Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Chronic Kidney Disease, บรรณานุกรม
ลิวรรณ อุนนาภิรักษ์, จันทนา…
Chronic Kidney Disease
การรักษา
-
- การรักษาสาเหตุที่ทำให้ใตทำหน้าที่ผิดุปกติ
ค้นหาสาเหตุและแก้ไขสาเหตุนั้นเท่าที่ทำได้ เช่นแก้ไขภาวะช็อก ให้ยารักษาภาวะติดเชื้อ
หรือหยุดยาที่ทำให้ไตวายผ่าตัดรักษาการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ
ควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน เป็นต้น
- การรักษาแบบปูระคับประคองและรักษาภาวะแทรกช้อ
น ในผู้ป่วยไตเรื้อรัง หรือไตเสียหายเฉียบพลันซึ่งไตยังไม่ฟื้นตัว ต้องให้การรักษาแบบประดับประคอง
เพื่อป้องกันและรักษาภาวะแทรกซ้อนรวมทั้งชะลอความก้าวหน้าของโรค
ต้องดูแลทั้งในต้านปริมาณสารน้ำในร่างกายความเป็นกรด-ด่ง และสมดุลเกลือแร่
ให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสมรวมทั้งดูแลการให้อาหารและโภชนาการที่ครบถ้วน
เพื่อไม่ให้เกิดภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
โรคไตเรื้อรังเกิดได้จากความผิดปกติใดก็ตาม ที่มีการทำลายเนื้อไต ทำให้มีการสูญเสียหน้าที่ของไตอย่างถาวร เช่น ไตอักเสบเรื้อรังจากการติดเชื้อ ภาวะอุดกั้นในทางเดินปัสสาวะ
-
โรคของหลอดเลือด ได้แก่ ความดัน
โลหิตสูงเรื้อรังทำให้หลอดเลือดแดงที่หล่อเลี้ยง ไตค่อย ๆแข็งตัวขึ้น (arteriolar nephrosclerosis)
จึงลดปริมาณเลือดไหลเวียนมาหล่อเลี้ยงไต
เนื้อไตที่เกี่ยวข้องกับการกรองของเสียออกจากร่างกายเสื่อมลง
ส่งผลให้ไตเสื่อมสมรรถภาพมีการสูญเสียโปรตีนออกมาในปัสสาวะ
ส่งผลให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันหรือไตวายเรื้อรัง
-
- การอดกั้นของระบบขับถ่ายปัสสาวะ
จากนิ้ว เนื่องอก ต่อมลูกหมากโต เป็นตัน
การอุดกั้นของระบบขับถ่ายปัสสาวะ
ทำให้เกิดการสะสมของปัสสาวะที่ หลอดไตและไตแรงดันในไตเพิ่มขึ้น
ร่วมกับการไหลเวียนเลือดเพื่อหล่อเลี้ยงไตลดลง
การดูดกลับน้ำ โซเดียมและไบคาร์บอเนต
รวมทั้งการขับออกไฮโดรเจนเสื่อมลงป่วยจึงเกิดภาวะขาดน้ำร่วมกับภาวะกรดเกิน
การติดเชื้อในระบบขับถ่ายปัสสาวะ ส่งผลให้เกิดนิ่ว
ตลอดจนถึงภาวะไตวายเฉียบพลันหากไม่ได้รับการแก้ไขภายใน 1 ,สัปดาห์
จะดำเนินเข้าสู่ภาวะไตวายเรื้อรัง
พยาธิสภาพของโรค
ㆍเกิดจากการเสื่อมของไต และการถูกทำลายของหน่วยไต มีผลทำให้การกรองทั้งหมดลดลงและการขับถ่ายของเสียลดลง ปริมาณ
Creatinine และ BUN ในเลือดสูงขึ้นหน่วยไตที่เหลืออยู่จะเจริญมากผิดปกติเพื่อกรองของเสียที่มีมากขึ้น ผลที่เกิดขึ้นคือทำให้ไตเสียความสามารถในการปรับความเข้มข้นของปัสสาวะ ปัสสาวะถูกขับออกไปต่อ
เนื่อง หน่วยไตไม่สามารถดูดกลับเกลือแร่ต่างๆ ทำให้สูญเสียเกลือแร่
ออกจากร่างกาย เมื่ออัตราการกรองของไตน้อยกว่า 10-20 มล./นาทีส่งผลให้เกิดการคั่งของยูเรียในร่างกายเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิตใน
ที่สุด ดังนั้นเมื่อเข้าสู่ระยะดังกล่าวผู้ป่วยจึงควรได้รับการรักษาด้วยการ
บำบัดทดแทนไต
หน้าที่ของไต
1.กรองน้ำ
และกำจัดของเสียรวมทั้งสารพิษออกจากร่างกาย
2.ควบคุมสมดุลน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย
ควบคุมความเป็นกรด-ต่างในเลือด
3.สร้างฮอร์โมน Erythropoietin
ซึ่งสำคัญกับการสร้างเม็ดเลือดแดงและวิตามินดที่เกี่ยวกับกระดูก
4.กำจัดสารพิษและยาที่ได้รับออกจากร่างกาย
ความหมาย
ภาวะที่มีความผิดปกติทางโครงสร้างหรือการทำหน้าที่ของไต
อย่างใดอย่างหนึ่งติดต่อกันนานกว่า 3 เดือนเช่น การมีนิ่ว หรือถุง
น้ำที่ไต การมีโปรตีน หรือเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ โดยที่อัตราการกรองของไตอาจปกติหรือผิดปกติก็ได้รวมถึงการตรวจพบ
อัตราการกรองของไต (EGFR) ต่ำกว่า 60 มล./นาที/พื้นที่ผิวกาย1.73 เมตร
ติดต่อกันนานกว่า 3 เดือน
-
การวินิจฉัย
-
-
-
- ผู้ป่วยเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเนื่องจากร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
-
กิจกรรมการพยาบาล
1 สังเกตภวะน้ำตาลในเลือดสูงเช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ น้ำหนักลด อ่อนเพลีย คลื่นไสั อาเจียน ซึมลง หมดสติ
.2 แนะนำให้ผู้ป่วยและญาติสังกตกาวะน้ำตาลในเลือดสูงหากพบอาการผิดปกติ ให้รีบแจ้งพยาบาลทันที
3 วัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงเพื่อประเมินสภาพผู้ป่วย
4 ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง.
5 เจาะระดับน้ำตาลในเลือดปลายนิ้วตามแผนการรักษาของแพทย์เพื่อประเมินภาวะน้ำตาลใน
เลือดสูงและเพื่อให้การพยาบาลได้ถูกต้อง
.6 ดูแลให้อินซูลินตามแผนการรักษาของแพทย์และสังเกตภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น หน้ามืค
ใจสั่น เหงื่อออก ชาตามปลายมือปลายเท้า
.7 แนะนำเกี่ยวกับชนิดอาหารที่ควรรับประทาน ให้รับประทานอาหารให้เป็นเวลา แบ่งอาหารออกเป็น 3 มื้อหลัก
-
อาการและอาการแสดง
- การเปลี่ยนแปลงทางเมตาบอลิค (metabolic alteration)
1.1 ยูเรียและครีตินิน ผู้ป่วยจะมีระดับของยูเรียไนโตรเจน และครีตินิน ในกระแสเลือดสูง
เมื่ออัตราการกรองของไตเหลือน้อยกว่าร้อยละ 40 การคั่งค้างของยูเรียจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้
อาเจียน ท้องเดิน ชีด เลือดออกในลำไส้ยูเรียที่คั่งค้างมากจะซึมออกมาตามผิวหนังเมื่อแห้งแล้วจะเป็น
ขี้เกลือ (uremic frost) ยูเรียที่ดูดซึมในลำไส้จะถูกเปลี่ยนเป็นแอมโมนีย และถูกดูดกลับเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ลมหายใจมีกลิ่นเหมือนปัสสาวะ (uremic odor) การรับรสของลิ้นเสีย เกิดแผลในลำไส้ และกระพุ้งแก้ม ถ้าหน่วยไตถูกทำลายไปร้อยละ 75 ระดับของครีตินินในเลือดจะเพิ่มขึ้นเป็น4 เท่า ผู้ป่วยจะมีอาการของโรคไตปรากฎ
