Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทฤษฎีในการสร้างเสริมสุขภาพ - Coggle Diagram
ทฤษฎีในการสร้างเสริมสุขภาพ
แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model : HBM)
ปัจจัยร่วม (Modifying Factors)
เป็นปัจจัยที่ไม่มีผลโดยตรงต่อพฤติกรรมสุขภาพ แต่เป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะส่งผลไปถึงการรับรู้และ การปฏิบัติ ได้แก่
ปัจจัยด้านประชากร : เพศ อายุ เชื้อชาติ ศาสนา
ปัจจัยด้านสังคมจิตวิทยา : เช่น บุคลิกภาพ กลุ่มเพื่อน มีความเกี่ยวข้องกับบรรทัดฐานทางสังคม
ค่านิยมวัฒนธรรมซึ่งเป็นพื้นฐานทําให้เกิดการปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคที่แตกต่างกัน
ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน : ระบบบริการสุขภาพ
องค์ประกอบของแบบจำลองความเชื่อด้านสุขภาพ
การรับรู้ต่อโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรค
ความเชื่อหรือการคาดคะเนว่า ตนมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหรือปัญหาสุขภาพนั้นมากน้อยเพียงใด
การรับรู้ของผู้ป่วย หมายถึงความเชื่อต่อความถูกต้องของการวินิจฉัยโรคของแพทย์ การคาดคะเน ถึงโอกาสการเกิดโรคซ้ำและความรู้สึกของผู้ป่วยว่าตนเองง่ายต่อการป่วยเป็นโรคต่างๆ
การรับรู้ความรุนแรงของโรค
ความเชื่อที่บุคคลเป็นผู้ประเมินเองในด้านความรุนแรงของโรคที่มีต่อร่างกาย การก่อให้เกิดพิการ เสียชีวิต ความยากลาบากและการต้องใช้ระยะเวลานานในการรักษา การเกิดโรคแทรกซ้อน หรือมี ผลกระทบต่อบทบาททางสังคมของตน
การรับรู้ประโยชน์ที่จะได้รับและค่าใช้จ่าย
การที่บุคคลแสวงหาวิธีการปฏิบัติให้หายจากโรคหรือป้องกันไม่ให้เกิดโรค โดยการปฏิบัตินั้นต้องมีความเชื่อว่าเป็นการกระทําที่ดีมีประโยชน์และเหมาะสมที่จะทําให้หายหรือไม่
บุคคลจะต้องมีความเชื่อว่าค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นข้อเสีย หรืออุปสรรคของการปฏิบัติในการป้องกัน และ รักษาโรคจะต้องมีน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับประโยชน์ที่จะได้รับ
แรงจูงใจด้านสุขภาพ
ระดับความสนใจและความห่วงใยเกี่ยวกับสุขภาพ ความปรารถนาที่จะดํารงรักษาสุขภาพและการ หลีกเลี่ยงจากการเจ็บป่วย
เกิดจากความสนใจสุขภาพโดยทั่วไปของบุคคล หรือเกิดจากการกระตุ้นของความเชื่อต่อโอกาส เสี่ยงของการเป็นโรค ความเชื่อต่อความรุนแรงของโรค ความเชื่อต่อผลดีจากการปฏิบัติ รวมทั้งสิ่งเร้า ภายนอก เช่น ข่าวสาร คําแนะนําของแพทย์
ปัจจัยร่วม
ปัจจัยที่มีส่วนช่วยส่งเสริมหรือเป็นอุปสรรคต่อการที่บุคคลจะปฏิบัติเพื่อการป้องกันโรค หรือการ ปฏิบัตตามคําแนะนําในการรักษาโรค เช่น เพศ อายุ เชื้อชาติ ลักษณะของความยากง่ายของการปฏิบัติตาม เป็นต้น
สรุป
การนำเอาแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพมาใช้ในการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมพฤติกรรม ป้องกันโรค เช่น การตรวจเต้านมด้วยตนเอง การใช้ถุงยางอนามัย ได้ผลดีทั้งในระดับบุคคล และ ชุมชน
PRECEDE-PROCEED Model
P: Predisposing (แรงจูงใจ)
R: Reinforcing (ทำให้แข็งแกร่งขึ้น)
E: Enabling (ทำให้เป็นไปได้)
C: Causes (ทำให้เกิด)
E: Educational (การศึกษา)
D: Diagnosis (การหาสาเหตุ)
E: Evaluation (การประเมินผล)
แปลว่ากระบวนการของการใช้ปัจจัยนํา
ปัจจัยเอื้อและปัจจัยเสริมในการวินิจฉัยโครงสร้างทางการศึกษา นิเวศวิทยาและการประเมินผล “พฤติกรรมของบุคคลมีสาเหตุมาจากสหปัจจัย (Multiple Factors)”
ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์ทางสังคม (Phase1 : Social Assessment)
