Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

เมตาบอลิซึม, ประกอบด้วย, Deoxyribonucleic acid (DNA) 55555 - Coggle Diagram

- - - - หน้าที่
        
        เป็น Allosteric effector ที่ควบคุมการทำงานเอนไซม
        
        เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ Eofactor
        
        GTPnในการสังเคราะห์ tetrahydrobiopterin
        
        มีบทบาทในการนำพลังงานจากการสลายอาหารไปใช้ในกระบวนการต่างๆที่ต้องใช้พลังงาน คือ (ATP)
        
        ช่วยนำสาร Intermediate ในปฏิกิริยา
        
        UDP-glucose ในการสังเคราะห์ Glycogen,CDP-choline
        
        CDP-diacyglycerol ในการสังเคราะห์ phospholipid
        
        เป็น Mediator ในขบวนการต่าง
        
        CAMP,cGMp เป็น(2nd) messenger ของฮอร์โมนหลายชนิด
        
        ADP เกี่ยวข้องกับเกาะกลุ่มของเกล็ดแลือด
      - Ribonucleic acid (RNA)
        
        นิวคลีโอไทด์สายยาวที่เป็นสายเดียว
        
        สังเคราะห์โปรตีน
      - การสังเคราะห์
        
        สังเคราะห์ puriine
        
        สังเคราะห์ pyrimidine
        
        สังเคราะห์ deoxyribonucleotide
        
        สังเคราะห์ thymidlate
      - การสลาย
        
        Purine
        
        pyrimidine
- - - - Glycoprotein
      - Necleotide
      - Glycolipid
    - - Disaccharide
        
        Lactose
        
        Maltose
        
        Sucrose
      - Polysaccharide
        
        Cellulose
        
        Starch
        
        Glycogen
      - Monosaccharide
        
        Fructose
        
        Glucose
        
        Galactose
  - - - แบ่งเป็น 2 ระยะ
        
        ระยะไม่ใช้ออกซิเจน
        
        เป็นการสังเคราะห์น้ำตาล 5 คาร์บอน
        หรือน้ำตาลเพนโตส โดยไม่ใช้ออกซิเจน
        
        ระยะใช้ออกซิเจน
        
        มีการสร้าง NADPH
      - เป็นขบวนการซึ่งสร้าง NADPH และน้ำตาล 5 คาร์บอนหรือน้ำตาลเพนโตส
      - ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการ
        
        Ribose 5-phosphate
        
        NADPH
    - - เกิดขึ้นที่เมทริกซ์ซึ่งเป็นของเหลวในไมโทรคอนเดรีย โดยมีการสลาย Acetyl Co A ซึ่งจะเกิดแก๊ส CO2 และเก็บพลังงานจากปฏิกิริยาไว้ในรูปของ NADH,FADH2 และ ATP
      - ในการสลายสารอาหารให้เป็น CO2 และ H2O ต้องเข้าวัฏจักรนี้เสมอ และเป็นขั้นตอนการสร้าง CO2 มากที่สุดในการหายใจระดับเซลล์
      - เป็นวัฏจักรกลางในการผลิต ATP รวมทั้ง NADH+,H+ และ FADH2 ที่จะเข้าสู่ปฏิกิริยาPhotophosphorylation เพื่อสร้าง ATP ต่อไป
      - ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการ
        
        FADH2
        
        NADH
        
        CO2
        
        ATP
    - - เกิดขึ้นในไซโทซอลของเซลล์ เป็นกระบวนการออกซิเดชั่นในกลูโคส
      - ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการ
        
        ATP
        
        Pyruvic acid
      - แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน
        
        Payoff phase
        
        Preparatory phase
      - กลูโคส 1 โมเลกุล จะสลายให้pyruvate 2 โมเลกุล พร้อมมีการสร้าง NADH และ ATP
  - - - เป็นกระบวนการสังเคราะห์กลูโคสจากสารที่ไม่ใช่คาร์โบไฮเดรต
      - เกิดขึ้นที่ตับเป็นส่วนใหญ่และที่ไตบ้างเล็กน้อยเพื่อรักษาปริมาณกลูโคสให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
    - - เป็นกระบวนการเปลี่ยนแป้งไกลโคเจนไปเป็นน้ำตาลกลูโคส
      - เกิดเมื่อมีการอดอาหาร การกินคาร์โบไฮเดรตต่ำ หรือมีการออกกำลังกายหักโหม
  - - - เป็นกระบวนการสังเคราะห์ไกลโคเจนจากน้ำตาลกลูโคสที่ตับและกล้ามเนื้อในภาวะที่ร่างกายได้รับคาร์โบไฮเดรตมาก
- - - - ไตรกลีเซอไรด์
        
