Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทฤษฎีทางจิตเวช - Coggle Diagram
ทฤษฎีทางจิตเวช
ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
(Interpersonal Theory)
Trust Versus Mistrust ความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ กับ ความไม่ไว้วางใจ พัฒนาการขั้นแรกจะเกิดขึ้นในช่วงตั้งแต่แรกเกิดจนถึงขวบปีแรก
ทารกจะมีความสุขความพึงพอใจบริเวณปาก และกิจกรรมเกี่ยวกับการกลืนกิน ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปีแรกของชีวิต ทารกที่อยู่ในครรภ์มารดาจะได้รับการตอบสนองที่เพียบพร้อม อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม รับอาหารผ่านทางสายรก อยู่ในภาวะสงบเงียบทำให้ทารกมีความพึงพอใจรู้สึกมั่นคงปลอดภัย
Autonomy Versus Doubt or Shame ความเป็นตัวของตัวเอง กับ ความละอายและสงสัยเกิดขึ้นระหว่างขวบปีที่ 2 -3 ของชีวิต
เด็กจะมีพัฒนาการทางร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อมากขึ้น และเริ่มที่จะเรียนรู้การควบคุมส่วนต่างๆของร่างกาย เคลื่อนไหวร่างกายอย่างเป็นอิสระมากขึ้น สามารถที่จะเรียนรู้อย่างรวดเร็ว และเริ่มสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบข้างเด็กในวัยนี้จะเริ่มฝึกหัดการขับถ่าย การควบคุมกล้ามเนื้อหูรูด
ความคิดริเริ่มกับความรู้สึกผิดอยู่ในช่วงอายุ 3 - 5 ปี
เด็กวัยนี้ร่างกายมีความสมารถและช่วยตัวเองได้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังอยู่ในวงจำกัดการพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สำหรับเด็กในช่วงวัยนี้ทำได้โดยให้เด็กได้ร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ท้าทายความสามารถของเขา รวมทั้งสิ่งแวดล้อมก็มีส่วนผลักดัน และเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ให้กับเด็กได้
ระยะนี้เป็นระยะที่เด็กเริ่มเรียนรู้บทบาททางเพศ มาตรฐานทางศีลธรรมและการควบคุมอารมณ์ ครอบครัวจะเป็นแหล่งชี้แนะถึงสิต่างๆ ในสังคมให้แก่เด็ก เด็กเริ่มสร้างบุคลิกภาพและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจากการได้มีกิจกรรมและประสบการณ์ร่วมกับสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว การอบรมสั่งสอน
Mastery Versus Inferiority ความขยันหมั่นเพียรกับความรู้สึกต่ำต้อยในช่วงอายุ 6 - 12 ปี
เด็กตอนปลายเป็นระยะที่เด็กมีความเจริญเติบโตและมีความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ มากขึ้นจุดสำคัญของพัฒนาการระยะนี้คือการได้แสดงออกว่าเขามีความคิด และมีความสมารถเหมือนผู้ใหญ่ ในช่วงอายุนี้บุคคลรอบข้างควรช่วยชี้แนะแนวทางในการดำเนินชีวิตเพราะเป็นะยะที่พวกเขาเริ่มไตร่ตรองถึงอนาคต
Identity vs. Role Confusion ความเป็นอัตลักษณ์กับความสับสนในบทบาทในช่วงอายุ 13 - 20 ปี
การแสวงหาอัตลักษณ์ของบุคคล และการเสริมสร้างความรับผิดชอบถือว่าเป็นเอกลักษณ์สำคัญ ความรับผิดชอบมีรากฐานมาจากการอบรมของพ่อแม่ และความรู้สึกไว้วางใจและความมั่นใจในตนเอง
Intimacy Versus Isolation ความใกล้ชิดสนิทสนมกับความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างอายุประมาณ 21 - 35 ปี
