Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
อวัยวะรับสัมผัส, นางสาว บุศกร ชุ่มจิตร 62111301044 เลขที่ 42 - Coggle…
อวัยวะรับสัมผัส
หู
-
-
-
การสูญเสียการได้ยิน
ภาวะที่มีความบกพร่องในกลไกของการได้ยิน ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการฟัง หูอื้อ ได้ยินไม่ชัด หรือมีเสียงดังในหู พบได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยชรา
-
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
-
อาการร่วม เช่น ปวดหู น้ำออกหู คันหู มีเสียงดังในหู เวียนหัวบ้านหมุน อาการผิดปกติของระบบประสาทจะช่วยบอกตำแหน่ง
ประวัติในอดีต เช่น การใช้ยาที่มีพิษต่อหู อุบัติเหตุที่ศีรษะ การผ่าตัดใบหู การได้ยินเสียงดังมากเกินไป ประวัติบุคคลในครอบครัว มีหูหนวก เป็นใบ้
-
-
จมูก
โรคที่พบ
เลือดกำเดา (Epistaxis)
สาเหตุ
ภาวะที่มีเลือดออกมาทางจมูก จากการฉีกขาดของหลอดเลือดทีเยื่อบุจมูกซึ่งอาจมาจาก ได้รับบาดจ็บ การมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไป และการมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด รวมทั้งการติดเชื้อรวมไปถึงการมีเนื้องอกในช่องจมูกด้วย
อาการและอาการแสดง
- เลือดออกจากผนังกั้นจมูกส่วนหน้า (Anterior Epistaxis) พบบริเวณที่เรียกว่า Kiesselbach ' s plexus or little area ซึ่งเป็นบริเวณที่มีหลอดเลือดที่มาเลี้ยงจกรวมอยู่มาก พบมากในเด็กและคนหนุ่มสาว
- เลือดออกจากผนังกั้นจมูกส่วนหลัง (Posterior Epistaxis) มักพบในผู้สูงอายุที่มีโรด HT หรือโคในกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือดทำให้เลือดออกง่ายหยุดยาก
การรักษา
- เลือดออกจากผนังกั้นจมูกส่วนหน้า
(Anterior Epistaxis)
-
1.2 การใช้ Anterior nasal packing คือ การใส่ผ้ากอซที่มียาปฏิชีวนะและสารพวก Gel foam (ใช้หล่อลื่นเวลานำออก) เพื่อไปอุดตำแหน่งเลือดออก
- เลือดออกจากผนังกั้นจมูกส่วนหลัง (Posterior Epistaxis) เป็นตำแหน่งที่เลือดออกมากและหยุดยาก
2.1 Posterior nasal packing คือ การอุดในช่องคอหลังโพรงจมูกโดยใช้ gauze tampon หรือใช้ balloon หรือ สาย Foley 's ซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนกับผู้ป่วยต้องดูแลอย่างใกล้ชิด
-
-
-
-
การพยาบาลหลังการรักษา
-
- ห้ามสั่งน้ำมูกหรือแกะสะเก็ดแผล
- ถ้ามีอาการบวมบริเวณจมูกมากให้ประคบเย็น และให้ยาแก้ปวดร่วมกับจัดท่านอนศีรษะสูง 45 - 60 องศา เพื่อลดอาการบวมและให้พักผ่อนให้เพียงพอ
- ประเมินเลือดออกโดยสัเกตผ้ากอช ว่ามีเลื่อนหลุดลงไปในลำคอหรือไม่ถ้าเลื่อนต้องตัดให้สั้น แต่ห้ามดึงผ้าก๊อซออกเอง
