Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

AKI on top CKD - Coggle Diagram

- - - - รับประทานครั้งละ1 วันละ1 ครั้งก่อนอาหารเช้า
      - ออกฤทธิ์ช่วยลดการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร นิยมใช้ในผู้ที่มีปัญหากรดเกิน
      - ผลข้างเคียงน้อย แต่อาจมีพบได้บ้าง เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเสีย อย่างไรก็ตามไม่ควรรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้ร่างกายดูดซึมอาหารได้น้อยลง และมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อในทางเดินอาหารหรือโรคต่างๆ
      - ยากลุ่ม Proton pump inhibitors
    - - รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ3 ครั้ง หลังอาหารเช้า กลางวัน เย็น
      - ใช้เป็นยาลดกรด บรรเทาอาการแสบร้อนกลางอก บรรเทาอาการจุกเสียด ลดอาการระคายเคือง เนื่องจากมีกรดมากในกระเพาะอาหาร
        ควบคุมสภาวะความเป็นกรดในเลือดของผู้ป่วยโรคไต
      - อาจก่อให้เกิดภาวะเลือดเป็นด่าง (Alkalosis) ทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน สับสน วิงเวียน ใจสั่น อาจทำให้เกิดภาวะโซเดียมสูงในร่างกาย (Hypernatremia) ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย กระสับกระส่าย ชัก อาจทำให้เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ (Hypocalcemia) ทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อกระตุก หัวใจเต้นผิดปกติ
      - ยากลุ่ม Alkalinzing agent
  - - - รับประทานครั้งละ 2 เม็ดวันละ 2 ครั้งหลังอาหาร เช้า เย็น
      - รักษาอาการปัสสาวะผิดปกติจากต่อมลูกหมากโต ในคนไทยทั่วไป และให้กินก่อนนอนทุกคืน เหตุผลที่ควรกินตอนก่อนนอนคือ เพื่อจะลดอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดจากยาได้ นอกจากนั้นยานี้ยังใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง
      - อาการข้างเคียงอาจมีอาการ หน้ามืดเป็นลม หัวใจเต้นเร็วเต้นแรง หายใจลำบาก บวมมือ แขน และเท้า อวัยวะเพศแข็งตัวนานกว่า 4 ชั่วโมงและมีอาการปวด
      - ยากลุ่ม Alpha-adrenergic Blockers
    - - รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1 ครั้ง หลังอาหารเช้า
      - ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง
        ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูงที่มีภาวะไตบกพร่องร่วมด้วย
      - ยานี้อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงที่สำคัญ เช่น ความดันเลือดต่ำ ใจสั่น บวมบริเวณมือ ข้อเท้า ขา หน้าแดง ร้อนวูบวาบ ปวดหัว
      - ยากลุ่ม Calcium channel blocker
    - - รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารเช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน
      - รักษาภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต
        รักษาโรคความดันโลหิตสูงเรื้อรัง
      - ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคืออาการใจสั่น ถัดมาคือปวดหัว และในระยะยาวคือทำให้ร่างกายบวมน้ำ เนื่องจากยากระตุ้นระบบ
        เรนิน-แองจิโอเทนซิน-อัลโดสเตอโรน แต่อาการบวมจะไม่เกิดถ้าใช้คู่ไปกับยาขับปัสสาวะ
      - ยากลุ่ม Vasodilator antihypretensive drugs
    - - รับประทานครั้งละ 1/2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเช้า เย็น
      - ยากลุ่ม Beta-adrenoceptor blocking drugs
        
        ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง
        ใช้รักษาโรคภาวะหัวใจล้มเหลว
        
