Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
อาการไม่สุขสบายในไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
อาการไม่สุขสบายในไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์
1.อาการบวม (edema)
ทฤษฎี
-อาการบวมที่ข้อเท้า (Ankle edema) สตรีตั้งครรภ์ส่วนใหญ่เมื่อเข้าสู่ระยะท้ายของการตั้งครรภ์ จะพบอาการบวมที่ข้อเท้า และเท้าได้ จะสังเกตได้จากการใส่รองเท้าแล้วรู้สึกคับ ใส่และถอดรองเท้าลำบาก ถ้าไม่พบโปรตีนในปัสสาวะ (Proteinuria) และความดันโลหิตน้อยกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท ถือว่าอาการบวมที่ข้อเท้าและเท้านั้น เป็นอาการปกติเกิดขึ้นได้เนื่องจากขนาดของมดลูกที่โตขึ้นไปกดเส้นเลือด ทำให้เลือดจากบริเวณส่วนปลายมีการไหลเวียนกลับไม่ดี จึงเกิดการคั่งของน้ำ และเลือดที่บริเวณข้อเท้า และเท้า
กรณีศึกษา
ยังไม่พบอาการบวม
2.การปัสสาวะบ่อยในเวลากลางคืน (nocturnal)
ทฤษฎี
-การปัสสาวะบ่อยในช่วงกลางคืน (Nocturnal) ขณะตั้งครรภ์กระเพาะปัสสาวะสามารถจุได้มากเป็นสองเท่า เนื่องจากกล้ามเนื้อหย่อนตัว จากอิทธิพลของฮอร์โมน Progesterone ที่เพิ่มขึ้น เยื่อบุของกระเพาะปัสสาวะจะมีเลือดมาคั่ง และมีการขยายขนาดของชลล์ (Hypertrophy) ซึ่งเกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมน Estrogen
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาปัสสาวะบ่อยในเวลากลางคืน ประมาณ
3-4 ครั้ง
3.นอนไม่หลับ (insomnia)
ทฤษฎี
-การปัสสาวะบ่อย ก่อให้เกิดความยุ่งยากลำบาก และรบกวนการนอนหลับพักผ่อน ถือว่าเป็นภาวะไม่สุขสบายที่พบมากที่สุดของสตรีตั้งครรภ์ทั้งในไตรมาสแรกและไตรมาสที่สามในไตรแรกสตรีตั้งครรภ์จะมีอาการปัสสาวะบ่อยเนื่องจากมดลูกที่อยู่ในอังเชิงกรานมีขนาดโตขึ้นแล้วกดเบียดกระเพาะปัสสาวะ ร่วมกับมีปริมาณการไหลเวียนของเลือดไหลผ่านไปที่ไตเพิ่มมากขึ้น
-ทารกในครรภ์มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นแล้ว ทำให้คุณแม่รับรู้ถึงการดิ้นของลูกน้อยชัดเจน
กรณีศึกษา
-กรณีศึกษาตื่นกลางดึกและมีอาการปวดปัสสาวะบ่อยในเวลากลางคืน ทำให้ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อยครั้ง
4.หายใจลำบาก (dyspnea)
ทฤษฎี
-ฮอร์โมน Progesterone แต่ส่วนใหญ่บในปลายตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์ เนื่องจากท้องที่โตขึ้นไปกดเบียดกะบังลม (Diaphragm) และปอด ประกอบกับสตรีตั้งครรภ์มีความต้องการใช้ออกชิเจนเพิ่ม การหายใจลำบาก หรือหายใจสันๆ อาจรบวนการนอนของสตรีตั้งครรภ์ได้ ซึ่งสตรีตั้งครรภ์หายใจลำบากได้ชัดเจนในช่วงเวลากลางคืนขณะนอนหงาย
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาไม่อาการหายใจลำบาก
5.หลอดเลือดขอด (varicose veins)
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาไม่มีเส้นเลือดขอดที่บริเวณขา
ทฤษฎี
-การขยายตัวของเส้นเลือดดำมักพบบ่อยในสตรีที่มีประวัติทางพันธุกรรมเส้นเลือดขอด สาเหตุเกิดจากลิ้นของเส้นเลือดดำปิดไม่สนิท ทำให้เลือดมีการไหลย้อนกลับ ในสตรีตั้งครรภ์จะมีปริมาณเลือดของร่างกาย (Blood volume)เพิ่มขึ้น ร่วมกับมดลูกที่มีขนาดโตขึ้นแล้วกดทับการไหลเวียนของเลือด ทำให้ความดันในเส้นเลือดสูงขึ้น เส้นเลือดเกิดการขยายตัวและโป่งพอง จึงเกิดอาการเส้นเลือดขอด ถ้ามีการยืนนานๆ ก็อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นได้ ทำให้เส้นเลือดดำมีอาการอักเสบ และเจ็บปวดได้
6.การเปลี่ยนแปลงบริเวณผิวหนัง (skin change)
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาพบ Linea nigra บริเวณหน้าท้อง
ทฤษฎี