เป็นวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ที่สามารถหาอัตลักษณ์ของตนเองได้จากช่วงก่อนแล้ว บุคคลในช่วงอายุนี้จะรู้จักตนเอง รู้ว่าตนเองมีความเชื่ออย่างไร เกิดความรู้สึกต้องการมีเพื่อนสนิทที่จะรับและแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ที่ตนมีอยู่ แบ่งปันความเชื่อถือ ความสุขและความต้องการของตนแก่ผู้อื่น
Generativity vs. Self-absorption/ Stagnation การสืบทอดกับการคำนึงถึงแต่ตนเองในช่วงอายุ 36 - 59 ปี
เป็นระยะที่บุคคลมีครอบครัว มีบุตร และเลี้ยงดูบุตรด้วยความเอาใจใส่ ในระยะนี้บุคคลต้องการมีบุตรไว้สืบสกุลการจะมีบุตรซึ่งถือว่าเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัวนั้นต้องมาจากรากฐานของความรักและความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
Integrity vs. Despair ความมั่นคงสมบูรณ์ในชีวิตกับความสิ้นหวังในช่วงอายุ 60 - 80 ปี
พัฒนาการขั้นสุดท้ายนี้มีพื้นฐานจากการปรับตัวในช่วงต้นของชีวิต บุคคลในช่วงวัยนี้มักแสวหาความมั่นคงภายในจิตใจ ซึ่งเกิดเมื่อบุคคลสามารถผ่านพัฒนาการในขั้นต่างๆ มาได้อย่างดี เป็นวัยของการยอมรับความเป็นจริง ใช่คุณค่าจากประสบการณ์ ที่สั่งสมมา ให้เป็นประโยชน์ต่อชนรุ่นหลังและเป็นช่วงของกรระลึกถึงความทรงจำในอดีต
แนวคิดทางสังคม (Social theory)
สาเหตุการเจ็บป่วยทางจิตเกิดจากผู้ป่วยไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางสังคม การช่วยเหลือแก้ไขหรือการรักษาต้องคำนึงถึงสังคมและสภาพแวดล้อมด้วย มุ่งให้ผู้ป่วยสมารถปรับตัวติดต่อและสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นในสังคมได้
องค์ประกอบที่มีผลต่อพฤติกรรม
ตัวแปรทางสังคม (Sociologic variables) ได้แก่ ระดับเศรษฐกิจ ตำแหน่ง เชื้อชาติ บทบาท ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมและการปรับตัวของบุคคลและครอบครัว
วัฒนธรรมมีผลต่อพฤติกรรม พฤติกรรมในวัฒนธรรมหนึ่งๆ อาจจะถูกตีความหมายว่าปกติแต่อีกวัฒนธรรมหนึ่งอาจถูกตีความหมายว่าเบี่ยงเบน
การย้ายถิ่น (Geographical moves) ทำให้บุคคลมีการปรับตัวหลายด้าน นั่นคือ บุคคลพยายามทำตนให้สอดคล้องกับบรรทัดฐานของชุมชนใหม่ ดังนั้นบุคคลกลุ่มนี้จึงมีความเสี่ยงสูงเนื่องจากการย้ายถิ่นและปัญหาของผู้ย้ายถิ่นคือการปรับตัวลำบาก
สถานภาพและบทบาท (Social roles) บทบาทคือการปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่ของสถานภาพ ดังนั้น การที่บุคคลจะแสดงพฤติกรรมชนไรนั้น สถานภาพและบทบาททางสังคมและมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคล อายุ เพศ เชื้อชาติ อาชีพเป็นพฤติกรรมที่คาดหวังจากสังคม
การตีตราทางสังคม (Labeling) เกิดขึ้นเมื่อบุคคลถูกกำหนดตามพื้นฐานบางอย่าง การตีตราทางสังคมนี้ไม่ว่าจะเป็นการประมาณอย่างถูกต้องหรือยุติธรรมนั้น แต่สิ่งนี้ส่งผลต่อการตอบสนองของบุคคลอื่นต่อบุคคลที่ถูกตีตราทางสังคม
การแบ่งชั้นทางสังคม (Social stratification) ความแตกต่างของชนชั้นทางสังคมมีผลต่อการเลี้ยงดูเด็ก ซึ่งจะมีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพ
การนำทฤษฎีทางสังคมมาใช้ในการพยาบาล
