกาย 36.5-37.5 องศาเซลเซียส ชีพจร 60-100 ครั้ง/นาที ชีพจรเต้นด้วยความถี่ที่สม่ำเสมอ อัตราการหายใจ 12-20 ครั้ง/นาที หายใจไม่เร็วหรือสั้นเกินไป ความดันโลหิต systolic 90-140 mmHg Diastolic 80-100 mmHg O2 sat>95%
    - - -ผู้ป่วยไม่มีหายใจหอบเหนื่อย
        -สารน้ำเข้าออกมีความสมดุล
        -สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  - - - 2.ประเมิน vital signs ได้แก่ O2 sat >95% ชีพจร 60-100 ครั้ง/นาที อัตรการหายใจ 12-20 ครั้ง/นาที ความดันโลหิต
        systolic 90-140 mmHg Diastolic 80-100 mmHg
    - - ไม่มีภาวะเนื้อเยื่อในร่างกายพร่องออกซิเจน
    - - -ไม่มีอาการหอบเหนื่อย เขียวปลายมือปลายเท้า
        -สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ O2sat >95%
        -Hb=12-16 g/dL
        -Hct=38-47%
    - - Odjective Data
        -ผู้ป่วยปลายมือปลายเท้าซีด
        -Hematocrit 26.3%
        -Hemoglobin 6.8 g/dL
        -RBC 2060000 uL
    - - -ผู้ป่วยไม่มีอาการเหนื่อยหอบ ไม่มีเขียงปลายมือปลายเท้า
        
        ค่า o2 sat 99-100%
  - - - 5.ให้ผู้ป่วยและญาติได้กำหนดและควบคุมการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่างๆ ได้ด้วยตนเองโดยไม่ขัดต่อแผนการรักษาของแพทย์
      - 7.ให้ความรู้และแนะนำวิธีปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเมื่อกลับบ้าน ได้แก่ เรื่องอาหาร การออกกำลังกาย การใช้ยาการรักษาความสะอาดของร่างกาย
    - - Subjective Data
        -ผู้ป่วยบ่นและถามบ่อยๆว่าตนเองจะหายเป็นปกติหรือไม่ และจะต้องรักษาไปนานแค่ไหน
        -ผู้ป่วยบ่นว่าอยากกลับบ้าน
        -ญาติบอกว่ากลัวว่าถ้ากลับบ้านไปไม่รู้จะดูแลผู้ป่วยอย่างไร
      - Objective Data
        -ผู้ป่วยมีสีหน้าวิตกกังวล คิ้วขมวด
    - - ลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
    - - 1.ผู้ป่วยมีสีหน้าสบายใจขึ้น
      - 2.ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำได้ดี
      - 3.ญาติปฏิบัติตามคำแนะนำได้ดี
- - - - ผลข้างเคียง
        -หัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกติ
        -ความอยากอาหารเปลี่ยนแปลง
        -อาเจียน
        -ท้องร่วง
        -น้ำหนักเปลี่ยนแปลง
  - - - ผลข้างเคียง
        มีไข้ เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก อุจจาระอัดแน่น ท้องอืด ปวดกล้ามเนื้อ เอนไซม์ตับเพิ่ม
  - - - ผลข้างเคียง
        ระคายเคืองกระเพาะอาหาร อาจมีกำเดาไหล เลือดแข็งตัวช้า
  - - - ผลข้างเคียง
        ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ ปวดศีรษะ อาเจียน ท้องผูก
  - - - ผลข้างเคียง
        คลื่นไส้ อาเจียน
  - - - ผลข้างเคียง
        เรอ ผายลม มีแก๊สในท้องหรือลำไส้ แน่นท้อง
- - - - โรคหลอดเลือดขาดเลือดจากภาวะหลอดเลือดสมองตีบ (Thrombotic Stroke) เป็นผลมาจากหลอดเลือดแดงแข็ง(Atherosclerosis) เกิดจากภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปยังสมองได้
      - โรคหลอดเลือดขาดเลือดจากการอุดตัน (Embolic Stroke) เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดจนทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปที่สมองได้อย่างเพียงพอ
  - - - การสูบบุหรี่จัดและการดื่มสุราเป็นประจำ
        