การผลิตเม็ดสีเพิ่มมากขึ้นอาจพบได้ในเดือนที่สองขอการตั้งครรภ์ จากอิทธิพลของฮอร์โมนEstrogen,Progesterone และ Melanocyte stimulating ทำให้สตรีตั้งครรภ์มีเส้นสีดำที่เกิดขึ้นตรงกลางหน้าท้อง จากกระดูกหัวหน่าว (Symphysis pubis) ถึงยอดมดลูก (Fundus) เรียกเส้นสีดำนี้ว่า "Linea nigra" นอกจากนี้บริเวณลานนม (Areola) ก็จะมีสีคล้ำขึ้นเมื่อขณะตั้งครรภ์ การผลิตเม็ดสีมักจะจางหายไปหลังจากที่คลอดบุตรแล้ว เนื่องจากระดับของฮอร์โมน Estrogen และฮอร์โมน Progesterone ลดลงแต่มารดาบางรายอาจยังคงมีฝ้าอยู่
7.ปวดหลัง (back pain)
กรณีศึกษา
-กรณีศึกษามีอาการปวดหลัง
ทฤษฎี
-ปวดหลัง (Backaches or Back pain) สตรีตั้งครรภ์จะมีอาการปวดหลังที่บริเวณดูกสันหลังส่วนบั้นเอว (Lumbar region) อาการปวดหลังจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อมดลูกมีขนาดโตขึ้น ทำให้สตรีตั้งครรภ์ต้องรับน้ำหนักของมดลูก ร่างกายของสตรีตั้งครรภ์จึงมีการปรับสมดุลของร่างกายโดยการทำให้กระดูกสันหลังโค้งแอ่น (Lordosis) นอกจากนี้ เส้นเอ็นที่บริเวณข้อต่อกระดูกสันหลังและเชิงกรานหลวม จึงเป็นปัจจัยส่งเสริมทำให้กระดูกสันหลังโค้งแอ่นได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอาการปวดหลังเพิ่มมาก ได้แก่ สตรีที่มีน้ำหนักตัวมาก หรือสตรีที่มีประวัติปวดหลังมาก่อน
8.อาการตะคริวที่ขา (leg cramp)
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาไม่มีอาการเป็นตะคริวที่ขา
ทฤษฎี
-ตะคริว (Leg Cramps) เกิดจากความไม่สมดุลของสารละลายอิเล็กโทรไลต์ (Electrolyte) คือมีระดับของแคลเซียม (Calcium) ลดลงและมีการเพิ่มขึ้นของฟอสฟอรัส (Phosphorus) มากขึ้นขณะตั้งครรภ์อัตราส่วนของแคลเซียมและฟอสฟอรัสมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูดกลับที่ไต (Renal absorption) และอาหารที่รับประทาน นอกจากนี้มดลูกที่มีขนาดโตขึ้น จะทำให้การไหลเวียนของเลือดบริเวณส่วนปลายไม่ดี จึงทำให้เกิดเป็นตะคริวได้ สตรีตั้งครรภ์จะถูกปลุกให้ตื่นช่วงกลางคืนด้วยการเป็นตะคริว (Restless leg syndrome)
9.อาการท้องอืด (flatulence)
กรณีศึกษา
อายุครรภ์ 26 สัปดาห์ขนาดของมดลูกโตขึ้นแล้วไปกดเบียดกระเพาะอาหาร ลำไส้มีการเคลื่อนไหวลดลง และถูกบีบตัวน้อยลง
ทฤษฎี
-เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเกิดจากการเพิ่มของฮอร์โมน Progesterone ทำให้กล้ามเนื้อเรียบของลำไส้คลายตัว มีการเคลื่อนไหว และถูกบีบตัวน้อยลง ทำให้อาหารค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนานขึ้น และเนื่องจากขนาดของมดลูกโตขึ้นแล้วไปกดเบียดกระเพาะอาหารให้มีขนาดเล็กลง
10.อาการท้องผูก (Constipation)
กรณีศึกษา
กรณีศึกษามีอาการท้องผูก ให้ประวัติว่า “อุจจาระมีลักษณะแข็ง ดื่มน้ำน้อย” และไม่ค่อยออกกำลังกาย ทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ลดลง
ทฤษฎี
-อาการท้องผูกเป็นอีกอาการหนึ่งที่เกิดขึ้นเนื่องจากขนาดของมดลูกที่โตขึ้นแล้วไปกดเบียดกระเพาะอาหารให้มีขนาดเล็กลง ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินอาหาร โดยอิทธิพลของฮอร์โมน Progesteroneที่เพิ่มขึ้นทำให้กล้ามเนื้อเรียบของลำไส้คลายตัว การเคลื่อนไหวและบีบตัวน้อยลง จึงทำให้อาหารค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนานขึ้น อาหารจึงถูกดูดซึมได้มากขึ้น ซึ่งมีประโยชน์ต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก แต่การที่อาหารค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนานเกินไป จะทำให้เกิดอาการท้องอืด ( Flatulence) และอุจจาระแข็งมากขึ้น ทำให้ท้องผูก และอาจเกิดอาการริดสีดวงทวาร (Hemorrhoid)
11.อาการแสบร้อนยอดอก (heart burn)
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาไม่มีอาการแสบร้อนยอดอก