        ผลข้างเคียง หัวใจเต้นเร็วขณะเปลี่ยนท่า Orthostatic tachycardia
        ความดันโลหิตลดลงมากอาจทำให้เป็นลมได้
  - - - รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า กลางวัน เย็น
      - ใช้บรรเทาอาการแน่นหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
        ใช้รักษาภาวะหัวใจล้มเหลว
      - อาการไม่พึงประสงค์ ปวดหัว เวียนหัว ความดันเลือดต่ำ
      - ยากลุ่ม Nitrate
    - - รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1 ครั้งก่อนนอน
      - ใช้ลดไขมันในเลือด ใช้ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง
      - อาจมีอาการบวมที่ใบหน้า เปลือกตา ริมฝีปาก ลมพิษ หน้ามืด เป็นลม แน่นหน้าอก ายใจบำบาก
      - Statins
  - - - รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเข้า เย็น
      - ยานี้ใช้เสริมหรือทดแทนแคลเซียม
        ยานี้อาจใช้เป็นยาลดกรดเพื่อบรรเทาอาการแสบร้อนบริเวณยอดอก อาหารไม่ย่อย และรู้สึกไม่สบายท้อง
        ยานี้อาจใช้ในข้อบ่งใช้อื่น เช่น บางครั้งใช้ในการลดปริมาณฟอสเฟตในเลือดใน ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง
      - อาการอันไม่พึงประสงค์ที่ต้องแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที
        มีดังนี้ สับสน หงุดหงิดง่าย ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลียหรือ เหนื่อยง่ายผิดปกติ
  - - - รับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ (30 ซีซี) วันละ 1 ครั้งก่อนนอน
      - รักษาอาการท้องผูก
        รักษาและป้องกันภาวะแอมโมเนียขึ้นสมองในผู้ป่วยโรคตับ
      - ยานี้อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น ท้องเสีย แน่นท้อง ท้องเฟ้อ ผายลม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเกร็งท้อง
  - - - DTX premeal hs. keep 80-180 mg/dL
        ยาเริ่มออกฤทธิ์ 30-60 นาที ระยะเวลาการออกฤทธิ์ 5-8 ชั่วโมง
        
        180-220 add RI 2 unit sc 221-260 add RI 3 unit sc
        261-300 add RI 4 unit sc
        301-340 add RI 5 unit sc
        น้อยกว่า 180 รายงานแพทย์
        มากกว่า 340 รายงานแพทย์
      - Short-acting Insulin
    - - Intermediate-acting Insulin
      - ยาเริ่มออกฤทธิ์ 2-4 ชั่วโมง ระยะเวลาการออกฤทธิ์ 10-16 ชั่วโมง
  - - - รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1 ครั้งก่อนนอน
        
        กลุ่มยาแอลฟา-1 บล็อกเกอร์ (Alpha-1 blockers)
        
        มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อของต่อมลูกหมากและของกระเพาะปัสสาวะคลายตัว
        
        ผลข้างเคียง การเกิดอาการคล้ายแพ้ยาประเภทซัลฟา (Sulfa allergy) เช่น เกิดผื่นคัน ลมพิษ ตัวบวม มีอาการของทางเดินหายใจ(เช่น หายใจลำบาก รวมไปถึงเกิดความดันโลหิตต่ำ และหัวใจล้มเหลว
- - - - 1)ผู้ป่วยมีอาการสับสนและมึนงง
      - 2)ผู้ป่วยผิวหนังแห้ง มีแผลบริเวณแขนและขา แขนขาบวม pitting edema grade2+
      - 3)ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ (1/1/2566)
        
        BUN 62.0 (8.9-20.6)
        
        Creatinine 6.08 (0.73-1.18)
        
        eGFR 9.56 mL/min/1.73m2
    - - 1.สังกตและบันทึกอาการแสดงของภาวะของเสียคั่งใน
        กระแสเลือด เช่น ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง อาการสับสน คลื่นไส้อาเจียน
      - 2.ตรวจบริเวณรอยแทงเข็มว่าไม่มีเลือดออก ไม่มีอาการ
        อักเสบ ปวด บวม แดง ร้อน สังเกตบริเวณผิวหนัง อาการบวม ภาวะ Edema
      - 3.จำกัดน้ำผู้ป่วยไม่เกิน1000 cc/Day เพื่อป้องกันภาวะบวมน้ำจากการที่ไตกรองได้ลดลง
      - 5.ดูแลรักษาความสะอาดร่างกายเสื้อผ้าไม่ให้อับขึ้น ทา โลชั่นบริเวณผิวหนังที่แห้ง
      - 6.ดูแลให้ได้รับประทานอาหาร low salt diet และเพิ่มโปรตีนจากไข่ขาว เพื่อลดการบวมและของเสียคั่งตามแผนการรักษา
      - บันทึกปริมาณน้ำเข้า-ออกจากร่างทายทุก 8 ชั่วโมง เพื่อประเมินความสมดุลน้ำเข้าและออก ประเมินและบันทึกอาการ
        วัดสัญญาณชีพทุก 4 ชม. โดยเฉพาะความดันโลหิต
    - - 1) ผู้ป่วยไม่อาการแสดงของภาวะของเสียคั่งในกระแสเลือด เช่น ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง อาการสับสน คลื่นไส้อาเจียน
      - 2)ผู้ป่วยไม่มีภาวะบวม pitting edema
      - 3) Vital signs อยู่ในเกณฑ์ปกติ
      - 4) ผลตรวจ BUN, Creatinine อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    - - เพื่อให้ผู้ป่วยไม่มีอาการของของเสียคั่งในร่างกาย
  - - - ผู้ป่วยหายใจหอบเหนื่อย นอนราบนานๆไม่ได้
      - ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ (01/01/66)
        
