Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
สถานการณ์/ แนวโน้มของโลจิสติกส์ และการขนส่งเพื่อการท่องเที่ยว - Coggle…
สถานการณ์/ แนวโน้มของโลจิสติกส์
และการขนส่งเพื่อการท่องเที่ยว
บริการขนส่งทางถนน
แนวโน้ม
ได้มีการคาดปริมาณขนส่งสินค้าทางถนนจะขยายตัว 2-3% ในปี 2565 และเฉลี่ย 4-5% ต่อปีในปี 2566-2567 โดยปี 2565 ธุรกิจเติบโตต่ำ แรงกดดันจากวิกฤตยูเครนที่ยืดเยื้อ ผลักดันราคาน้ำมันดิบทรงตัวระดับสูง
เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังรัฐบาลมีแผนประกาศให้ COVID-19 เป็นโรคประจำถิ่น ขณะที่คาดว่าการลงทุนโครงการขนาดใหญ่จะเร่งตัวขึ้น เหนี่ยวนำการลงทุนภาคเอกชนทั้งโครงการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรม พื้นที่เชิงพาณิชย์และที่อยู่อาศัย
ภาคการค้าได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจโลกเติบโตเฉลี่ย 3% ต่อปี ขณะที่ธุรกรรมการค้าชายแดนและผ่านแดน ] มีแนวโน้มขยายตัวดีตามเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้านที่คาดว่าจะเติบโตในช่วง 4.0-5.0% ต่อปี จะทำให้ความต้องการขนส่งสินค้าเพื่อสนองตอบธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศมีมากขึ้น
นโยบายภาครัฐสนับสนุนการขนส่งและเร่งลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ ท่าเทียบเรือสินค้าและศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า จะช่วยหนุนความต้องการรถบรรทุกเพื่อรองรับการขนส่งต่อเนื่อง
สถานการณ์
ปัจจัยข้างต้นผนวกกับการผ่อนปรนมาตรการ Lockdown และการทยอยเปิดรับนักท่องเที่ยวหลายพื้นที่ช่วงไตรมาส 4 ของปี และช่วยหนุนความต้องการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ผลผลิตสินค้าเกษตรขยายตัวดี จากสภาวะอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก การก่อสร้างภาครัฐเดินหน้าต่อเนื่อง และการเติบโตของการค้าออนไลน์ที่ประเมินว่าเพิ่มขึ้น 20% จากปี 2563
อุปสงค์ต่างประเทศฟื้นตัว ทำให้มีความต้องการขนส่งสินค้าจากธุรกิจส่งออกและนำเข้า รวมถึงการขนส่งวัตถุดิบภาคการผลิต
ค่าระวางเรือที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ผลักดันให้การส่งออกสินค้าบางประเภท เช่น ผลไม้และผักสด ปรับรูปแบบเป็นขนส่งทางถนนผ่านแดนมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าจากไทยไปจีน เช่น ทุเรียน มะม่วง ฝรั่ง และมังคุด
ได้มีการประเมินปริมาณขนส่งสินค้าทางถนนปี 2564 เพิ่มขึ้น 3-4% เทียบกับหดตัว -6.6% ในปี 2563 (ภาพที่ 8) แม้จะถูกกดดันจากการแพร่ระบาดรุนแรงของ COVID-19 ทำให้มีการ Lockdown เข้มงวดโดยเฉพาะช่วงไตรมาส 3
บริการเดินรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน
สถานการณ์
ไตรมาส 4/2564 ปริมาณการใช้บริการขยับดีขึ้น เมื่อทางการเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนรวม 64 ล้านโดสในเดือนธันวาคม และทยอยผ่อนปรนความเข้มงวดของมาตรการ อาทิ ขยายเวลาปิดกิจการของห้างร้าน โรงแรมและโรงมหรสพ ปรับลดและยกเลิกช่วงเวลา Curfew และเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบมีข้อจำกัด มีผลให้ประชาชนออกมาทำกิจกรรมและใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น
การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่รุนแรงหลายระลอก ส่งผลให้ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนลดลงอย่างมาก (ภาพที่ 5) การใช้มาตรการ Lockdown พื้นที่เป็นระยะ รวมถึงการเว้นระยะห่าง และเน้นให้ทุกภาคส่วนทำงานที่บ้านหรือเรียนผ่านออนไลน์เป็นหลัก ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจซบเซากดดันกำลังซื้อผู้บริโภคชะลอลง ด้านผู้ประกอบการเร่งปรับแผนการเดินรถให้สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ และจำกัดความหนาแน่นของผู้โดยสารในขบวนรถเพื่อรักษาระยะห่าง ทั้งยังลดความถี่ในการเดินรถให้สอดคล้องกับปริมาณผู้ใช้บริการ โดยผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2564
