Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

“แผนการพยาบาลเพื่อให้เด็กได้รับยารักษา โรคหัวใจและหลอดเลือดอย่างปล…

- - - - อาการบวมน้ำ
      - ความดันโลหิตสูง
      - โพเเทสเซีนมในเลือดต่ำ
    - - ควรใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดไม่ควรใช้ยานี้ในปริมาณมากกว่าหรือติดต่อกันนานกว่าที่แพทย์แนะนำ
      - การรับประทานยาพร้อมอาหาร
    - - ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อบุช่องท้องและอาการบวมน้ำเกี่ยวข้องกับโรคตับแข็ง
      - ความดันโลหิตสูง
      - ภาวะโพเเทสเซียมในเลือดต่ำจากการใช้ยาขับปัสสาวะ
      - ภาวะร่างกายมีฮอร์โมนแอลโดสเตอโรนมากเกินไป
    - - พบว่ามีอาการแพ้ยาเช่นหายใจลำบากหน้าบวมปากบวมควรไปพบแพทย์ทันทีควรหยุดใช้ยาทันทีและแจ้งให้แพทย์ทราบหากมีอาการต่อไปนี้
      - ระดับโพเเทสเซีนมในร่างกายสูงเช่นหัวใจเต้นช้ากว่าปกติ
      - มีเลือดออกในกระเพาะอาหารเช่นอุจจาระปนเลือดหรืออุจจาระสีดำไอปนเลือด อาเจียนสีน้ำตาลเข้ม
    - - ดูเเลให้ดูTV fluid เพื่อรักษาสมดุลน้ำในร่างกาย
      - ปรพเมินระดับความรู้สึกตัว
      - วัดสัญญาณชีพจรทุก1ชม.
  - - - ภาวะหัวใจหยุดเต้น
      - ระวังภาวะความดันเลือดต่ำ
    - - เสี่ยงต่อหัวใจเต้นผิดจังหวะ เนื่องจากระดับโปตัสเซียมในเลือดสูงกว่าปกติจากไตไม่สามารถยับยั้งโปตัสเซียมได้
      - เสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดในสมองแตก เนื่องจากมีความดันโลหิตสูง
      - เสี่ยงต่อภาวะพร่องออกซิเจนจากปอดบวมน้ำ เนื่องจากไตไม่สามารถขับน้ำออกได้และอาจเกิดภาวะน้ำเกิน
    - - ชั่งน้ำหนักทุกวันโดยชั่งเครื่องเดิมและเวลาเดิม เพื่อประเมินความสมดุลน้ำของร่างกาย
      - ให้ดื่มน้ำอย่างจำกัดตามแผนการรักษา
      - ดูแลให้ได้รับประทานอาหารที่มีเกลือต่ำ เพื่อลดการคั่งน้ำและโซเดียมให้เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วย
      - สังเกตการบวมของแขนขา เพื่อประเมินภาวะน้ำเกินในร่างกาย
    - - ลดและยับยั้งการเพิ่มขึ้นของความดันโลหิต
      - เป็นยาที่ใช้ร่วมกับยารักษาโรคไตวาย
      - เป็นยาที่กระตุ้นให้เกิดการขับปัสสาวะ กรณีที่อยู่ในภาวะhyperkalemia
      - ใช้เป็นยาขับปัสสาวะเพื่อรักษาอาการบวมและการคั่งของน้ำในร่างกาย
  - - - ยารักษาโรคเบาหวาน เนื่องจากยาขับปัสสาวะ Hydrochlorothiazide จะทำให้น้ำตาลสูงขึ้น ดังนั้นอาจจำเป็นต้องปรับยารักษาเบาหวาน
      - ยาความดันโลหิตชนิดอื่นอาจจะเสริมฤทธิ์ทำให้ความดันโลหิตต่ำ
    - - ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคเก๊าท์เนื่องจากยาลดการขับกรดยูริคจึงอาจทำให้อาการโรคเก๊าท์กำเริบ
      - ห้ามใช้ในผู้ป่วยตับวายหรือไตวายเพราะจะยิ่งทำให้ตับและไตทรุดลงไปอีก
      - ควรเลี่ยงในสตรีมีครรภ์เพราะยาลดปริมาณเลือดที่จะไหลผ่านรกจึงอาจทำให้ทารกขาดเลือดได้
    - - เสี่ยงต่อการพร่องออกซิเจนจากปอดบวมน้ำเนื่องจากไตไม่สามารถขับน้ำออกได้
      - เสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดในสมองแตกเนื่องจากความดันโลหิตสูง
      - เสี่ยงต่อเต้นผิดจังหวะเนื่องจากโพแทสเซียมในเลือดสูงกว่าปกติไตไม่สามารถขับโพแทสเซียมได้
    - - สังเกตุระดับความรู้สึกตัว
      - ตรวจสอบสัญญาณชีพทุก 1 ชั่วโมง
      - ดูแลให้รับอาหารจืด เนื้อน้อย โฟตัสเซียมต่ำ แคลอรี่สูง ตามแผนการรักษาของแพทย์
      - บันทึกจำนวนน้ำเข้าและขับออกทุก 6 ชั่วโมง
    - - ความดันโลหิตต่ำรุนแรง
      - หัวใจหยุดเต้น
      - วิงเวียนศีรษะรุนแรง
      - ปวดท้อง
  - - - ระวังการใช้ยาในผู้ที่เเพ้ยากลุ่มซัลฟา หรือ เพนิซิลลิน
      - ระวังการใช้ยาในกลุ่มผู้ที่กำลังวางเเผนการผ่าตัด
      - ระวังในผู้ป่วยที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะอาจจะทำให้ทารกเป็นโรคดีซ่าน หรือ มีปัญหาสุขภาพอื่นๆ
    - - ควรเก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง หรือที่ประมาณ 15-30 องศาเซลเซียส ไม่ควรเก็บในที่ที่มีความร้อน และความชื้น ไม่ควรสัมผัสแสงโดยตรง รวมถึงปิดฝาให้สนิททุกครั้งหลังใช้ยา ควรเก็บให้ไกลจากมือเด็ก และไม่ควรรับประทานยาที่หมดอายุ
      - ควรอ่านฉลากยาและปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรใช้ยาในปริมาณที่มากหรือน้อยเกินไป และไม่ควรใช้ยานี้เกินกว่าระยะเวลาที่แพทย์สั่ง
      - หากลืมรับประทานยาตามเวลาที่แพทย์สั่ง เมื่อนึกขึ้นได้ให้รับประทานได้ทันที หากนึกขึ้นได้ใกล้กับมื้ออาหารถัดไป ให้รับประทานยาในเวลาและขนาดตามปกติ ไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเพื่อทดแทนในมื้อที่ขาดหายไป
    - - ประเมิณระดับน้ำเข้าเเละน้ำออก ทุกๆ 4 ชั่วโมง
      - ผักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการทานอาหารเเละขาที่ทำให้ปัสสาวะเเสบขัด
      - ดูเเลให้รับประทานอาหารที่มีโซเดี่ยมต่ำ เเละทานอาหารที่มีสารอาหารที่เพียงพอต่อร่างกาย
      - สังเกตอาการบวม ที่บริเวณเเขนเเละขาของผู้ป่วย
    - - ใช้รักษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูง รวมถึงรักษาภาวะคั่งน้ำในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจล้มเหลว โรคตับแข็ง โรคไต อาการบวมน้ำจากการใช้ยาสเตียรอยด์หรือยาฮอร์โมนเอสโตรเจน
      - ใช้ในผู้ที่มีปัญหาที่ต้องใช้ยาขับปัสสาวะควบคู่กัน กับการรักษา
- - - - ปริมาณเลือดออกจากหัวใจต่อนาทีลดลง เนื่องจากพยาธิสภาพของหัวใจล้มเหลวและภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
        