        Hb=9.6 g/dL ต่ำกว่าปกติ (ค่าปกติ12.8-16.1)
        
        Hct=29.6 ต่ำกว่าปกติ (ค่าปกติ 38.2-48.3)
    - - อัตราการหายใจ 16 - 20 ครั้ง/นาที่ ค่าความ
        อิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Spo2) 95 - 100%
      - นอนราบได้ ฟังปอดปกติ ไม่มีเสียง
        crepitation
      - ความดันโลหิต 120/80 มิลลิเมตรปรอท
        ชีพจร 60 - 100 ครั้ง/นาที
      - คลื่นไฟฟ้าหัวใจปกติ ไม่มีหัวใจเต้นผิด
        จังหวะ
      - ได้รับปริมาณสารน้ำตามแผนการรักษา
      - เอกซเรย์ปอด ไม่มี pulmonary edema
    - - สังเกตอัตราการหายใจ และวัดค่าความอิ่ม
        ตัวของออกซิเจนในเลือด (Spo2)
      - วัดความดันโลหิต
      - 3.ติดตามคลื่นไฟฟ้าหัวใจสังเกตหัวใจเต้นผิด
        จังหวะ ตลอดเวลาที่อยู่ในระหว่างการให้ยาระงับความ
        รู้สึกและรายงานแพทย์เพื่อแก้ไข
      - ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับปริมาณสารน้ำตาม
        แผนการรักษาอย่างเคร่งครัด
    - - ป้องกันภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากปอดบวมน้ำจากภาวะน้ำเกิน
  - - - ผลการตรวจห้องปฏิบัติการ
        05/01/66
        
        Neutrophil 75.1 สูงกว่าปกติ ปกติ 48.2-71.2 %
        
        Lymphocyte 12.1 ต่ำกว่าปกติ ปกติ 21.1-42.7 %
        
        U/S KUB เป็นไปได้ที่กระเพาะปัสสาวะอุดตันเรื้อรังด้วยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
        
        WBC(UA) > 100
        
        Leucocyte 3+ มีเม็ดเลือดขาวออกมาทางปัสสาวะมาก
      - ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม มีเลือดปน 07/01/66
      - BT 36.3 องศาเซลเซียส 07/01/66
    - - ผล CBC Neutrophil 48.1-71.2%
      - ผล CBC Lymphocyte 21.1-42.7%
      - ผล UA ไม่พบ Leucocyte
      - WBC(UA) = 0-5 /HPF
      - ผล U/S KUB หายจากการเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
      - ปัสสาวะเป็นสีเหลืองใส
      - BT 36.5-37.4 องศาเซลเซียส
    - - สังเกตสีและปริมาณของปัสสาวะ สังเกตสิ่งผิดปกติที่ปนในปัสสาวะเช่นเลือด
      - ดูแลความสะอาด Perineam care เปิดแพมเพิร์สดู เพื่อสังเกตปลาย Pennis ที่ใส่สายสวนว่ามีการอักเสบหรือไม่
      - ประเมินสัญญาณชีพ ทุก 4 ชั่วโมง โดยเฉพาะ BT ถ้ามากกว่า 37.4 อาจแสดงถึงภาวะติดเชื้อ
      - ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ CBC ดู WBC Neutrophil Lymphocyte ผลUA ดู WBC Leucocyte และผล Urine culture เพื่อประเมินการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
  - - - ผู้ป่วยมีอาการซีด ปลายมือปลายเท้าซีด เยื่อบุตาขาวซีด
      - ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ (01/01/66)
        
        Hb=9.6 g/dL ต่ำกว่าปกติ (ค่าปกติ12.8-16.1)
        