ช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ธุรกิจรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ยังถูกกดดันจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ส่งผลให้ประชาชนบางส่วนยังคงหลีกเลี่ยงการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะ ขณะที่กำลังซื้อผู้บริโภคชะลอลงจากราคาสินค้า และบริการที่ปรับสูงขึ้นตามราคาพลังงาน อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ได้รับวัคซีนในประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ประกอบกับภาครัฐเปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงการออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ
แนวโน้ม
ปี 2565 รายได้ของธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผลจาก (1)กำลังซื้อในประเทศฟื้นตัวอย่างช้าๆ ตามทิศทางเศรษฐกิจ (2)การฉีดวัคซีนที่ครอบคลุม 80% ของประชากร ทำให้ประชาชนทยอยกลับมาทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งรวมถึงการกลับมาทำงานที่สำนักงานและเรียนที่สถานศึกษา (3)การเดินทางที่เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวต่างชาติหลังมีการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ และ (4)มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งรวมถึงการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ
ปี 2566-2568 รายได้มีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง อานิสงส์จากจำนวนผู้ใช้บริการที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก (1) การขยายตัวของโครงการที่พักอาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าและบริเวณใกล้เคียง (2) ความจำเป็นต้องเลือกใช้ระบบการเดินทางที่รวดเร็วและมีความแน่นอนด้านเวลาจากปัญหาการจราจรติดขัดในเขตเมือง และ (3) เส้นทางเดินรถสายใหม่เริ่มเปิดใช้งานเชิงพาณิชย์ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ให้บริการหลายเส้นทาง ทำให้มีการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น หนุนรายรับเติบโตต่อเนื่อง ทั้งด้านรับจ้างเดินรถ การบริหารระบบไฟฟ้า-บำรุงรักษา และการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์
ผู้บริโภคจะปรับพฤติกรรมมาใช้บริการรถไฟฟ้ามากขึ้น เพื่อการเดินทางที่สะดวก รวดเร็วและมีความแน่นอนด้านเวลาในการเข้าสู่ใจกลางเมือง โดยเฉพาะเส้นทางรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับระบบ Feeder ได้สะดวกปัจจัยเอื้อให้มีการใช้รถไฟฟ้ามากขึ้นมาจากปริมาณรถยนต์ใหม่ที่เข้าสู่ตลาดทุกปี โดยปริมาณรถยนต์สะสมใน BMR มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราความเร็วเฉลี่ยของรถยนต์ที่สัญจรทางถนนในช่วงเวลาเร่งด่วน (เช้าและเย็น) มีแนวโน้มปรับลดต่อเนื่องหรือทรงตัวในระดับต่ำ สะท้อนจากอัตราความเร็วเฉลี่ยของรถยนต์ที่สัญจรทางถนนในช่วงเวลาเร่งด่วนในปี 2554-2559 ที่โน้มต่ำลงทุกปี
กำลังซื้อผู้บริโภคมีแนวโน้มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 3.0-4.0% ต่อปี โดยการบริโภคภาคเอกชนจะเติบโตเฉลี่ย 4-5% ต่อปี และภาคท่องเที่ยวซึ่งคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ระดับ 22.7 35.3 และ 40.4 ล้านคน ในปี2566-2568
บริการขนส่งทางอากาศ
สถานการณ์
ปริมาณที่นั่งผู้โดยสาร (Available Seat Kilometers, ASK) เพิ่มขึ้น 3.4% โดยแอฟริกา เอเชียแปซิฟิกและยุโรปเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกโดยอยู่ที่ 4.9% 4.5% และ 3.6% ตามลำดับ ขณะที่ตะวันออกกลางเพิ่มขึ้นน้อยสุดเพียง 0.1% การเพิ่มขึ้นของ ASK ที่น้อยกว่า RPK ส่งผลให้อัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Passenger Load Factor: PLF) อยู่ที่ 82.6% เพิ่มขึ้น 0.9 ppt จากปี 2561
จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นด้วยอัตราน้อยสุดในรอบ 9 ปีที่ 1.9% อยู่ที่ 165 ล้านคน จากจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น 7.2% (88.8 ล้านคน) สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น 4.4% จากปี 2561 ขณะที่ผู้โดยสารในประเทศหดตัว 3.8% เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี (76.3 ล้านคน) โดยประเทศที่มีผู้เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยสูงสุดตามลำดับ คือ จีน อินเดีย และกลุ่มอาเซียน 5 ประเทศ (ASEAN-5)
ปริมาณขนส่งผู้โดยสาร (Revenue Passenger Kilometers: RPK) ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 4.2% จากปี 2561 แอฟริกาและเอเชียแปซิฟิกมีอัตราการเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกโดยอยู่ที่ 4.9% และ 4.8% ตามลำดับ
ปริมาณขนส่งสินค้า (Freight Tonne Kilometers: FTK) หดตัว 3.3% สอดคล้องกับมูลค่าการค้าโลกที่หดตัวในปี 2562 โดยปริมาณขนส่งสินค้าลดลงเกือบทุกภูมิภาค ยกเว้นแอฟริกา และลาตินอเมริกาที่เพิ่มขึ้น 7.4% และ 4.2% ตามลำดับ ด้านกำลังการขนส่ง (Available Freight Tonne Kilometers: AFTK) เพิ่มขึ้น 2.1% ส่งผลให้อัตราการบรรทุกสินค้าทางอากาศ (Freight Load Factor Level: FLF) อยู่ที่ 46.7% ของกำลังการขนส่ง ลดลง 2.6 ppt จากปี 2561 โดยภูมิภาคที่มี FLF สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก
จำนวนเที่ยวบินหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่ 2.8% อยู่ที่ 1.1 ล้านเที่ยวบิน โดยเที่ยวบินในประเทศหดตัว 6.9% (5.5 แสนเที่ยวบิน) และเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น 2.2% (5.1 แสนเที่ยวบิน) ผลจากสายการบินต้นทุนต่ำปรับกลยุทธ์โดยลดเที่ยวบินในประเทศ และเพิ่มจำนวนเที่ยวบินเส้นทางระหว่างประเทศทดแทน ส่งผลให้ราคาเฉลี่ยของตั๋วโดยสารสายการบินต้นทุนต่ำในประเทศเพิ่มขึ้น 7.0% ขณะที่ราคาตั๋วระหว่างประเทศลดลง 7.4%
ปี 2562 การขนส่งผู้โดยสารทางอากาศทั่วโลกเติบโตชะลอลง ขณะที่การขนส่งสินค้าหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ผลจากภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัว รวมถึงความตึงเครียดจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ในบางพื้นที่ ทำให้การทำธุรกิจมีความยากลำบากขึ้น โดยเอเชียแปซิฟิก (APAC) เป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าสูงสุดที่ 34.7% และ 34.6% ของการขนส่งผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าทางอากาศทั่วโลก
แนวโน้ม
ปี 2563 ธุรกิจบริการขนส่งทางอากาศทั่วโลกได้รับผลกระทบรุนแรงจากการแพร่ระบาด COVID-19 สายการบินหลายแห่งขาดสภาพคล่องและล้มละลาย ซึ่งรวมถึงการเลิกกิจการของสายการบินนกสกู๊ตและการล้มละลายของสายการบินไทย ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เร่งตัดลดค่าใช้จ่ายคาดว่าจำนวนผู้โดยสารทั่วโลกจะอยู่ที่ 1.8 พันล้านคน หดตัว 60.5% จากปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 4.5 พันล้านคน ขณะที่อุตสาหกรรมการบินมีแนวโน้มขาดทุนครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์การบินโลกที่ 1.19 แสนล้านดอลลาร์
IATA คาดว่าปี 2564 จำนวนผู้โดยสารทั่วโลกจะอยู่ที่ 2.8 พันล้านราย เพิ่มขึ้น 55.6% จากปี 2563 และจะกลับสู่ระดับใกล้เคียงกับปี 2562 (ช่วงก่อนการแพร่ระบาด COVID-19) ภายในปี 2567 ขณะที่อุตสาหกรรมการบินจะขาดทุน 3.87 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่อเนื่องจากที่ขาดทุน 11.9 หมื่นล้านดอลลาร์ปี 2563 และจะปรับดีขึ้นในปี 2565-2566 โดยเอเชียแปซิฟิค แอฟริกาและตะวันออกกลางจะเป็นภูมิภาคที่ฟื้นตัวเร็วกว่าอเมริกาเหนือและยุโรป