        การใช้สารเสพติด
        
        การหยุดหายใจขณะนอนหลับตอนกลางคืน
  - - - ชาหรืออ่อนแรงที่แขนขาซีกใดซีกหนึ่งอย่างฉับพลัน สูญเสียการทรงตัว
        
        พูดไม่ชัด พูดไม่ออก สับสน นึกคำพูดไม่ออก
        
        การมองเห็นมีปัญหาฉับพลัน อาจมองเห็นภาพซ้อน มองเห็นภาพครึ่งเดียว ตาบอดหนึ่งหรือสองข้าง
        
        มีอาการปวดศีรษะรุนแรงฉับพลัน
    - - F - Face : ใบหน้า
        อาการกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการใบหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว น้ำลายไหลออกจากมุมปากข้างที่ตก
        
        A Arm : แขน
        อาการอ่อนแรงของแขน ขา ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย
        
        S Speak : การพูด
        การพูดลำบาก พูดติดๆ ขัดๆ พูดไม่ชัด นึกคำพูดไม่ออก
        
        : T Time : เวลา
        รู้เวลาที่เกิดอาการผิดปกติ คือรู้ว่าเริ่มมีอาการเป็นเวลาเท่าไหร่นับจากที่มีอาการผิดปกติ
    - - National Institute of Health Stroke Scale (NIHSS)
        
        จะมีการประเมินด้านต่างๆ ดังนี้
        
        1a. ระดับความรู้สึกตัว (Level of Consciousness, LOC) โดยมีคะแนน 0-3 ดังนี้
        
        0= รู้สึกตัวดี
        
        1= ไม่รู้สึกตัว แต่สามารถปลุกให้ตื่นได้
        
        2= ไม่รู้สึกตัว ต้องกระตุ้นซ้ำหรือทำให้เจ็บ
        
        3= ไม่รู้สึกตัว ตอบสนองเฉพาะรีเฟล็กซ์
        
        1b. สามารถบอกเดือน และอายุได้ (LOC Questions) โดยมีคะแนน 0-2 ดังนี้
        
        0= ตอบได้ถูกต้องทั้ง 2 ข้อ
        
        1= ตอบถูกเพียง 1 ข้อ
        
        2= ไม่สามารถตอบคำถามได้หรือตอบผิดทั้ง 2 ข้อ
        
        หลับตา-ลืมตา และกำมือ คลายมือข้างที่ไม่เป็นอัมพาตได้หรือไม่ (LOC Commands) โดยมีคะแนน 0-2 ดังนี้
        
        0 = ทำได้ถูกต้องทั้ง 2 อย่าง
        
        1 = ทำได้ถูกต้องเพียงอย่างเดียว
        
        2 = ไม่ทำตามคำสั่ง หรือทำไม่ถูกต้อง
        
        การเคลื่อนไหวของตา (Best Gaze) โดยมีคะแนน 0-2 ดังนี้
        
        0 = มองตามได้เป็นปกติ
        
        1= ตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง เหลือบมองไปด้านข้างได้แต่ไม่สุด
        
        2= เหลือบตามองไปด้านข้างไม่ได้เลย หรือมองไปด้านหนึ่งด้านใดจนสุด โดยไม่สามารถแก้ไขได้ด้วย oculocephalic maneuver
        
        การมองเห็น (Visual Fields)
        
        1 = ลานสายตาผิดปกติบางส่วน (Partial Hemianopia)
        
        3 = มองไม่เห็นทั้ง 2 ตา (ตาบอด)
        
        0 = ลานสายตาปกติ
        
        2 = ลานสายตาผิดปกติครึ่งซีก (Complete Hemianopia)
        
        การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้า (Facial Palsy) โดยมีคะแนน 0-3 ดังนี้
        
        0 = ไม่พบมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อใบหน้า สามารถเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อใบหน้าได้เป็นปกติ
        
        1 = กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงเล็กน้อย พอสังเกตเห็นมุมปากตก หรือไม่เท่ากันเมื่อยิ้ม
        
        2 = กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงมาก แต่ยังพอเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อได้บ้าง
        