        Hct=29.6 ต่ำกว่าปกติ (ค่าปกติ 38.2-48.3)
    - - ผู้ป่วยไม่เกิดอาการแสดงภาวะซีด เช่น เยื่อบุตาขาวไม่ซีด ปลายมือปลายเท้าไม่ซีด
      - Vital signs อยู่ในเกณฑ์ปกติ
      - ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ Hb,Hct ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    - - ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะซีด เช่น เยื่อบุตาขาวซีด ปลายมือปลายเท้าซีด ตัวเย็น
      - บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
      - แนะนำญาติระวังอุบัติเหตุ ไม่ให้ร่างกายมีการกระทบกระเเทกแรงๆ
      - ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ
      - ติดตามผล Hb,Hct ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  - - - 1)ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองไม่ได้
      - 2)ผู้ป่วยผิวหนังบริเวณแขนขาแห้ง ผิวมีรอยแดง
      - 3)Fall score = 5 คะแนน มีความเสี่ยงสูง
    - - 1)ผู้ป่วยไม่มีบาดแผลเกิดขึ้นที่ใดของร่างกาย ผิวหนังไม่มี รอยแดง ถลอก ชุ่มชื้นดี
      - 2)ผู้ป่วยไม่ตกเตียง
      - 3)ผู้ป่วยไม่เกิดข้อยึดติด สามารถเคลื่อนไหวแขนขาได้
    - - 1.ประเมินความสามารถในการทำกิจกรรมต่างๆ
      - 2.ประเมินสภาพผิวหนัง สังเกตรอยแดง แผลกดทับ โดย เฉพาะบริเวณที่มีปุ่มกระดูกต่างๆ
      - 3.ตรวจสอบความแข็งแรงของไม้กั้นเตียง ถ้ามีการเลื่อนหลุดต้องรีบแก้ไข
      - 4.ดึงไม้กั้นเตียงทั้ง 2 ข้างขึ้นทุกครั้ง เมื่อผู้ป่วยอยู่ตามลำพัง
      - 5.แนะนำให้ญาติช่วยเหลือผู้ป่วยพลิกตะแคงเปลี่ยนท่าทุก2ชั่วโมง
      - 6.สอนญาตินวดหลังและผิวหนังบริเวณปุ่มกระดูก เพื่อ
        กระตุ้นการไหลเวียน ทาโลชั่นเพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้น
      - 7.ดูแลผ้าปูที่นอนให้สะอาด แห้ง เรียบตึงอยู่เสมอ
      - 8.ดูแลการขับถ่ายไม่ให้ผู้ป่วยนอนแช่ปัสสาวะ อุจจาระ
      - 9.ไม่ปล่อยให้ผู้ป่วยอยู่ตามลำพังเมื่อปิดม่านทำหัตถการ
        ต่างๆ พยาบาลควรอยู่ใกล้ๆเพื่อช่วยเหลือได้ทันท่วงที
      - 10.กระตุ้นให้ญาติมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือดูแลผู้ป่วย
      - 11.ดูแลส่วนต่างๆของร่งกายโดยใช้หมอนรองบริเวณปุ่ม
        กระดูก ใช้ foot board ป้องกันปลายเท้าตก
  - - - 1)DTX
        
        5/1/2566
        6.00น. DTX 116
        11.00น. DTX 151
        15.00น. DTX 193
        20.00น. DTX 145
    - - 2)Keep DTX = 80-200 mg%
      - 1)ไม่มีอาการ Hyperglycemia คือ ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะ มาก กระหายน้ำ ดื่มน้ำบ่อย หิวบ่อย อ่อนเพลีย ซึม เพ้อ ซัก
        หมดสติ
      - 3)Vital signs อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    - - 1.ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะ Hyperglycemia คือ ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะมาก กระหาย
        น้ำ ดื่มน้ำบ่อย หิวบ่อย อ่อนเพลีย ซึม เพ้อ ชัก หมดสติ
      - 2.ตรวจวัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
      - 3.ติดตามผลเลือดเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของระดับ
        น้ำตาล (Blood sugar)
      - 4.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับอาหารสูตร Low salt diet
      - 5.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาลดระดับน้ำตาลในเลือดและฉีดยา
        อินซูลีน ตามแผนการรักษา
      - 6.ประเมินภาวะหมดสติจากภาวะน้ำตาล
        สูง (ketoacidosis) ซึ่งมีอาการและอาการแสดง คือ
        กระหายน้ำ ตาลึก หายใจลึก ซึมลง กระสับกระส่าย
        และตรวจระดับคีโตนในปัสสาวะ
      - 7.ดูแลให้ได้รับการพักผ่อนเพื่อลดการใช้พลังงาน