        สังเคราะห์
        
        ตับและเนื้อเยื่อไขมัน
      - กรดไขมัน
        
        เปลี่ยนเป็นพลังงาน
        
        วิถีบีตา-ออกซิเดชัน
        
        โมเลกุลของแอซีทิลโคเอและได้พลังงาน 5 ATP
        
        เอซิลโอเค จะต้องใช้พลังงาน 2 ATP
      - ลิโพโปรตีน
        
        เกิดจากโปรตีนและลิพิด
  - - - การซ่อมแซมส่วนที่สึมหรอ
      - การสร้างพลังงาน
      - กำจัดของเสีย
      - การเจริญเติบโต
    - - Catabolism
        
        ย่อยสารประกอบใหญ่ให้เป็นโมเลกุลขนาดเล็กและปล่อยพลังงานเคมีอยู่ในพันธะโมเลกุลนั้นๆ
        
        การย่อยแป้ง-กลูโคส-ATP
      - Anabolism
        
        เป็นการสร้าง รวมตัวโมเลกุลขนาดเล็กเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่
        
        การรวมตัวโมเลกุลหลายโมเลกุล
        
        เกิดเป็นแป้ง
        
        ไกลโคเจน
  - - - สูญเสียอิเล็กตรอน
    - - ได้รับอิเล็กตรอน
  - - - เข้าสู่วัฏจักรซิตริก
- - - - กรดอะมิโนที่พบในโปรตีน
        
        กรดอะมิโนจำเป็น
        
        Leucine
        
        Ioleucine
        
        Valine
        
        Phenylalanine
        
        Alanine
        
        Tryptophan
        
        Methionine
        
        Threonine
        
        lysine
        
        Histidine*
        
        กรดอะมิโนไม่จำเป็น
        
        Glycine
        
        Proline
        
        Serine
        
        Glutamine
        
        Aspartic acid
        
        Asparagine
        
        Glutamine acid
        
        Tyrosine
        
        Arginine
        
        Cysteine
      - ประเภทของกรดอะมิโน
        
        กรดอะมิโนที่เป็นนันโพลาร์ (non polar)
        
        เป็นกรดอะมิโนประเภทไฮโดรโฟบิก (hydrophobic) ซึ่งแปลว่าไม่ชอบน้ำและละลายในน้ำไม่ดีมี8ชนิด ได้แก่ Met Trp Phe Pro Leu Ile Val Ala
        
        กรดอะมิโนที่เป็นโพลาร์(Polar)
        
        ชอบน้ำและละลายน้ำได้ดีเรียกว่าไฮโดรฟิลิก(hydrophilic)มี7ชนิด ได้แก่ Cys Gly Ser Thr Try Asn Gln
        
        กรดอะมิโนที่เป็นเบส (basidic)
        
        ทำให้กรดอะมิโนมีสมบัติเป้นเบส มี 3 ชนิดได้แก่ Lys Arg His
        
        กรดอะมิโนที่เป็นกรด(acidic)
        
        ทำให้กรดอะมิโนมีสมบัติเป็นกรด มี2ชนิด ได้แก่ Glu Asp
      - ปฏิกิริยาเคมีของกรออะมิโน
        
        ปฏิกิริยาของหมู๋คาร์บอกซิล
        
        เกิดปฏิกิริยากับสารอินทรีย์หลายชนิด
        
        ปฏิกิริยาของหมู่อะมิโน
        
        ปฏิกิริยานินไฮดริน (ninhydrin reaction) จากปฏิกิริยาจะได้สารประกอบเชิงซ้อนสีน้ำเงินม่วง(ยกเว้นโพรลีนและไฮดรอกซีโพลีนไดด้สารสีเหลือง)
        
        ปฏิกิริยาของหมู่ R
        
        หมู่Rบางชนิดเกิดปฏิกิริยากับรีเจนต์ได้แต่บางชนิดไม่เกิดขึ้นกับโครงสร้างของหมู่R
      - โครงสร้างของกรดอะมิโน C,H,O,N
  - - - แบบเกลียวแอลฟา
      - แบบแผ่นจีบ
  - - - โปรตีนอย่างง่าย
        Simple Protein
        
        กลอบูลิน (globulin) เป็นส่วนประกอบแอนติบอดีในน้ำเลือดนอกจากนี้ยังพบในไข่แดงและกล้ามเนื้อ คุณสมบัติไม่ละลายน้ำแต่ละลายในสารละลายเกลือเจือจาง
        
