Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ - Coggle Diagram
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
หมวดที่3 ระบบการศึกษา
มาตร15 การจัดการศึกษามี3รูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย
มาตรา16 การศึกษาในระบบมีสองระดับคือ การศึกษาขึ้นพื้นฐานและการศึกษาระดับอุดมศึกษา
มาตรา17 ให้การศึกษาบังคับมี9ปี
มาตร18 การจัดการอุดมศึกษา ให้เป็นไปตามกฏหมายเกี่ยวกับสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา
หมวดที่5 การบริหารและจัดการศึกษา
มาตรา 31 กระทรวงมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและกำกับดูแลการศึกษาทุกระดับทุกประเภทและการอาชีวศึกษาแต่ไม่รวมถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกระทรวงอื่นที่มีกฎหมายกำหนดไว้เป็นการเฉพาะ
มาตรา 32 การจัการจัดระเบียบบริหารราชการในกระทรวงให้มีองค์กรหลักที่เป็นคณะบุคคลในรูปสภาหรือในรูปคณะกรรมการจำนวนสามองค์กรได้แก่สภาการศึกษาคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นหรือให้คำแนะนำแก่รัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีและมีอำนาจหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรา 33 สภาการศึกษามีหน้าที่
1.พิจารณาเสนอแผนการศึกษาแห่งชาติ
2พิจารณาเสนอนโยบายแผนและมาตรฐานการศึกษา
3พิจารณาเสนอนโยบายและแผนในการสนับสนุนทรัพยากรเพื่อการศึกษา
4ดำเนินการประเมินผลการจัดการตามการศึกษา
5ให้ความเห็นหรือคำแนะนำเกี่ยวกับกฎหมายและกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติ
มาตรา 35 องค์ประกอบของคณะกรรมการตามมาตรา 34 ประกอบด้วยกรรมการโดยตำแหน่งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผู้แทนองค์กรเอกชนผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นผู้แทนองค์กรวิชาชีพและผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าจำนวนกรรมการประเภทอื่นรวมกัน
มาตรา 36 ให้สถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาระดับปริญญาเป็นนิติบุคคลและอาจจะเอาเป็นส่วนราชการหรือเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐยกเว้นสถานศึกษาเฉพาะทางตามมาตรา 21 ให้สถานศึกษาดังกล่าวดำเนินกิจการได้โดยอิสระสามารถพัฒนาระบบบริหารและการจัดการที่เป็นของตนเองได้
มาตรา 39 ให้กระทรวงกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาทางด้านวิชาการงบประมาณการบริหารงานบุคคลและการบริหารงานทั่วไปไปยังคณะกรรมการและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาโดยตรง
หมวดที่8 ทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา
มาตรา 59 ให้สถานศึกษาของรัฐที่เป็นนิติบุคคลมีอำนาจในการปกครองดูแลบำรุงรักษาใช้และจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินของสถานศึกษาทั้งที่เป็นราชพัสดุตามกฏหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุและเป็นทรัพย์สินอื่นรวมทั้งจัดหารายได้จากบริการของสถานศึกษาและเก็บค่าทำเนียมการศึกษาที่ไม่ขัดแย้งกับนโยบายวัตถุประสงค์และภารกิจหลักของสถานศึกษา
มาตรา 60 ให้รัฐจัดสรรงบประมาณแผ่นดินให้กับการศึกษาในฐานะที่มีความสำคัญสูงสุดต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศโดยจัดสรรเป็นเงินงบประมาณเพื่อการศึกษาดังนี
1.จัดสรรอุดหนุนทั่วไปเป็นค่าใช้จ่ายรายบุคคลที่เหมาะสมแก่ผู้เรียน
2.การจัดสรรทุนการศึกษาในรูปแบบกองทุนกู้ยืมให้แก่ผู้เรียนจากครอบครัวที่มีรายได้น้อย
3จัดสรรงบประมาณทรัพยากรการศึกษาอื่นเป็นพิเศษ
มาตรา 61 รัฐจัดสรรเงินอุดหนุนการศึกษาที่จัดโดยบุคคล ครอบครัวองค์กร ชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ และสถาบันสังคมอื่นตามความเหมาะสมและจำเป็น
หมวดที่1 ความมุ่งหมายและหลักการ
มาตรา6 การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งร่ํางกําย จิตใจ สติปัญญํา ควํามรู้ และคุณธรรม
มาตราที่7 ในกระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่งปลูกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชําธิปไตยอันมีพระมหํากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
มาตรที่8 การจัดการศึกษาให้จัดการดังนี้
1.เป็นการศึกษาตลอดชีวิต
2.ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
3.การพัฒนาสาระให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
หมวดที่6 มาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา
**
มาตรา 47 ให้มีระบบการประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของการศึกษาของการศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษาระดับอุดมศึกษาประกอบด้วยระบบการประกันคุณภาพภายในและระบบประกันคุณภาพภายนอก
มาตรา 48 ให้หน่วยงานต้นสังกัดและสถานศึกษาจัดให้มีระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาและให้ถือว่าเป็นการประกันคุณภาพภายในเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหารการศึกษาที่ต้องดำเนินการอย่า อย่างต่อเนื่อง