เป็นการพิจารณา และวิเคราะห์ “คุณภาพชีวิต” ซึ่งถือว่าเป็นขั้นตอนแรกของการวิเคราะห์โดย การประเมินสิ่งที่เกี่ยวข้อง หรือตัวกําหนดคุณภาพชีวิตของประชากรกลุ่มเป้าหมายต่างๆ
จุดประสงค์ของการประเมินในระยะนี้เพื่อค้นหา ข้อมูล และประเมินปัญหาด้านสังคมที่ส่งผล กระทบต่อคุณภาพชีวิต (Quality of Life: QOL) ของประชากร เป้าหมาย
ขั้นตอนที่ 2 การวิเคราะห์ทางระบาดวิทยา (Phase 2 : Epidemiological Assessment)
เป็นการวิเคราะห์ว่ามีปัญหาสุขภาพที่สําคัญอะไรบ้าง ข้อมูลทางระบาดวิทยาจะชี้ให้เห็นถึงการ เจ็บป่วยการเกิดโรค และภาวะสุขภาพ ตลอดจนปัจจัยต่างๆ ที่ทําให้เกิดการเจ็บป่วย และเกิดการ กระจายของโรค การวิเคราะห์ทางระบาดวิทยาจะช่วยให้สามารถจัดเรียงลําดับความสําคัญของ ปัญหาเพื่อประโยชน์ในการวางแผนการดําเนินงานสุขศึกษาได้อย่างเหมาะสมต่อไป
ขั้นตอนที่ 3 การวิเคราะห์ด้านพฤติกรรม (Phase 3 : Behavioral Assessment)
จากปัจจัยปัญหาด้านสุขภาพอนามัยที่ได้ในขั้นตอนที่ 1-2 จะนํามาวิเคราะห์ต่อเพื่อหาสาเหตุที่ เกี่ยวข้อง โดยแบ่งเป็นสาเหตุอันเนื่องมาจากพฤติกรรมของบุคคลและสาเหตุที่ไม่เกี่ยวข้องกับ พฤติกรรม เช่น สาเหตุจากพันธุกรรม หรือสภาวะเศรษฐกิจ เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 4 การวิเคราะห์ทางการศึกษา (Phase 4 : Educational Assessment)
ระยะนี้เป็นการประเมินสาเหตุของพฤติกรรมสุขภาพที่ระบุไว้ในระยะที่ 2 สาเหตุของ พฤติกรรมสุขภาพ ประกอบด้วย 3 กลุ่มปัจจัยด้วยกัน คือ ปัจจัยนํา (predisposing factors) ปัจจัยเอื้อให้เกิดพฤติกรรม (enabling factors) และปัจจัยเสริมแรงให้เกิดพฤติกรรมต่อเนื่อง (reinforcing factors)
ขั้นตอนที่ 5 การวิเคราะห์ทางการบริหาร (Phase 5 : Administrative and Policy Assessment)
เป็นการประเมินความสามารถของการบริหาร และนโยบายของการจัดการโครงการส่งเสริม สุขภาพ เพี่ออธิบายถึงแหล่งทรัพยากรขององค์กรที่ต้องการสร้างแผนงานและดําเนินงานตาม แผนงาน ทําให้โครงการส่งเสริมสุขภาพประสบความสําเร็จ
ขั้นตอนที่ 6 การปฏิบัติการ (Phase 6 : Implementation)
ดําเนินงานตามกลวิธี วิธีการและกิจกรรม โดยผู้รับผิดชอบในแต่ละเรื่องและประเด็น ที่กําหนด ไว้ตามตารางการปฏิบัติกิจกรรม
ขั้นตอนที่ 7 การประเมินกระบวนการ (Phase 7 : Process Evaluation)
เพื่อประเมินถึงปัจจัยด้านการบริหารจัดการ ที่จะมีผลต่อการดําเนินโครงการท่ีได้วางแผนไว้
ขั้นตอนที่ 8 การประเมินผลกระทบ (Phase 8 : Impact Evaluation)
การประเมินผลลัพธ์ที่เกิดจากการดําเนินโครงการในระยะสั้น เป็นการวัดประสิทธิผลของ แผนงาน โครงการตามวัตถุประสงค์ระยะสั้นที่ส่งผลต่อการ เปลี่ยนแปลงปัจจัยนํา ปัจจัยเอื้อ และ ปัจจัยเสริมแรง (predisposing, enabling , and reinforcing factors)
ขั้นตอนที่ 9 การประเมินผลลัพธ์ (Phase 9 : Outcome Evaluation)
เป็นการประเมินผลรวบยอดของวัตถุประสงค์ท่ีมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นและประโยชน์ที่ได้รับ ด้านสุขภาพหรือคุณภาพชีวิต ซึ่งอาจจะใช้เวลานาน ผลเหล่านี้จึงจะเกิดข้ึนซึ่งอาจจะเป็นปีๆจึงจะสามารถประเมินคุณภาพชีวิต ของกลุ่มเป้าหมายได้
สรุป
เป็นโมเดลที่นํามําประยุกต์ใช้ในการวางแผนและประเมินผล โครงการส่งเสริมสุขภาพและสุขศึกษา โดยเฉพาะ PRECEDE Model ใช้เป็นกรอบในการวางแผนสุขศึกษาและการมีส่วนร่วมของ กลุ่มเป้าหมายที่จะนําไปสู่การมพีฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ต่อไป
แบบจำลองการส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion Model : HPM)