นักสังคมวิทยาจะมองความผิดปกติทางจิตเป็นผลมาจากองค์ประกอบทางด้านบุคคลและครอบครัว การมองสังคมของพยาบาลจะมองที่ตัวแปรทางวัฒนธรรม ค่านิยม ประเพณีที่นสนใจในชุมชน เพื่อศึกษาแนวทางในการดำเนินชีวิตและแสดงออกถึวิถีชีวิตของบุคคล ซึ่งจะมีผลต่อแผนการพยาบาลในการร่วมมือต่อการดูแลสุขภาพ
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์
(Psychoanalytic theory)
องค์ประกอบพฤติกรรมมนุษย์
ระดับของจิตใจ
Conscious Level
เป็นส่วนของจิตใจที่เจ้าตัวรู้สึกตัวและตระหนักในตนเองอยู่ พฤติกรรมที่แสดงออกอยู่ภายใต้การควบคุมด้วยสติปัญญา ความรู้ และการพิจารณาให้เหมาะสมกับสิ่งที่ถูกต้องและสังคมยอมรับ
Subconscious Level
เป็นระดับของจิตใจที่อยู่ใน ชั้นลึกลงไปกว่าจิตสำนึก คือ เจ้าตัวไม่ได้ตระหนักอยู่ตลอดเวลา หากต้องใช้เวลาคิดหรือระลึกถึงชั่วครู่ และประสบการณ์ต่าง ๆจะถูกดึงมาสู่จิตสำนึก จิตใจส่วนนี้จะช่วยขจัดข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกจากความรู้สึกของบุคคล และเก็บไว้แต่ในส่วนที่มี
ความหมายต่อตนเอง จิตใจส่วนนี้ดำเนินการอยู่ ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน
Unconscious Level
เป็นระดับของจิตใจในชั้นลึกที่เจ้าตัวเก็บไว้ในส่วนลึก อันประกอบไปด้วยความต้องการตามสัญชาตญาณต่าง ๆ ซึ่งไม่อาจแสดงได้โดยเปิดเผย
และประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนของพัฒนาการในชีวิตที่มนุษย์เก็บสะสมไว้ โดยเฉพาะที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด
มนุษย์จะเก็บกดความรู้สึกทางลบนี้ไว้ในส่วนจิตไร้สำนึก และ จะแสดงออกในบางโอกาส ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้ควบคุมและไม่รู้สึกตัว
กลไกการป้องกันทางจิต
เป็นกระบวนการทางจิตที่มนุษย์ใช้เพื่อบิดเบือนหลีกเลี่ยง หรือปฏิเสธสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล ทำให้บุคคลสามารถป้องกันความคิด รักษาความนับถือยกย่องตัวเองได้จากความกลัวต่างๆ ที่มารบกวนจิตใจ ซึ่งเกิดขึ้นในตัวเองโดยอัตโนมัติ ส่วนใหญ่นำไปใช้โดยไม่รู้ตัว
กลไกการป้องกันตนเองที่มีวุฒิภาวะ (Mature defense)
Anticipation (การคาดการณ์)
Altruism (การเห็นประโยชน์ผู้อื่น)
Humor (อารมณ์ขัน)
Suppression (การกดระงับ)
Compensation (การชดเชย)
Sublimation (การหดเกิด)
กลไกการป้องกันตนเองแบบโรคประสาท (Neurotic defense)
Repression (การเก็บกด)
Displacement (การระบายไปที่อื่น)
Reaction-formation (การกระทำที่ตรงกันข้าม)
Undoing (การปลดเปลื้อง)
Isolation (การแยกอารมณ์)
Dissociation (บุคลิกภาพแตกแยก)
กลไกการป้องกันตนเองแบบไม่บรรลุวุฒิภาวะ (Immature defense)
Denial (การปฏิเสธ)
Projection (การโทษผู้อื่น)
Rationalization (การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง)
Fantasy (การเพ้อฝัน)
Regression (การถดถอย)
Introjection (การโทษตัวเอง)
โครงสร้างของจิตใจ
ID
เป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด คือ ความต้องการทางเพศ ความต้องการก้าวร้าว
ทำให้มนุษย์สนองความต้องการทันทีทันใด ขาดสติ ขาดการควบคุม หรือยังคิดไม่มีเหตุผล ไม่มีการพิจารณาว่าสิ่งใดเหมาะสม
Ego