มาตรา 49 ให้มีสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษามีฐานะเป็นองค์การมหาชนทำหน้าที่พัฒนาเกณฑ์วิธีการประเมินคุณภาพภายนอกและทำการประเมินผลการจัดการศึกษาที่มิใช่การจัดการอุดมศึกษาซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของกระทรวงอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมหรือกระทรวงอื่นเพื่อให้มีการตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษาโดยคำนึงถึงความมุ่งหมายหลักการและแนวการจัดการศึกษาให้มีการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษาทุกแห่งอย่างน้อยหนึ่งครั้งในทุกห้าปีนับตั้งแต่การประเมินครั้งสุดท้ายและเสนอผลการประเมินต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณะชน
หมวดที่7 ครู คณาจารย์ และบุคลาการทางการศึกษา
มาตรา 52 ให้กระทรวงส่งเสริมให้มีระบบการผลิตกระบวนการผลิตการพัฒนาครูคณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่เหมาะสมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูงโดยการกำกับและประสานให้สถาบันที่ทำหน้าที่ผลิตครูอาจารย์รวมทั้งบุคลากรให้มีความเข้มแข็งในการเตรียมตัวบุคลากรเพื่อพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
มาตรา 53 ให้มีองค์กรวิชาชีพครูผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารการศึกษามีฐานะเป็นองค์กรอิสระภายใต้การบริหารของสภาวิชาชีพในกำกับของกระทรวงมีอำนาจหน้าที่กำหนดมาตรฐานวิชาชีพออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพกำกับดูแลการปฏิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพรวมทั้งการพัฒนาวิชาชีพครูผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารการศึกษา
มาตรา 55 ให้มีกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนค่าตอบแทนสวัสดิการและสิทธิประโยชน์เครื่อกูลอื่นสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อให้มีรายได้ที่เพียงพอและเหมาะสมกับฐานะทางวิชาชีพ
หมวดที่9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
*
มาตรา 63 รัฐต้องจัดสรรคลื่นความถี่สื่อตัวนำและโครงสร้างพื้นฐานอื่นที่จำเป็นต่อการส่งวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์วิทยุโทรคมนาคมและการสื่อสารในรูปแบบอื่นเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการศึกษา
มาตรา 64 รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการผลิตและพัฒนาแบบเรียนตำราหนังสือทางวิชาการสื่อสิ่งพิมพ์อื่นวัสดุอุปกรณ์และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาโดยเร่งรัดพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตจัดให้มีเงินสนับสนุนการผลิตและให้มีแรงจูงใจแก่ผู้ผลิต
มาตรา 66 ผู้เรียนมีสิทธิ์ได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาในโอกาสแรกที่ทำได้
มาตรา 68 ให้มีการระดมทุนเพื่อจัดตั้งกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาจากเงินอุดหนุนของรัฐค่าสัมปทานและผลกำไรที่ได้จากการดำเนินกิจการด้านสื่อสารมวลชนเทคโนโลยีสาระสนเทศและโทรคมนาคมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐภาคเอกชนและองค์กรประชาชน
หมวดที่2 สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา
มาตรา 10 กํารจัดกํารศึกษํา ต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกําสเสมอกันในกํารรับ
กํารศึกษําขั้นพื้นฐํานไม่น้อยกว่ําสิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้อย่ํางทั่วถึงและมีคุณภําพโดยไม่เก็บค่ําใช้จ่ําย
มาตราที่11 ได้รับการศึกษาภาคบังคับตามมาตร17
มาตรา 12 นอกเหนือจากรัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้บุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพและสถาบันสังคมอื่น มีสิทธิ์ในการจัดการขั้นศึกษาพื้นฐานให้เป็นไปตามกฎกระทรวง
มาตรา 13 บิดามารดา หรือผู้ปกครองมีสิทธิได้รับสิทธิประโยชน์ ดังต่อไปนี้
1 กํารสนับสนุนจํากรัฐ ให้มีควํามรู้ควํามสํามํารถในกํารอบรมเลี้ยงดู
2 เงินอุดหนุนจากรัฐสำหรับการจัดการการศึกษาขึ้นพื้นฐาน
3.การลดหย่อนหรือยกเวินภาษี
หมวดที่4 แนวการจัดการศึกษา
มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้
มาตรา 23 การจัดมาตรา 23 การจัดการศึกษาทั้งการศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้คุณธรรมกระบวนการเรียนรู้และบูรณาการตามความเหมาะสม
มาตรา 25 รัฐมาตรา 25 รัฐต้องส่งเสริมการดำเนินงานและการจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบได้แก่ ห้องสมุดประชาชนพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ และแหล่งการและแหล่งการเรียนรู้อื่นๆอย่างพอเพียงและมีประสิทธิภาพ
มาตรา 29 ให้มาตรา 29 ให้สถานศึกษาร่วมกับบุคคล ชุมชน องค์กรชุมชน และสถาบันสังคมอื่น ส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนโดยจัดกระบวนการเรียนรู้ภายในชุมชน
มาตรา 30 ให้มาตรา 30 ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพรวมทั้งการส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ระดับการศึกษา