1.2 โซเดียม ในระยะแรกๆผู้ป่วยมักมีโชเดียมในเลือดต่ำ เนื่องจากมีภาวะปัสสาวะออกมากอาเจียนหรือท้องเสีย ภาวะโชเดี๊ยมในเลือดต่ำทำให้เกิดอาการ เช่น ความดัน โลหิตต่ำ ซึม อ่อนแรงกระตุก และหมดสติ การขาดโซเดียมทำให้การไหลเวียนเลือดที่ไปเลี้ยงไตลดลง ไตจะเสื่อมมากยิ่งขึ้นในระยะท้ายๆ ความสามารถในการขับ โซเดียมออกจากร่างกายลดลูง เกิดการคั่งของโซเดียม ทำให้เพิ่มจำนวนน้ำและเลือด ความดัน โลหิตสูง อาจทำให้หัวใจวาย และน้ำท่วมปอด เมื่อหัวใจวายเลือดจะไปเลี่ยงไตลดลงอีกทำให้ไตเสื่อมมากยิ่งขึ้น
1.3 โปตัสเชียม ระดับโปตัสเชียมจะสูงได้ในผู้ป่วยที่มีอัตราการกรองของไตลดลงต่ำกว่า10-15 มล./นาที หรือมีปีสสาวะน้อยกว่าวันละ 500 มล. ส่งผลให้การขับโต้สเซียมออกทางปัสสาวะลดลง อาการแสดงของระดับ โปตัสเชียมในเลือดสูง ได้แก่ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ชีพจรช้า กล้ามเนื้ออ่อนแรงโดยเฉพาะกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ถ้านแรงอาจมีอันตรายถึงชีวิต
1.4 แคลเซียมและฟอสเฟต เมื่ออัตราการกรองของไตลดต่ำลงกว่า 30-50 มล./นาที จะทำให้มีการกรองฟอสเฟตออกจากตลดลง เกิดการคั่งของฟอสเฟตในเลือดส่งผลให้ระดับแคลเชียมลดลงอาการแสดงที่สำคัญของระดับแคลเชียมในเลือดต่ำ คือ อาการทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ได้แก่อาการชา ซัก ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นผิดปกติ
1.5 แมกนีเชียม ผู้ป่วยอาจมีภาวะแมกนีเชียมต่ำจากการไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอ ท้องเสียหรือ ได้รับยาขับปัสสาวะ ถ้าอัตราการกรองของไตลดลงต่ำกว่า 30 มล./นาทีแมกนีเชียมในเลือดจะสูงขึ้น เมื่อสูงกว่า 4 มิลลิโมล/ลิตร ผู้ป่วยจะมีอาการ ซึม อ่อนเพลีย ตัวแดง ความดัน โลหิตต่ำ
แม่กนีเชียมสูงมากกว่า 15 มิลลิโมล/ลิตร ผู้ป่วยจะมีอาการไม่รู้สึกตัว หยุดหายใจหัวใจหยุดเต้น
อาการแสดงที่มีระดับแมกนีเชียมในเลือดสูงจะมีอาการเด่นชัดมากขึ้นเมื่อเกิดระดับของแคลเชียม
ในเลือดต่ำร่วมด้วย
- การเปลี่ยนแปลงภาวะสมดุลกรด-ด่าง จากขบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกาย
ทำให้เกิด
ไฮโดรเจนอิวอน ไตทำหน้ำที่ในการขับไฮ โดรเจนอิออนออกจากร้างกายทางปัสสาวะในรูปของแอมโมเนียประมาณร้อยละ 60 การขับออกจะลดลงเมื่ออัตราการกรองลดลงเหลือ 20 มล. /นาที
เกิดการสร้างแอมโมเโดยหลอดไตส่วนต้นลดลง เนื่องจากจำนนหน่วยไตน้อยลงการกรองฟอสเฟต
ผ่านได้น้อยลงในระยะหลังของโรค มีการรั่วของไบคาร์บอเนตที่หลอดไตส่วนต้น การขับไฮโดรเจนอิออนลดลง ทำให้เกิด ภาวะกระดูกกร่อน ภาวะเลือดเป็นกรด มีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน
เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ในรายที่มีอาการมากจะมีอาการ หายใจหอบลึก หายใจเร็วลึก(kussmaul respiration) ซึม และหมดสติในที่สุด
- การเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำในร่างกาย ผู้ป่วยที่มีภาวะไตวาย
จะพบว่ามีอาการของการขาดน้ำ หรือภาวะน้ำเกิน
- การเปลี่ยนแปลงของระบบหัวใจและหลอดเลือด ผู้ป่วยที่มีภาวะ
ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย จะมีความผิดปกติทางระบบหัวใจและ
หลอดเลือด ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หัวใจล้ม
เหลว เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
- การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินหายใจ ปัญหาในระบบทาง
เดินหายใจในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังได้แก่ ภาวะน้ำท่วมปอด การติด
เชื้อในปอด เยื่อหุ้มปอดอักเสบ และ น้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด
- การเปลี่ยนแปลงของระบบเลือด
เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโลหิตวิทยาหลายป ระการ ได้แก่
ภาวะซีดหรือ โลหิตจาง เลือดออกง่ายกลไกการเกิดลิ่มเลือดผิดปกติการทำงานของเม็ดเลือดขาวผิดปกติ
6.1 ภาวะโลหิตจาง ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง สาเหตุเกิดจาก
6.1.1 มีการสร้างอีริ โธปอยอิติน (erythropoietin) ลดลง ทำให้การผลิตเม็ดเลือดแดง
น้อยลง
6.1.2 ภาวะต่อมพาราไทรอยด์สร้างฮอร์โมนมากไป (secondary hyperparathyroidism)
หรือมีการขาดสารอาหารบางชนิดได้แก่ เหล็ก โฟเลต และวิตามินบี 12 ที่เกิดจากภาวะทพโภชนาการ
6.1.3 เม็ดเลือดแดงมีอายุสั้นกว่าปกติ เนื่องจากภาวะยูรีเมีย การขาดเหล็กและโฟลิค หรือมีการสูญเสียเลือด เช่น เลือดออกจากระบบทางเดินอาหาร มีแผล ในกระเพาะอาหาร การรักษาด้วยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
6.2 ภาวะเลือดออกง่าย เนื่องจากเกล็ดเลือดมีประสิทธิภาพใโนการทำงานลดลง ปริมาณเกล็ดเลือดน้อยลงจากภาวะยูรีเมีย ทำให้เลือดแข็งตัวช้า ส่งผลให้เลือดออกง่าย
6.3 ภาวะต้านทาน โรคต่ำ พบมีเมืดเลือดขาวลดลง ค่าลิมโฟชัยท์ทั้งชนิด ที บี เซลล์ ลดลงโมโนชัยท์ทำงานลดลง สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ป่วยมีภูมิต้านทานลดลง
- การเปลี่ยนแปลงระบบทางเดินอาหาร
เกิดการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปากจนถึงทวารหนัก
เริ่มแรก จะมีอาการ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ลิ้นมีรสเฝื่อน ท้องผูก มีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหาร และมีแผลในลำไส้
-
- การเปลี่ยนแปลงของระบบผิวหนัง
จะมีลักษณะของผิวหนังคือ ผิวสีเหลืองปนเทา ชีด
เกิดจากภาวะโลหิตจาง และมีสารยูโรโครม (urochrome) และมีเกลือยูเรีย (uremic frost)เกาะที่ผิวหนัง
มีการลดลงของต่อมเหงื่อ และต้อมน้ำมันทำให้ไม่มีการขับเหงื่อ ผิวหนังแห้งมีแคลเชียมฟอสเฟตที่