1.ลักษณะเฉพาะและประสบการณ์ของบคุคล(IndividualCharacteristicsandExperiences)
ลักษณะเฉพาะและประสบการณ์ของบุคคลที่มีผลต่อการปฏิบัติพฤติกรรม ในมโนทัศน์หลักนี้เพนเดอร์ได้เสนอมโนทัศน์ย่อย คือ พฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง และปัจจัยส่วนบุคคล โดยมโนทัศน์ทั้งสองมี ความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมสุขภาพบางพฤติกรรมหรือในบางกลุ่มประชากรเท่านั้น
1.1 พฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง (Prior related behavior) พฤติกรรมที่เคยปฏิบัติในอดีตมีอิทธิพล
โดยตรงต่อการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ เนื่องจากพฤติกรรมที่เคยปฏิบัติมานั้นได้กลายเป็น นิสัย (habit formation) และบุคคลปฏิบัติพฤติกรรมนั้นได้โดยอัตโนมัติโดยอาศัยความตั้งใจเพียง เล็กน้อยก็ปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพได้
1.2 ปัจจัยส่วนบุคคล (Personal Factors) ในแบบจําลองกํารส่งเสริมสุขภําพ ปัจจัยส่วนบุคคล ประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้
ปัจจัยด้านชีววิทยา ได้แก่ อายุ ดัชนีมวลกาย สภาวะวัยรุ่น สภาวะหมดระดู ความจุปอด ความแข็งแรงของร่างกาย ความกระฉับกระเฉง และความสมดุลของร่างกาย
ปัจจัยด้านจิตวิทยา ได้แก่ ความมีคุณค่าในตนเอง แรงจูงใจในตนเอง การรับรู้ภาวะ สุขภาพของตนเอง
ปัจจัยด้านสังคมวัฒนธรรม ได้แก่ สัญชาติ วัฒนธรรม การศึกษา และสถานะทางสังคม เศรษฐกิจ โดยปัจจัยส่วนบุคคลดังกล่าวมีอิทธิพลโดยตรงต่อปัจจัยด้านอารมณ์และการคิดรู้ที่เฉพาะ กับพฤติกรรมและมีอิทธิพลโดยตรงต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ
ความคิดและอารมณ์ต่อพฤติกรรม (Behavior-Specific Cognition and Affect)
เป็นมโนทัศน์หลักในการสร้างกลยุทธ์/กิจกรรมพยาบาลเพื่อสร้างแรงจูงใจให้บุคคลมีการพัฒนาหรือ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง มโนทัศน์หลักนี้ ประกอบด้วยมโนทัศน์ย่อยทั้งหมด 5 มโนทัศน์ ดังนี้
2.1 การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรม (Perceived Benefits of Action)
2.2 การรับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติพฤติกรรม (Perceived Barriers to Action)
2.3 การรับรู้ความสามารถของตนเอง (PerceivedSelf-Ef ficacy)
2.4 ความรู้สึกที่มีต่อพฤติกรรม (Activity-Related Affect)
2.5 อิทธิพลระหว่างบุคคล (Interpersonal Influences)
2.6 อิทธิพลจากสถานการณ์ (Situational Influences)
พฤติกรรมผลลัพธ์ (Behavioral Outcome) ประกอบด้วย 3 อย่าง ได้แก่
3.1 ความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติพฤติกรรม (Commitment to a Plan of Actions)
3.2 ความจาเป็นอื่นและทางเลือกอื่นที่เกิดขึ้น (Immediate Competing Demands and Preferences)
3.3 พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ (Health-Promoting Behavior)
สรุป
การส่งเสริมสุขภาพในแต่ละบุคคลนั้นมีเหตุผลแตกต่างกัน พยาบาลควรแนะนํา วิธีการที่เหมาะสมสําหรับแต่ละบุคคล ส่งเสริมให้เห็นความสําคัญของสุขภาพ และ ความสําคัญของตนเอง เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติการส่งเสริม สุขภาพสนับสนุนให้กระทํากิจกรรมนั้นอย่างสม่ำเสมอและยาวนาน
ทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
Trans theoretical Model Stage of Change : TTM
ขั้นก่อนชั่งใจ (Pre-contemplation stage)
ยังไม่มีความสนใจที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ไม่ตระหนักรู้ไม่คิดว่าสิ่งที่ทําอยู่ ณ ปัจจุบัน เป็นปัญหา หรือมีความ จําเป็นที่จะต้องทําการปรับเปลี่ยน