        มีภาวะน้ำเกิน เนื่องจากหัวใจไม่สามารถบีบตัวให้เลือดไปเลี้ยงไตได้เพียงพอทำให้ไตขับปัสสาวะออกได้น้อยและการมีโซเดียมคั่ง
        
        การแลกเปลี่ยนก๊าซบกพร่อง เนื่องจากน้ำคั่งในปอด
        
        การกำซาบของเนื้อเยื่อลดลง เนื่องจากปริมาณเลือดออกจากหัวใจลดลง
        
        ความทนในการทำกิจกรรมลดลง เนื่องจากปริมาณเลือดออกจากหัวใจลดลง
        
        ผิวหนังสูญเสียหน้าที่ เนื่องจากบวมน้ำ
        
        มีภาวะโปตัสเซียมต่ำเนื่องจากได้ยาขับปัสสาวะ
        
        แบบแผนการนอนหลับเปลี่ยนแปลง: นอนหลับไม่เพียงพอเนื่องจากเหนื่อยหอบ/ปัสสาวะบ่อยเวลากลางคืน
        
        วิตกกังวลจากอาการของโรค
    - - ลดความต้องการใช้ออกซิเจนของร่างกายให้หัวใจทำงานลดลง โดยให้นอนพักบนเตียง
        
        ออกซิเจน
        
        ให้นั่งหรือนอนศีรษะสูง
        
        เพิ่มประสิทธิภาพในการบีบตัวของหัวใจ โดยดูแลผู้ป่วยให้รับยากลุ่มไดจิตอลลิจตามแผนการรักษา และระวังพิษของยา
        
        ดูแลให้ไดรับยาเพิ่มความดันโลหิต ยาขยายหลอดเลือด ตามแผนการรักษาของแพทย์
        
        เฝ้าระวังอาการที่ผิดปกติ โดยวัดสัญญาณชีพ การสังเกตอาการหอบเหนื่อย บวมตามร่างกายว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง ไม่ควรลดบวมด้วยการยกขาสูง การชั่งน้ำหนักทุกวัน
        
        ลดการคั่งของน้ำในร่างกาย
        7.1 จำกัดน้ำดื่ม บันทึกปริมาณน้ำดื่มและปัสสาะ น้ำ
        7.2 จำกัดอาหารรสเค็ม
        7.3 ดูแลให้ได้รับยาขับปัสสาวะ ให้แนะนำผู้ป่วยรับประทานผลไม้เพิ่ม เพื่อป้องกันโปตัวเสซียมในเลือดต่ำจากการขับปัสสาวะบ่อย
        
        ประคับประคองทางด้านจิตใจ ให้กำลังใจ ให้ความมั่นใจ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรค การรักษาพยาบาล
        
        ให้ความรู้ในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการเกิดอาการซ้ำ ๆ และต้องมาโรงพยาบาลบ่อยขึ้น