        3 = ไม่สามารถเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อใบหน้าในข้างใดหรือทั้ง 2 ข้างได้เลย
        
        กำลังของกล้ามเนื้อแขน (Motor Arm
        
        0 = ยกแขนสูง 90 องศาทำมุมกับลำตัวในท่านั่ง หรือ 45 องศาในท่านอนหงาย และสามารถคงไว้ในตำแหน่งที่ต้องการได้ตลอด 10 วินาที
        
        1 = ยกแขนสูง 90 องศาทำมุมกับลำตัวในท่านั่ง หรือ 45 องศาในท่านอนหงายและสามารถคงไว้ในตำแหน่งที่ต้องการได้เพียงครู่เดียวไม่ถึง 10 วินาที โดยที่แขนไม่ตกลงบนเตียง
        
        2 = ยกแขนขึ้นได้บ้างแต่ไม่ถึงหรือไม่สามารถคงไว้ในตำแหน่งที่ต้องการได้ จากนั้นแขนตกลงบนเตียง
        
        3 = ไม่สามารถยกแขนขึ้นได้
        
        4 = ไม่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อแขน
        
        กำลังของกล้ามเนื้อขา (Motor Leg)
        
        0 = สามารถยกขาข้างที่อ่อนแรงขึ้นให้สะโพกทำมุม 30 องศากับพื้นในท่านอนหงาย และคงตำแหน่งที่ต้องการได้ตลอด 5 วินาที
        
        1 = สามารถยกขาข้างที่อ่อนแรงขึ้นให้สะโพกทำมุม 30 องศากับพื้นในท่านอนหงายได้ครู่เดียว โดยไม่ถึง 5 วินาที ก็ต้องลดขาลงมา แต่ขาไม่ตกลงบนเตียง
        
        2 = ยกขาขึ้นได้บ้างในท่านอนหงายแต่ไม่ถึงตำแหน่งที่ต้องการ ขาตกลงบนเตียงก่อน 5 วินาที
        
        3 = ไม่สามารถยกขาขึ้นจากเตียงได้ในท่านอนหงาย
        
        4 = ไม่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อขา
        
        การประสานงานของแขนขา (Limb Ataxia)
        
        0 = การประสานงานของแขนขาทั้ง 2 ข้าง เป็นปกติ
        
        1 = พบมีปัญหาของการประสานงานของแขนหรือขา 1 ข้าง
        
        2 = พบมีปัญหาของการประสานงานของแขนหรือขา 2 ข้าง
        
        UN = แขนหรือขาพิการหรือถูกตัด หรือพบมีปัญหาข้อติดยึดที่ไม่สามารถแปลผลการตรวจได้
        
        การรับความรู้สึก (Sensory)
        
        0 = การรับความรู้สึกเป็นปกติ
        
        1 = สูญเสียการรับความรู้สึกในระดับน้อยถึงปานกลาง การรับความรู้สึกจากวัสดุแหลมคมลดลงบ้าง แต่ผู้ป่วยยังสามารถบอกได้ถึงความรู้สึกในบริเวณที่ถูกกระตุ้น
        
        2 = สูญเสียการรับความรู้สึกในระดับรุนแรงหรือไม่รู้สึกว่าถูกสัมผัสที่บริเวณใบหน้า แขนและขา
        
        ความสามารถด้านภาษา (Best Language)
        
        0 = การสื่อภาษาเป็นปกติ
        
        1 = การสื่อภาษาสูญเสียไปในระดับน้อยถึงปานกลาง ตรวจพบการสื่อภาษาที่ไม่ต่อเนื่อง มีการสูญเสียความเข้าใจหรือความสามารถในการใช้ภาษาในการสื่อสาร แต่ยังพอที่จะเข้าใจได้ว่าผู้ป่วยกำลังพูดถึงอะไรอยู่
        
        2 = การสื่อภาษาสูญเสียอย่างรุนแรง ผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสารให้ผู้ตรวจเข้าใจได้ และผู้ทดสอบไม่สามารถทราบได้ว่าผู้ป่วยกำลังพูดถึงอะไร
        