ผิวหนัง ทำให้มีอาการคัน ร่วมกับมีความผิดปกติเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดทำให้ผู้ป่วยเกิดจ้ำเลือด
ได้ง่าย มีอาการบวม และนำไปสู่การติดเชื้อได้ง่าย นอกจากนี้ผู้ป่วยยังมีเล็บและเส้นผมเปราะบาง
และฉีกขาดง่าย บนเล็บจะมีแถบสีแดงปรากฎขึ้น (Muehrcke's line)หรือมีลักษณะเล็บสองสี
- การเปลี่ยนแปลงของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
อาการ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ลิ้นมีรสเฝือน ท้องผูก มีการหลั่ง
กรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหาร
และมีแผลในสำไส้
- การเปลี่ยนแปลงของระบบต่อมไร้ท่อ
มีอาการและอาการแสดงของต่อมไร้ท่อทำงานผิดปกติ
ในต่อมไทรอยด์ มีผลทำให้เด็กมีการเจริญเติบโตช้า คอพอก อวัยวะเพศเจริญได้ไม่เต็มที่มีการหลั่ง
ฮอร์โมนพาราไทรอยด์มากขึ้น ทำให้ระดับแคลเชียมในเลือดต่ำ ส่งผลให้เกิดกระดูกผุหรือกระดูกพรุน
ผู้ป่วยมักมีตาแดง ตามัว เกิดเนื่องจากมีแคลเชียมไปเกาะ
ที่เยื่อบุตา หรือที่กระจกตา เกิดการระคายเคือง อาจพบการเปลี่ยนแปลงของเรตินาจากโรคความดัน โลหิตสูงหรือเบาหวาน การทำงานของกล้ามเนื้อตาผิดปกติจากการเปลี่ยนแปลงของระบบประสาท อาจพบความพิการของตาร่วมด้วย
-
ข้อมูลผู้ป่วย
-
-
ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน (Present illness)
30 นาทีก่อนมาโรงพยาบาล ผู้ป่วยปลุกไม่ตื่นญาติสังเกตเห็นว่าผู้ป่วยนอนซึม เรียกไม่รู้สึกตัว มีกายใจ Air Hunger จึงรีบนำส่งโรงพยาบาล
-
วินิจฉัยโรคแรกรับ end stage renal disease (ESRD) c volume overload
ความหมาย โรคไตวายระยะสุดท้ายและมีภาวะน้ำเกิน
วินิจฉัยโรคในปัจจุบัน end stage renal disease (ESRD) c volume overload
ความหมาย โรคไตวายระยะสุดท้ายและมีภาวะน้ำเกิน
ยาที่ได้รับ
Ceftriaxone (เซฟไตรอะโซน) ฆ่าเชื้อแบคทีเรียด้วยการทำลายผนังเซลล์ทำให้แบคทีเรียตาย ใช้ในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียกระจายลุกลามไปทั่ว เช่น การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน โรคหนองในแท้ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือการติดเชื้อแบคทีเรียในหู ปอด ช่องท้อง ทางเดินปัสสาวะ ข้อต่อ กระดูก กระแสเลือด เป็นต้น
โอเมพราโซล (Omeprazole)ใช้รักษาอาการกรดไหลย้อนหรือโรคที่มีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป รวมถึงโรคหลอดอาหารอักเสบจากกรดในกระเพาะ และยังใช้ควบคู่กับยาปฏิชีวนะ เพื่อรักษาแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ไพโลไร (H. pylori)
แอสไพริน (aspirin)ออกฤทธิ์ยับยั้งสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ ชื่อว่า Cyclooxygenase (COX) ทำให้อาการอักเสบ และไข้ลดลง นอกจากนี้ยาแอสไพรินยังช่วยยับยั้งการเกาะกลุ่มกันของเกล็ดเลือด
Plavix