ทฤษฎี
-อาการแสบร้อนยอดอก หรืออาการจุกเสียดท้อง (Heartburn or Pyrosis) อาการแสบร้อนยอดอก หรืออาการจุกเสียดท้อง เป็นอาการที่พบบ่อยตลอดการตั้งครรภ์สาเหตุเกิดจากการไหลย้อนกลับของกรดในกระเพาะอาหาร (Gastric acid) เข้าไปในหลอดอาหาร สตรีตั้งครรภ์จะมีอาการแสบร้อนที่บริเวณยอดอก (Sternum) หรือบริเวณลิ้นปี่ (Epigastric area) และบางครั้งกรดอาจไหลย้อนเข้าไปถึงในช่องปาก การเปลี่ยนแปลงในระบบการย่อยอาหารนี้เกิดจากการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ช้าลง ร่วมกับกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหาร (Esophageal sphincter) คลายตัว เนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมน Progesterone ร่วมกับขนาดของมดลูกที่โตขึ้นกดเบียดกระเพาะอาหารให้เล็กลง
13.เป็นลม (faintness)
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาไม่มีอาการเป็นลม
ทฤษฎี
-ความดันโลหิตต่ำขณะเปลี่ยนอิริยาบถ (Postural hypotension) ความดันโลหิตต่ำที่เกิดจากการเคลื่อนไหว หรือเปลี่ยนอิริยาบถอย่างรวดเร็ว เช่น ทำนั่งเป็นท่ายืน หรือจากท่านอนเป็นท่านั่ง เกิดขึ้นเนื่องจากขณะตั้งครรภ์มีกรเพิ่มชั้นของฮอร์โมน Progesterone ทำให้เส้นเลือดมีการขยายตัว และมีการคั่งของเลือดที่บริเวณปลายเท้า ร่วมกับมดลูกที่มีขนาดโตขึ้น ไปกดเบียด
เส้นเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนกลับจากปลายเท้าไปสู่หัวใจได้ไม่ดี ทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำ สตรีตั้งครรภ์จึง
มีอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ อาการหน้ามืด เป็นลม (Vasovagal syncope) เกิดจากความร้อน ภาวะอาเจียนมาก ภาวะร่างกายขาดน้ำ (Dehydration) หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ส่วนความวิตกกังวล
12.ริดสีดวงทวาร (hemorrhoids)
ทฤษฎี
ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) คือภาวะที่เส้นเลือดดำในทวารหนักโป่งพอง หรืออาจยื่นออกมาข้างนอกทวารหนัก
การตั้งครรภ์จะทำให้ริดสีดวงทวารมีอาการรุนแรงขึ้นเนื่องจากมีเลือดไหลเวียนมาที่บริเวณทวารหนักเพิ่มมาขึ้น ร่วมกับแรงกดดันจากมดลูกโตไปกดทับเส้นเลือดดำ ทำให้เกิดการคั่งของเลือด นอกจากนี้ การนั่ง หรือยืนนาน ๆการใช้แรงเบ่งอุจจาระมากเกินไป และการเบ่งคลอด สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้ริดสีดวงทวารมีอาการรุนแรงขึ้น
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาไม่มีอาการแสดงของริดสีดวงทวาร
14.ปวด เจ็บและชาที่ข้อ และนิ้วมือ (numbness & tingling of fingers)
ทฤษฎี
-โรค Carpal Tunnel Syndrome เป็นโรคที่เกิดจากเส้นประสาท Median Nerve ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่อยู่บริเวณกล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่ (Brachial plexus) แขน และมือ รับความรู้สึกผ่านบริเวณฝ่ามือ นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และครึ่งหนึ่งของนิ้วนาง ซึ่งบริเวณข้อมือนั้นเส้นประสาทจะต้องลอดช่องอุโมงค์ที่เรียกว่า Carpal Tunnel เมื่ออุโมงค์นี้เกิดการแคบลงจากสาเหตุต่างๆ เช่น เกิดจากภาวะบวม และการถูกดึงรั้ง หรือมีสิ่งอื่นมากดทับก็จะเป็นผลให้เส้นประสาท Median ถูกกดทับ สตรีตั้งครรภ์จะมีอาการเสียว แปลบ (Tingling) ปวดร้อน (Burning) ชา (Numbness) ตั้งแต่บริเวณข้อมือจนถึงปลายนิ้ว ซึ่งมักมีอาการมาก บริเวณนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลางหรือในบางรายอาจมีอาการได้ทั้งฝ่ามือ
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาไม่มีอาการปวด เจ็บหรือชาที่ข้อมือ และนิ้วมือ