Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทฤษฎีที่ใช้ในการสร้างเสริมสุขภาพ, 195E9BE9-58DF-485B-80FD-6BDD393F1BF3,…
ทฤษฎีที่ใช้ในการสร้างเสริมสุขภาพ
ทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
Trans theoretical Model Stage of Change : TTM
หลักกระบวนการช่วยเปลี่ยนแปลง
Process of change
การปลุกจิตสานึก(consciousness raising)
การระบายความรู้สึก (Dramatic relief)
การใคร่ครวญผลต่อสังคมรอบข้าง (social reevaluation)
การใคร่ครวญผลต่อตนเอง (self reevaluation)
การปลดปล่อยตนเอง (self liberation)
การปลดปล่อยสังคม (social liberation)
ให้เรียนรู้สิ่งตรงกันข้าม (counterconditioning)
บังคับให้ทาสิ่งที่ดีกว่าทางอ้อม (stimulus control)
จงใจใช้แผนกระตุ้น (contingency management)
กัลยาณมิตร (helping relationship)
มีทั้งหมด6ขั้นตอน คือ
2.ขั้นชั่งใจ (Contemplation stage)
1.ขั้นก่อนชั่งใจ (Pre-contemplation stage)
ขั้นเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติ (Preparation stage / Determination)
ขั้นปฏิบัติ (Action stage)
ขั้นคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ (Maintenance)
ขั้นยุติพฤติกรรมเดิมอย่างถาวร (Termination)
แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ
(Health Belief Model : HBM)
ปัจจัยร่วม (modifying Factors)
ปัจจัยด้านประชากร—>เพศ อายุ เชื้อขาติ ศาสนา
ปัจจัยด้านสังคมจิตวิทยา—>บุคลิกภาพ กลุ่มเพื่อน บรรทัดฐานทางสังคม ค่านิยม วัฒนธรรม
ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน—>ระบบบริการสุขภาพ
องค์ประกอบแบบจำลองความเชื่อด้านสุขภาพ
การรับรู้ต่อโอกาศเสี่ยงของการเป็นโรค
การรับรู้ความรุนแรงของโรค
การรับรู้ประโยชน์ที่จะได้รับและค่าใช้จ่าย
แรงจูงใจด้านสุขภาพ
ปัจจัยร่วม หรือเป็นอุสรรคต่อบุคลจะปฎิบัตเพื่อป้องกันโรค เช่น เพศ อายุ เชื้อชาติ ลักษณความยากง่ายของการปฎิบัติตาม
📌สรุป🚧
👉🏻การนำเอาแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพมาใช้ในการขัดกิจกรรมเดื่อส่งเสริมพฤติกรรมป้องกันรค เช่น ารตรวจเต้านมด้วยตนเอง การใช้ถุงยางอนามัย
ทฤษฎีแรงสนับสนุนทางสังคม
(Social Support Theory)
แหล่งที่มาของการสน้บสนุนทางสังคม
ระบบสนับสนุนตามธรรมชาติ
ครอบครัว ญาติพี่น้อง มีความสำคัญมากที่สุดต่อผู้ป่วยในชีวิต อันจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการให้การสนับสนุนผู้ป่วย
ระบบสนับสนุนจากเพื่อน
ได้รับจากบุคคลี่มีประสบการณ์ชำนาญในเรื่องที่จะค้นคว้าหาความสามารถติดต่อซักจูงผู้ป่วยได้ง่าย ทำให้ผู้ป่วยเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จ และปรับตัวต่อสถานการณ์ที่เลวร้ายในชีวิต
รับบสนับสนุนด้านศาสนาหรือแหล่งอุปถัมป์ต่างๆ
แลกเปลี่ยนความเชื่อ ค่านิยม คำสอน คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการดำรงชีวิต และขนบธรรมเนียม เช่น พระ นักบวช หมอศาสนา
ระบบสนับสนุนจากกลุ่มวิชาชีพด้านสุขภาพ
แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข
ประเภทของการสนับสนุนทางสังคม
การสนับสนุนด้านอารมณ์ (Emotional support)
พฤติกรรมแสดงออกด้วยการรับฟังอย่างสนใจ แสดงความยกย่อง แสดงให้เห็นถึงวามเข้าใจ รวมถึงการกระทำกิจกรมร่วมกัน
การสนับสนุนด้านการประเมิน (Appraisal support)
การได้รับคำร้อง ซึ่งจะทำให้ผู้อื่นเกิดความพอใจ นำไปประเมินตนเอง และเปรียบเที่ยบตัวเองกับผู้อื่นในสังคมเดียวกัน
การสนับสนุนด้านข้อมูลข่าวสาร (Information support)