โดยตัวยาจะเข้าไปยับยั้งการรวมตัวของ Adenosine diphosphate (ADP, สารประกอบสำคัญในกระบวนการใช้พลังงานของร่างกาย) กับเกล็ดเลือด(Platelets) รวมถึงชะลอกลไกการรวมตัวของ Fibrinogen (สารชนิดหนึ่งที่ช่วยการแข็งตัวของเลือด) และลดการรวมกลุ่มของเกล็ดเลือด จึงมีฤทธิ์ในการรักษาตามสรรพคุณ
Streptomycin (สเตรปโตมัยซิน)ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในร่างกาย ใช้รักษาวัณโรคหรือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น เยื่อบุหัวใจอักเสบ กาฬโรค เป็นต้น
Metoprolol (เมโทโพรลอล)
ที่มีผลต่อการทำงานของหัวใจและการไหลเวียนโลหิต ถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันและรักษาโรคหรืออาการ เช่น ภาวะเจ็บหน้าอกเฉียบพลันจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจล้มเหลวและโรคหัวใจ หรืออาจนำมาใช้เพื่อป้องกันและรักษาโรคหรืออาการอื่น ๆ
อะโทม็อกซีทีน (Atomoxetineยาจะเข้าจับกับตัวรับในสมองที่มีชื่อว่า Dopa mine receptors ทำให้ระดับ Dopamine (สารสื่อประสาทชนิดหนึ่ง) เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังยับยั้งการดูดกลับเข้าเซลล์สมองของสารสื่อประสาทอีกชนิดที่เรียกว่า Norepinephrine จากกลไกเหล่า นี้ที่ทำให้สารสื่อประสาททั้ง 2 ตัวในสมองสูงขึ้น ส่งผลต่อสมดุลของสารเคมีในสมองและทำให้อา การของผู้ป่วยด้วยโรคสมาธิสั้นทุเลาและดีขึ้น
Furosemide (ฟูโรซีไมด์)
ช่วยขับของเหลวส่วนเกินในร่างกายออกมาทางปัสสาวะ และช่วยป้องกันร่างกายไม่ให้ดูดซึมเกลือหรือโซเดียมมากจนเกินไป นอกจากนี้ ยาดังกล่าวยังใช้ลดอาการบวมน้ำซึ่งเป็นหนึ่งในอาการของภาวะหัวใจวาย โรคตับ โรคไต และโรคไตรั่ว (Nephrotic Syndrome) รวมถึงรักษาภาวะความดันโลหิตสูงได้อีกด้วย ยาชนิดนี้เป็นยาที่ต้องใช้ภายใต้คำสั่งของแพทย์เท่านั้น เพราะเป็นยาที่มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก
Lab ที่ผิดดปกติ
Electrolytes : วันที่ 12/12/65
Creatinine (eGFR) 9.29 H
eGFR 4.0 ml/min/1.73n
BUN 55 H
CO2 15.8 L
K 5.80 H
Globulin 4.03 g/dl H
SGOT (AST) 173 U/L H
SGPT (AST) 122 U/L H
-
-
-
-
-
-
เกณฑ์การวินิจฉัยโรค
1.การชักประวัติ อาการและอาการแสดง เช่น คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะผิดปกติ
2.การตรวจร่างกาย ความดันโลหิตสูงภาวะไม่สมดุลของน้ำและอิเล็กโทรไลด์เลือดเป็นกรดอาจพบชีพจรเต้นเร็ว ไม่สม่ำเสมอ หายใจหอบลึกมีไข้ในบางราย
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ3.1 การตรวจเลือดหาระดับ BUN สูง
3.2 การตรวจเลือดหาระดับ Serum Creatinine (SCr)สูง3.3 การประเมินค่าอัตราการกรองของไต
3.4 การตรวจปัสสาวะ
-
-
บรรณานุกรม
ลิวรรณ อุนนาภิรักษ์, จันทนา รณฤทธิวิชัย, วิไลวรรณ ทองเจร็ญ, วินัส ลีฬหกุล และพัสมณฑ์ คุ้มทวีพร. (2555). พยาธิสรีรวิทยาทางการพยาบาล' (พิมพ์ครั้งที่ 9). บริษัทบุญศิริการพิมพ์ จำกัด