- อธิบายให้ทราบว่า อาจมีอาการหูอื้อได้ แต่จะหายเมื่อนำตัวกดห้ามเลือดออก ซึ่งจะเอาออกหลังใส 48 - 72 ชั่วโมงแต่รายที่มีเลือดออกมากอาจใส่นาน 7 วัน
- หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนบริเวณจมูก เช่น การแคะขี้มูก การสั่งน้ำมูกแรง ๆ ซึ่งห้ามทำอย่างน้อย 1 สัปดาห้ ถ้าไอ จามให้เปิดปากด้วย
- ภายหลังการนำเอาตัวกดเลือดออก ควรนอนพักนิ่ง ๆก่อน 2 - 3 ชม.ห้ามยกของหนักการออกกำลังกายโดยใช้แรงมาก ๆ อย่างน้อย 4 - 6 สัปดาห์หลังมีเลือดออก
-
Sinusitis
สาเหตุ
- สุขภาพทั่วไปของผู้ป่วยไม่ดี เช่น ภูมิต้านทานต่ำ เป็นโรคเลือด เบาหวานภาวะที่ร่างกายตรากตรำมากเกินไปนอนไม่หลับ การกระทบกับการเปลี่ยนแปลของอากาศอย่างกะทันหัน โดยเฉพาะความเย็นจัด ถูกฝุ่นละออง และควันบุหรี่จำนวนมาก
- สภาพของจมูก ช่น การอักเสบในจมูก เนื้องอกในจมูก แผ่นกั้นช่องจมูกคด
- สาเหตุโดยตรง ได้แก่ โรคที่มีอาการนำทางจมูก ฟันผุและการถอนฟ้น การสั่งน้ำมูกแรง ๆ จามมาก ๆ อย่างรุนแรง การดำน้ำ
อาการ
- มีอาการปวดกดเจ็บบริเวณโพรงอากาศข้างจมูก
-
- มีของเหลวเป็นหนองไหลออกจากช่องจมูก
การรักษา
- ส่วนมากเป็นการรักษาด้วยยรับประทาน ไม่นิยมให้ยาหยอดจมูก
- ผู้ป่วยที่ปฏิบัติตนตามที่แพทย์แนะนำและรับประทานยาสม่ำเสมอ มักหายได้ง่าย
- ในระยะนี้ยาที่ใช้ส่วนใหญ่ คือยาปฏิชีวนะและยาที่รักษาตามอาการ
การพยาบาลหลังผ่าตัด
-
2.ประคบบริเวณจมูกด้วยความเย็นเพื่อบรรเทาอาการปวด (ใน 48 ชั่วโมแรกไม่ควรประคบร้อนเพราะจะกระตุ้นให้มีเลือดออกได้)
- การป้องกันการติดเชื้อ ควรกระตุ้นให้ผู้ป่วยดูแลทำความสะอาดช่องปากโดยบ้วนปากด้วยน้ำเกลือปราศจากเชื้อบ่อย ๆ ควรหลีกเลี่ยงการแปรงฟันบริเวณแผล
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย การยกของ หรือทำงานหนัก ภายใน 10 -14 วันแรกหลังผ่าตัด
- ไม่ควรไอจามแรงๆถ้าจะจามให้ทำแบบเปิดปากด้วยเพื่อลดแรงดันที่จะเข้าสู่โพรงอากาศข้างจมูกซึ่งทำให้แผลผ่าตัดในช่องปากแยกได้
ตา
โรคที่พบ
ต้อหิน
-
-
อาการและอาการแสดง
ต้อหินระยะเฉียบพลัน
มีอาการปวดศีรษะมาก ปวดตามากสู้แสงไม่ได้ ตามัวลงคล้ายหมอกมาบัง บางคนมองเห็นแสงสีรุ้งรอบ ๆ ดวงไฟ เนื่องจากมีน้าเข้าแทรกอยู่ในกระจกตา
ต้อหินระยะเรื้อรัง
ความดันของลูกตาสูงขึ้นเล็กน้อย ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกอาการอะไรเลย บางคนรู้สึกมึนศีรษะ ตาพร่ามัว รู้สึกเพลียตา ไม่มีอาการปวด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของลานสายตา ลานสายตาจะค่อย ๆ แคบลง
-
ต้อกระจก
สาเหตุ
-
•ความผิดปกติโดยกาเนิด (Congenital cataract) ความผิดปกติในการเจริญเติบโตของลูกตา
ในเด็กทารกแรกเกิด ส่วนมากเป็นกรรมพันธุ์
•เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ (Secondary cataract) โดนกระทบกระเทือนอย่างแรงที่ลูกตา หรือโดนของมีคมทิ่มแทงทะลุตาและไปโดยเลนส์ตา เป็นต้อหิน โรคเบาหวาน ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ พาราไทรอยด์ พิษสารเคมี
-
อาการและอาการแสดง
ตามัว ลงช้า ๆ โดยไม่รู้สึกเจ็บปวด โดยเฉพาะมีอาการตามัวขึ้นในที่สว่าง เนื่องจากในที่มีแสงสว่างรูม่านตาจะเล็กลง ส่วนอยู่ในที่มืดจะเห็นชัดขึ้นเพราะรูม่านตาขยาย
-
ความสามารถในการมองเห็นลดลง รู้สึกว่าสายตาสั้นลง เพราะการหักเหของแสงที่เปลี่ยนไปจึงทาให้มองได้ชัดเจนในระยะที่ใกล้
-
การรักษา
1.Intracapsular cataract extraction (IICE) คือ การผ่าตัดนาแก้วตาที่ขุ่นพร้อมทั้งเปลือกหุ้มเข้าตาทั้งหมดในเวลาเดียวกันการผ่าตัดชนิดนี้มีผลไม่แน่นอน มีผลต่อสายตาการมองถ้าไม่ใส่เลนส์เข้าไปแทนที่ ผู้ป่วยจะต้องใส่แว่นตา หรือคอนแทคแลนส์ หรือใส่แล้วแพทย์วางตาแหน่งไม่ตรงทาให้เกิดสายตาเอียงได้
- Extracapsular cataract extraction (ECCE) คือ การผ่าตัดเอาแก้วตาที่ขุ่นออกพร้อมทั้งเปลือกหุ้มเข้าตาด้านหน้า โดยเหลือเปลือกหุ้มแก้วตาด้านหลัง
- Phacoemulsification with Intraocular Lens (PE C IOL) เป็นการผ่าตัดต้อกระจกโดยใช้คลื่นเสียงหรืออัลตราซาวด์ที่มีความถี่สูงเข้าไปสลายเนื้อแก้วตาแล้วดูดออกมาทิ้ง และจึงนาแก้วตาเทียมใส่เข้าไปแทน
จอประสาทตาลอก
-
ชนิด
-
-
3.จอประสาทตาลอกชนิดไม่มีรูขาดที่จอประสาทตา (Non-rhegmatogenous retinal detachment or exudative retinal detachment)
อาการและอาการแสดง
มีอาการมองเห็นแสงจุดดาหรือเส้นลอยไปลอยมา (floater) มองเห็นแสงวูบวาบคล้ายฟ้าแลบ (flashes of light) มองเห็นคล้ายม่านบังตา (scotoma) หากมีการหลุดลอกบริเวณจุดรับภาพ (macula) การมองเห็นก็จะเลวลง ผู้ป่วยจะมีอาการตามัวร่วมด้วย
การรักษา
-
•Cryocoagulation (การจี้ด้วยความเย็น) บริเวณรอบ ๆ รูหรือรอยฉีกขาดของจอประสาทตา เพื่อช่วยยืดให้จอประสาทตากลับเข้าที่ ซึ่งวิธีการชนิดนี้จะทาเมื่อจอประสาทตาฉีกขาดเป็นรู
•การฉีดก๊าซเข้าไปในตา (Pneumatic retinopexy) เป็นวิธีการฉีดก๊าซเข้าไปในช่องน้าวุ้นลูกตาเพื่อดันให้จอประสาทตาที่หลุดลอกกลับเข้าไปติดที่เดิม
•การผ่าตัดหนุนจอประสาทตา (Scleral buckling) เป็นการใช้วัสดุหรือยางเพื่อหนุนตาขาวให้เข้าไปติดจอประสาทตาที่หลุดลอก
•การผ่าตัดน้าวุ้นลูกตา (Pars plana vitrectomy) เป็นการตัดน้าวุ้นลูกตาที่ดึงรั้งจอประสาทตาให้ฉีกขาดออก
อุบัติเหตุทางตา
-
อาการแสดง
- ปวดแสบปวดร้อนระคายเคืองตามาก
- การมองเห็นจะลดลงถ้าสารเคมีเข้าตาจานวนมาก
- สายตาสู้แสงไม่ได้ ทาให้ผู้ป่วยพยายามจะหลับตาตลอดเวลา (blepharospasm)
การรักษา