เป็นตัวควบคุมอิดให้แสดงพฤติกรรมที่ตอบสนองความต้องการอย่างเหมาะสม มีการพิจารณา ไตร่ตรอง อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง รู้จักยับยั้ง แรงขับสัญชาตญาณของตนเองที่เกิดขึ้นและหาวิธีสนองความต้องการของตนเองอย่างถูกต้อง รู้จักใช้เหตุผล รู้จักแยกแยะความแตกต่างตามกฎของความเป็นจริง ซึ่งการศึกษาและการอบรมเลี้ยงดูจะช่วยขัดเกลาให้บุคคลมีบุคลิกภาพเหมือนอีโก้
Super Ego
เป็นโครงสร้างของบุคลิกภาพที่ได้มาจากการเรียนรู้จากทัศนคติของผู้ปกครองและสังคม ประกอบด้วยความรู้สึกนึกคิด 2 ส่วน คือ มโนธรรม อุดมคติของตน ทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมต่าง ๆ ของบุคคล
สัญชาติญาณ
สัญชาตญาณทางเพศ (Sexual instinct)
คือสัญชาตญาณเพื่อเอาชีวิตรอดและการดำรงเผ่าพันธุ์ ทำหน้าที่ผลักดันให้มนุษย์แสวงหาความพอใจตามที่ต้องการ และยังเกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์ มีลักษณะเป็นพลังงานสร้างสรรค์ ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ แรงขับทางเพศ ซึ่งถือว่ามีมาแต่แรกเกิด ซึ่งมีบริเวณที่ก่อให้เกิดความพึงพอใจตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายตามวัยของการพัฒนา
สัญชาตญาณทางก้าวร้าว (Aggressive instinct)
ทำหน้าที่ผลักดันให้มนุษย์แข่งขันกัน ชิงดีชิงเด่นกัน เอาชนะกัน มีลักษณะเป็นพลังทำลาย พยายามทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างแยกออกจากกันสัญชาตญาณทางเพศ หรือสัญชาตญาณทางการมีชีวิตอยู่และทางก้าวร้าวอาจเกิดร่วมกันได้
พัฒนาการของบุคลิกภาพ
ขั้นปาก (Oral stage) ระยะแรกเกิดถึง 1 ปี
ความสุขความพอใจของเด็กอยู่ที่ปาก แสดงออก
โดยการได้ดูดนมมารดา จะทำให้เด็กมีความสุขความพอใจ
ขั้นอวัยวะขับถ่าย (Anal stage) อายุ 2-3 ปี
ความสุขจากบริเวณปากมาอยู่บริเวณอวัยวะ
ขับถ่าย โดยที่เด็กจะค้นพบว่าการกลั้นไว้ หรือการ
ปลดปล่อย นั้นเป็นเครื่องกระตุ้นบริเวณขับถ่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดความสุขสำราญใจ ทางหนึ่งในระยะนี้ ผู้ใหญ่ควรฝึกให้นั่งกระโถนให้เป็นเวลา อย่าปล่อยให้เด็กถ่ายตามใจ
ขั้นอวัยวะสืบพันธ์ (Phallic stag) เมื่อเด็กอายุ 3-5 ปี
อวัยวะเพศกลายเป็นแหล่ง ความสุขทางเพศของเด็ก แทนการขับถ่าย เริ่มด้วยการลูบคลำ จับต้องอย่างมีความสุข
ขั้นแฝง (Latency stage) อายุ 6-11 ปี
เป็นระยะก่อนถึงวัยหนุ่มสาว เป็นระยะที่ความรู้สึกทางเพศไม่ปรากฎเห็นเด่นชัดหรือที่ เรียกว่า ระยะเก็บตัวเด็กในวัยนี้จะมีสัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อนเพศเดียวกันโดยที่เด็กชายจะคบและเล่นกับเด็กชา ส่วนเด็กหญิงจะมีกิจกรรมกับเด็กหญิงและในช่วงปลายขั้นแฝงเด็กจะเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่กำลังเกิดขึ้น และได้รับฟังมาทำให้ระมัดระวังในพฤติกรรมที่แสดงออกมากขึ้น
ขั้นความสนใจ พึงพอใจทางเพศ (Genital stage)อายุ 12-15 ปี
เป็นระยะวัยหนุ่มสาว เริ่มมีความสนใจทางเพศ พึงพอใจเพศตรงข้าม พร้อมที่จะมีคู่ครอง หมดความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์กับพ่อแม่ พัฒนาการทางเพศจะขลุกขลักได้จากหลายทาง บางคนแข็งแกร่งดี แต่บางคนพลาดท่าล้มเหลว และหันมาตั้งต้นใหม่ บางคนอาจจะหยุดชะงัก