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 3.0-4.0% ต่อปี จากหดตัว 6.4% ปี 2563 ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะทยอยฟื้นตัวอย่างช้าๆ หลังเริ่มมีการฉีดวัคซีนทั่วโลกรวมถึงไทย อย่างไรก็ตาม คาดว่าการเปิดรับนักท่องเที่ยวจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขโดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 4.0 ล้านคนในปี 2564 และขยับเป็น 11.4 และ 26.4 ล้านคนในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับ
ปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ โดยเฉพาะมาตรการภาครัฐช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและการเดินทางในประเทศ อาทิ โครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน และการทำตลาดเฉพาะสำหรับชาวต่างชาติที่มีศักยภาพ อาทิ กลุ่มพำนักระยะยาว กลุ่มรักสุขภาพ และกลุ่มแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆ ตลอดจนแผนการปรับปรุงและขยายท่าอากาศยานทั่วประเทศเพื่อเพิ่มศักยภาพการรองรับเที่ยวบิน ผู้โดยสารและการขนส่งสินค้า
จำนวนผู้โดยสารจะเร่งตัวขึ้นในปี 2565-2566 และมีแนวโน้มกลับสู่ระดับใกล้เคียงปี 2562 (165 ล้านคน) ภายในปี 2567คาดว่าจำนวนผู้โดยสารในประเทศจะฟื้นตัวเร็วกว่าผู้โดยสารระหว่างประเทศ เนื่องจากเป็นการเดินทางระยะทางสั้น ประกอบกับยังต้องระวังการเดินทางระหว่างประเทศปี 2564 นักท่องเที่ยวไทยจะเดินทางในประเทศ 120 ล้านคน-ครั้งและเพิ่มเป็น 180 ล้านคน-ครั้งในปี 2565 ซึ่งคาดว่าบางส่วนจะเดินทางโดยเครื่องบิน ผนวกกับการทยอยฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งกว่าครึ่งจะเป็นผู้โดยสารเดินทางต่อด้วยเที่ยวบินในประเทศ สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศคาดว่าจะฟื้นตัวสู่ระดับปกติภายในปี 2567 สอดคล้องกับการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ
บริการขนส่งผู้โดยสารทางอากาศ: รายได้มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อปริมาณจราจรทางอากาศทยอยเข้าใกล้ภาวะปกติในปี 2567 ตามจำนวนผู้โดยสารที่ปรับดีขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องการรับฝากและกระจายสินค้า การจำหน่ายสินค้าที่ระลึก การรับบริหารจัดการขนส่งผู้โดยสาร สินค้า และพิธีการศุลกากรต่างๆ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังมีแนวโน้มปรับตัวโดยหาพันธมิตรที่มีเครือข่ายการบินและการขนส่งเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่หลายเส้นทาง จะเป็นปัจจัยเสริมความแข็งแกร่งของกิจการ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจมีแนวโน้มเผชิญการแข่งขันรุนแรงโดยเฉพาะด้านราคาเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดผู้โดยสารจากคู่แข่งทั้งในประเทศและต่างชาติ จึงอาจเผชิญความเสี่ยงด้านการบริหารจัดการสภาพคล่องและฝูงบิน
บริการขนส่งสินค้าทางอากาศ: รายได้มีแนวโน้มทรงตัวตามพื้นที่บรรทุกที่มีขีดจำกัด โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีอากาศยานขนาดเล็ก ซึ่งส่วนใหญ่มีเงินทุนจำกัด อีกทั้งต้องแข่งขันกับธุรกิจขนส่งผู้โดยสารที่มีบริการขนส่งสินค้าร่วมด้วย ทำให้ธุรกิจมีความเสี่ยงจากขนาดและการจัดการระวางบรรทุก รวมถึงปัญหาสภาพคล่อง นอกจากนี้ธุรกิจมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการค้า การกระจายฐานการผลิตมาไทย การเติบโตของการค้าออนไลน์ และการร่วมมือกับพันธมิตรรับจัดการขนส่งซึ่งมีทั้งลูกค้าและปริมาณสินค้าในมือ หนุนให้การเติบโตของธุรกิจมีระดับใกล้เคียงกับช่วงปกติ