        3 = ไม่พูด หรือมี Global Aphasia (ไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นพยายามสื่อภาษา และไม่สามารถแสดงท่าทาง พูด และเขียนให้ผู้อื่นเข้าใจ)
        
        การออกเสียง (Dysarthria)
        
        0 = พูดได้ชัดเจนเป็นปกติ
        
        1 = พูดไม่ชัดเล็กน้อยถึงปานกลาง (ผู้ป่วยพูดไม่ชัด เป็นบางคำโดยผู้ตรวจพอเข้าใจได้)
        
        2 = พูดไม่ชัดอย่างมากหรือผู้ป่วยไม่พูด ผู้ตรวจไม่สามารถเข้าใจคำพูดของผู้ป่วยได้ (โดยที่ไม่มีความผิดปกติของความสามารถทางภาษา)
        
        การขาดความสนใจในด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย (Extinction and Inattention)
        
        0 = ไม่พบความผิดปกติ
        
        1 = มีความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งของการรับรู้ในด้าน การมองเห็น การสัมผัส การได้ยิน เมื่อมีการกระตุ้น 2 ข้างพร้อมๆ กัน
        
        2 = มีความผิดปกติในด้านการรับรู้ มากกว่า 1 อย่าง หรือผู้ป่วยไม่รับรู้ว่าเป็นมือของตัวเอง หรือสนใจต่อสิ่งเร้าเพียงด้านเดียว
        
        การให้คะแนนจากการประเมินด้วย NIHSS จำแนกออกเป็น 4 ระดับดังนี้
        
        คะแนน 25 = Very Severe Impairment
        
        คะแนน 15–24 = Severe Impairment
        
        คะแนน 5–14 = Mild to Moderately
        
        มีระดับอ่อนปานกลาง
        
        คะแนน ≤ 4 = Mild Impairment
        
        ภาวะสูญเสียความสามารถของสมองในการจำ
        
        การแปลผลของคะแนนที่ได้จากประเมินโดยใช้ NIHSS จะต่างจากการประมินด้วย GCS คือ ถ้าคะแนนของ NIHSS มากแสดงว่า ผู้ป่วยมีภาวะความรุนแรงของโรคมาก ส่วน GCS ถ้าคะแนนมากแสดงว่า ผู้ป่วยมีความรุนแรงของโรคน้อย
      - การประเมินผล คะแนนเต็ม 42 คะแนน
        คะแนน 25 คะแนน 15–24 คะแนน 5–14คะแนน ≤ 4
        = Very Severe Impairment
        = Severe Impairment
        = Mild to Moderately
        = Mild Impairment32,35
- - - - รักษาที่โรงพยาบาลตำรวจมีสิทธิประกัน30บาท
      - ประวัติการแพ้ยา
        -ผู้ป่วยไม่มีประวัติแพ้ยา
        
        ประวัติการใช้สารเสพติด
        สูบบุหรี่1ซองทุกวันเป็นเวลา35ปี เลิกมาแล้ว10ปี และดื่มแอลกอฮอล์ ปริมาณ1แบน เป็นเวลา30 ปี พึ่งเลิกดื่ม
- - - - มีถ่ายเป็นอุจจาระสีดำ มีเมือกและมีกลิ่นคาวเลือด(melena) มีประวัติเคยเป็นมาถึง2ครั้งแต่หายได้เองและเริ่มถ่ายดำอีกครั้งในล่าสุด แพทย์จึงส่งทำEGDเนื่องจาก ผู้ป่วยได้ทำการให้เลือด2unitในการประคับประครองผู้ป่วยและ ยาได้ทำการให้ยา omeprazole
      - ผู้ป่วยมีค่าhematocrit ต่ำ
      - มีผลมาจากผู้ป่วยได้ดื่มแอลกอฮอล์ทุกวันและได้เลิกเดิมเมื่อ10ปีก่อน
    - - พิษของสุราจะทาให้เยื่อบุกระเพาะอาหารถูกทาลาย ซึ่งกรดในกระเพาะก็จะ เพิ่มมากขึ้นทาให้เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบ เป็นแผลในกระเพาะ จะทาให้เกิดมีอาการปวด ท้องหรืออาเจียนเป็นเลือดได