ขั้นชั่งใจ (Contemplation stage)
ตระหนักรู้ว่ามีปัญหา แต่ยังไม่คิดที่จะทําการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่แน่ใจ ยังครุ่นคิดอยู่ และมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในอีก 6 เดือนข้างหน้า
ขั้นเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติ (Preparation stage / Determination)
เตรียมตัวเริ่มมีความพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในอีก 1 เดือน ข้างหน้า
ขั้นปฏิบัติ (Action stage)
เชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองว่าสามารถทําการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมได้และกําลังกระทําการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม กระทําการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อยู่ ในช่วง 6 เดือนแรกของ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (ไม่เกิน 6 เดือน)
ขั้นคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ (Maintenance)
สามารถคงไว้ซึ่งพฤติกรรมใหม่อย่างสม่ำ เสมอได้นานมากกว่า 6 เดือน ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งเร้ากระตุ้นให้กลับไปสู่พฤติกรรมเดิม
ขั้นยุติพฤติกรรมเดิมอย่างถาวร (Termination)
ไม่มีอะไรมาเย้ายวนให้กลับไปทํา พฤติกรรมเดิมได้อีก สามารถมั่นใจได้ 100% มีการเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างถาวรตลอดชีวิต
หลักกระบวนการช่วยเปลี่ยนแปลง Process of Change
1.การปลุกจิตสำนึก(consciousness raising)
เป็นการใช้วิธีต่างๆบอกให้รู้ ผลเสียของการไม่เปลี่ยน และผลดีของการเปลี่ยนพฤติกรรม เช่นการให้การศึกษา อธิบาย ตีความหมายให้ฟัง บอกให้รู้ตรงๆ หรือรณรงค์ผ่านสื่อต่างๆ
เทคนิคนี้เหมาะสาหรับผู้ที่อยู่ในขั้นก่อนชั่งใจ (Pre-contemplation stage) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้นชั่งใจ (Contemplation stage)
การระบายความรู้สึก (Dramatic relief)
เพื่อกระตุ้นหรือผลักดันจิตใจ อารมณ์ให้เกิดความอยากเปลี่ยนแปลงเช่นการให้ลองเล่นเป็นคนอื่นดู(roleplay) ให้สามีและภรรยาลองเล่นละครสลับบทบาทกันเพื่อสะท้อนความความรู้สึกต่อ พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพของกันและกัน การใช้ตัวละครโฆษณาแสดงความรู้สึกผิด หรือเสียใจที่ไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรม เป็นต้น
เทคนิคนี้เหมาะสาหรับผู้ที่อยู่ในขั้นก่อนชั่งใจ (Pre-contemplation stage) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้นชั่งใจ (Contemplation stage)
การใคร่ครวญผลต่อสังคมรอบข้าง (social reevaluation)
เช่น นึกต่อไปว่า ถ้าตนเองดื่มแอลกอฮอล์จัดอยู่ ต่อไปลูกๆจะเป็นอย่างไร หรือผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่ สนใจควบคุมอาหารจนทําให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ตาบอดหรือถูกตัดขาจนเป็น ภาระให้แก่ลูกหลานต้องดูแลจนอาจมีรายจ่ายเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น
เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นก่อนชั่งใจ (Pre-contemplation stage) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้นชั่งใจ (Contemplation stage)
การใคร่ครวญผลต่อตนเอง (self reevaluation)
เช่นจินตนาการว่าถ้าเอาแต่ นอนโซฟาดูทีวี ภาพของตนเองต่อไปจะเป็นอย่างไร ถ้าขยันขันแข็งออกกําลังกําย ทุกวันภาพของตนจะเป็นอย่างไร
เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ อยู่ในขั้นชั่งใจ (Contemplation stage) เพื่อ เลื่อนขึ้นไปสู่ขั้นเตรียมพรอ้มที่จะปฏิบัติ(Preparationstage /Determination)
การปลดปล่อยตนเอง (self liberation)
คือการพยายามให้มีทางเลือกในการ เปลี่ยนแปลง งานวิจัยบ่งชี้ว่าถ้าคนเรามีทางเลือกสองทาง จะมีความมุ่งมั่นมากกว่า มีทํางเลือกทางเดียว ถ้ามีทางเลือกสามทาง จะมีมุ่งมั่นมากกว่ามีทางเลือกสองทําง ยกตัวอย่าง การให้ทางเลือก เช่น ถ้าจะเลิกบุหรี่ ก็ให้เลือกได้สามทาง จะเลิกแบบ หักดิบก็ได้ แบบกินนิโคตินทดแทนก็ได้ หรือเลิกแบบค่อยๆลดลงก็ได้ เป็นต้น
เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติ (Preparation stage / Determination) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้นปฏิบัติ (Action)
กัลยาณมิตร (helping relationship)
เช่นการเป็นที่ปรึกษาทางโทรศัพท์ให้ การมีบัดดี้คอยสนับสนุน
เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นปฏิบัติ (Action) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ ขั้นคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ (Maintenance)
จงใจใช้แผนกระตุ้น (contingency management)
เช่น การตกรางวัลถ้า ทําสิ่งที่ดีกว่าการชื่นชมผลงานหรือแม้กระทั่งการลงโทษถ้าไม่เลิกสิ่งที่ไม่ดี
เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นปฏิบัติ (Action) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ ขั้นคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ (Maintenance)
บังคับให้ทาสิ่งที่ดีกว่าทางอ้อม (stimulus control)
เช่นสร้างที่จอดรถให้ห่าง ที่ทํางาน เพื่อบังคับให้ต้องเดิน ติดตั้งงานศิลปกรรมไว้ข้างบันได เพื่อชักจูงให้ขึ้นลง บันได เป็นต้น
เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นปฏิบัติ (Action) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้น คงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ (Maintenance)
ให้เรียนรู้สิ่งตรงกันข้าม (counterconditioning)
เช่นให้เรียนรู้การ สนองตอบแบบผ่อนคลายเพื่อแก้ปัญหาเครียด ให้เรียนรู้การเป็นคนกล้าพูดกล้า แสดงออกเพื่อแก้ปัญหาการทนแรงกดดันจาก เพื่อนชวนไม่ได้ เป็นต้น
เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นปฏิบัติ (Action) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ ขั้นคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ (Maintenance)
การปลดปล่อยสังคม (social liberation)
คืออาศัยความรู้สึกว่าเป็นการ ปลดปล่อยจากการถูกกดขี่เอาเปรียบทางสังคมมา เป็นตัวสร้างความมุ่งมั่นในการ เปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เช่นโครงการส่งเสริมสุขภาพชนกลุ่มน้อย เป็นต้น
เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นปฏิบัติ (Action) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้น คงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ (Maintenance)
สรุป
ประเด็นที่สําคัญในการใช้เทคนิควิธีการทั้ง 10 นี้ ก็คือ การเลือกใช้ให้เหมาะกับระดับของ กระบวนการเปลี่ยนแปลงว่าผู้รับบริการอยู่ในระดับใด จะเห็นว่าเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับความรู้ หรือปรับทัศนคติมักเหมาะกับผู้ที่อยู่ในระยะแรกๆ หรือผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจ ยังไม่วางแผน ในขณะ ที่เทคนิคที่ช่วยให้พฤติกรรมใหม่คงไว้ มักเหมาะกับผู้ที่อยู่ในระยะที่ต้องการให้พฤติกรรมมี ความคงเส้นคงวา หรือต้องการให้เกิดความต่อเนื่อง