- การรักษาที่สาคัญที่สุดคือการล้างตาโดยเร็วที่สุด หากเป็นไปได้ผู้ป่วยควรได้รับการล้างตาด้วยน้าสะอาดปริมาณมากอาจมากกว่า 5 ลิตร ตั้งแต่สัมผัสสารเคมีโดยมิต้องรอจนกระทั่งมาถึงโรงพยาบาล
- เมื่อมาถึงโรงพยาบาลจะได้รับการล้างตาให้โดยทันทีโดยอาจต้องมีการถ่างขยายเปลือกตาแล้วหยอดยาชาก่อนเพื่อให้สามารถล้างตาได้สะดวกขึ้นจนกระทั่งความเป็นกรดด่างในตาหมดไป
3.หากเกิดภาวะ corneal abrasion อาจได้รับการป้ายยา terramycin ointment และปิดตาแน่น (pressure patch) ไว้ 24 ชั่วโมงและนัดมาประเมินซ้าอีกครั้ง
4.การรักษาด้วยการใช้ยาขึ้นกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น แพทย์อาจให้ยาช่วยลดการอักเสบในตา ยาป้องกันการติดเชื้อ และยาที่ช่วยในการหายของแผลเปิดที่กระจกตา ยาลดความดันตา
5.การรักษาด้วยการผ่าตัด ประกอบด้วยการขูดเซลล์กระจกตาที่ตายแล้วออก และอาจมีการปลูกถ่ายเยื่อหุ้มรกเพื่อปิดแผล หรือลดการเกิดแผลเป็นบริเวณเยื่อบุตา การปะกระจกตาที่ทะลุ หรือการเปลี่ยนกระจกตา
เลือดออกในช่องม่านตา
-
-
การรักษา
-
-
•อาจได้รับยา สเตียรอยด์ หยอดเพื่อช่วยป้องกันการเกิด rebleeding เช่นกัน เนื่องจากช่วยลดความระคายเคืองและการคั่งของเส้นเลือด
•ดูแลให้ได้รับยาแก้ปวด paracetamol และ diazepam เพื่อให้ได้พักผ่อนและประเมินอาการปวดตาแต่หากเลือดไม่ถูกดูดซึมไปในเวลาอันควรหรือมีอาการของ Blood stain cornea
-
-
แผลที่กระจกตา
สาเหตุ
-
-
-
ตาปิดไม่สนิทขณะหลับ (Lagophthalmos) เนื่องจากเป็นอัมพาตใบหน้าครึ่งซีก (facial palsy) ทาให้ผิวของกระจกตาดาแห้ง ติดเชื้อง่าย
-
โรคทางกายที่ทาให้ภูมิคุ้มกันทั้งร่างกายบกพร่องลง ติดเชื้อที่กระจกตาได้ง่ายขึ้น เช่น โรครูมาตอยด์ ติดเชื้อ HIV เบาหวาน กระจกตาเป็นแผลเป็น ผู้ที่ติดสุราเรื้อรัง มีภาวะทุพพลภาพ ผู้สูงอายุ
การใส่เลนส์สัมผัส (Contact lens) ที่ไม่สะอาดพอใช้น้ายาล้างแช่ไม่ถูกต้องก็จะทาให้มีเชื้อโรคเกาะติดกับเลนส์ มีโอกาสที่จะเข้าไปในกระจกตาโดยตรง
อาการและอาการแสดง
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา (pain) เคืองตา (foreign body sensation) กลัวแสง (photophobia) น้าตาไหล (lacrimation) ตาแดงแบบใกล้ตาดา (ciliary injection) ตาพร่ามัว (blur vision) กระจกตาขุ่น (hazy cornea) และอาจพบหนองในช่องหน้าม่านตา
การรักษา
-
2.กาจัดสาเหตุที่ทาให้เกิดแผลบริเวณกระจกตาที่เป็นสาเหตุอื่น เช่น ภาวะตาปิดไม่สนิทขณะหลับ (Lagophthalmos) เนื่องจากเป็นอัมพาตใบหน้าครึ่งซีก (facial palsy) ความผิดปกติบริเวณหนังตา
-
4.บรรเทาอาการปวดโดยให้รับประทานยาแก้ปวด paracetamol หากมีอาการปวดมากพิจารณาให้ยาบรรเทาปวดกลุ่ม NSAID
-