        แอลบูมิน(albumin) พบในไข่ขาว น้ำเลือด และน้ำนม แอลบูมินมีสมบัติที่สำคีญคือละลายน้ำและในสารละลายเกลือเจือจาง
        
        ฮิสโตน (Histone) มีสมบัติเป็นด่างและเนื่องด้วยสมบัตินี้จึงทำให้ฮิสโตนเกิดปฏิกิริยากบสารที่มีสมบัติเป็นกรดได้
        
        สเคอโรโปรตีนหรือแอลบูมินอยด์(sceroprotien or albuminoid) เช่นเคราตินในเส้นผม อิลาสตินในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน มีคุณสมบติไม่ละลายน้ำและตัวทำละลายอินทรีย์หลายชนิด
      - คอนจูเกตโปรตีน
        
        ไกลโครโปรตีน(glycoprotein) เช่นมิวซินซึ่งเป็นน้ำเมือกในน้ำลายประกอบด้วยโแรตีนและคาร์โบไฮรเดรต
        
        นิวคลีโอโปรตีน(nucleoprotein) พบทั่วในนิวเคลียสของเซลล์พืชและสัตว์ประกอบด้วยโปรตีนและกรดนิวคลอิกซึ่งอาจเป็นDNA หีอRNA
        
        ฟอสโฟโปรตีน(Phosphoprotein) พบในเคซีนในน้ำนม ประกอบด้วยโปรตีนและกรดฟอสฟอริก
        
        โครโมโปรตีน(Chomoprotein) เช่นฮรโมโกลบิน และไมโอโกลบินประกอบด้วยโปรตีนและสารฮีม(heme)
        
        ไลโปโปรตีน(lipoprotein) มีความสำคัญในการดูดซึมสารไลปิดที่เกิดจากการย่อยอาหารในลำไส้เล็ก ประกอบด้วยโปรตีนและไลปิด
    - - โปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของเอ็นไซม์ เอ็นไซม์ทำหน้าที่เป็ฯตัวเร่ง(catalyst)ในปฏิกิริยาต่างๆในกระบวนการเมทาบอลิซึมในเซลล์
      - โปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของฮอร์โมน ฮอร์โมนทำหน้าที่ควบคุมอัตราเมทาบอลิซึมในร่งกาย
      - โปรตีนที่ทำหน้าที่ให้ภูมิคุ้มกันโรค แอนติบอดีเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายเราสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันรุกล้ำของสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
      - โปรตีนที่ทำหน้าที่เป็นโครงสร้าง (Structure Protein) เป็นองค์ประกอบหลักในร่างกายของสัตว์ชั้นสูง เช่น คอลลาเจนในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เอ็น กระดูก เล็บ ขน โปรตีนจึงทำหน้าที่โดยตรงในการสร้างความเจริญเติบโตแก่ร่างกาย
      - โปรตีนที่ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนและสารอาหาร โปรตีนหลายชนิดทำหน้าที่ขนส่งสารโมเลกุลเล็กๆไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย
      - โปรตีนที่ทำหน้าที่ในการเคลื่อนไหว (Contractile Protein)การเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงเป็นผลมาจากโปรตีนแอคตินและไมโอซินส่วนการเคลื่อนที่ของสัตว์ชั้นต่ำด้วยซีเลียหรือแฟลกเจลลาเป็นผลมาจากโปรตีนไดเนอิน
      - โปรตีนที่ทำหน้าที่เป็นคลังอาหาร (Storage Protein)เช่นเคซีนในน้ำนม แอลบูมินในไข่ขาว
  - - - ดูดซึมกรดอะมิโนที่มีคอนฟิกูเรชั่นแบบL
        
        เกิดขึ้นได้ดีที่ผนังลำไส้เล็ก จะถูกดูดซึมผ่านเยื่อบุของวิลไลเข้าสู่กระแสเลือดด้วยวิธิการแพร่กระจายเกิดเร็วกว่าแบบD
      - ดูดซึมกรดอะมิโนที่มีคอนฟิกูเรชั่นแบบD
        
        เกิดขึ้นได้ดีที่ผนังลำไส้เล็ก จะถูกดูดซึมผ่านเยื่อบุของวิลไลเข้าสู่กระแสเลือดด้วยกระบวนการดูดซึมแบบใช้พลังงานและอาศัยตัวพาและมีไพริดอกซอลฟอสเฟต แมงกานีสไอออน