การได้รับคำแนะนำ คำเตือน คำปรึกษาที่สามารถแก้ไขปัญหาที่กำลังเผชิญอยุ่ได้
การสนับสนุนด้านการเงิน แรงงานและสิ่งของ (Intrumental support)
เป็นพฤติกรรมช่วยเหลือต่อความจำเป็นพื้นฐาน
PRECEDE-PROCEED Model
ขั้นตอนที่1 การวิเคราะห์ทางสังคม
(Phase1 : social Assessment)
พิจารณา และวิเคราะห์ คุณภาพชีวิต จุดประสงค์เพื่อ ค้าหา ข้อมูง ประเมินปัญหาด้านสังคมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต Quality of Life ของประชากร เป้าหมาย
ขั้นตอนที่2 การวิเคราะห์ทางระบาดวิทยา
(Phase 2 : Epidemiological Assessment)
ข้อมูลทางระบาดวิทยาจะชี้ให้เห็นถึงการ เจ็บป่วยการเกิดโรค และภาวะสุขภาพ ตลอดจนปัจจัยต่างๆทำที่ให้เกิดการเจ็บป่วยและเกิดการกระจายของโรค
ขั้นตอนที่3 การวิเคราะห์ด้านพฤติกรรม
(Phase3 : Behavioral Assessment)
จะนำ ข้อ 1-2 มาวิเคราะห์ต่อเพื่อหาสาเหตึเกี่ยวข้อง โดยแบ่งเป็นสาเหตุมาจากพฤติกรรมของบุคคล และสาเหตุที่ไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเช่น สาเหตุจากพันธุกรรม หรือสภาวะเศรษฐกิจ
ขั้นตอนที่4 การวิเคราะห์ทางการศึกษา
(Phase 4 :Educational Assessment)
สาเหตุขงพฤติกรรมสุขภาพประกอบด้วย 3 กลุ่ม คือ ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อให้เกิดพฤติกรรมละปัจจัยเสริมแรงให้เกิดพฤติกรรมต่อเนื่อง
ขั้นตอนที่5 การวิเคราะห์ทางการบริหาร
(Phase 5 : Administrative and Poicy Assessment)
เพื่ออธิบายถึงแหละองค์กรที่ต้องสร้างแผนงาน
และดำเนินงานตแผนงาน
การปฎิบัติการ (Phase 6 : Implementation)
ดำเนินงานตามกลวิธี วิธีการและกิจกรรม
ขั้นตอนที่7 กาประเมินกระบวนการ
(Phase 7 : Process Evaluation)
ประเมินถึงปัจจัยด้านบริหารจัดการ ที่ล่อการดำเนินโครงเรื่องไว้
ขั้นตอนท่8 การประเมินผลกระทบ
(Phase 8 : Ipact Evaliation)
เป็นการวัดประสิทธิผลของแผนงาน
ขั้นตอนที่9 การประเมินผลลัพธ์
(Phase 9 :Outcome Evaluation)
ประเมินผลรวบยอดของวัตถุประสงค์ที่มีการเปลี่ยนแปลง และประโยชน์ที่ได้รับ ด้านสุขภาพหรือคุณ
สรุป
เป็นโมเดลที่นำมาประยุกต์ใช้ในการวางแผนและประเมินผลโครงการส่งเสริมสุขภาพและสุขศึกษา
แบบจำลองการส่งเสริมสุขภาพ
(Health Promotion Model : HPM)
เพนเดอร์ (Pender)
ในปี ค.ศ. เพนเดอร์ ได้พัฌนาแบบจำลองป้องกันสุขภาดกล่าวถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อกระบวนการตัดสินใจและการปฎิบัติของปัจเจกบุคคลในการป้องกันโรค ต่อมาเพนเดอร์ เห็นสุขภาพคือ เป็นมโนทัศน์ทางสุขภาพเชิงลบ เพราะ ส่วนใหญ่จะเป็นการหลีกเลี้ยงแต่การยกระดับสุขภาพ บุคคลนั้นต้องได้รับการส่งเสริมสุขภาพ จึงมีการปรับปรุงแบบจำลองสุดท้ายในปี ค.ศ. 2006
สาระของทฤษฎี
มีพื้นฐานมาจากแนวคิดด้านการคิดรู้ ซึ่ง ประกอบด้วยความคาดหวังต่อผลลัพธ์ของการปฏิบัติพฤติกรรม (Outcome expectancies) จากทฤษฎีการให้คุณค่าการคาดหวัง และความคาดหวังในความสามารถของตนเอง (Self-efficacy expectancies)
มโนทัศน์หลักของแบบจำลอง
1.ลักษณะเฉพาะและประสบการณ์ของบคุคล
(IndividualCharacteristicsandExperiences)
1.1 พฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง (Prior related behavior)
1.2 ปัจจัยส่วนบุคคล (Personal Factors)
ปัจจัยด้านชีววิทยา ได้แก่ อายุ ดัชนีมวลกาย สภาวะวัยรุ่น สภาวะหมดระดู ความจุปอด ความแข็งแรงของร่างกาย ความกระฉับกระเฉง และความสมดุลของร่างกาย
ปัจจัยด้านจิตวิทยา ได้แก่ ควํามมีคุณค่าในตนเอง แรงจูงใจในตนเอง การรับภาวะ
สุขภาพของตนเอง
ปัจจัยด้านสังคมวัฒนธรรม ได้แก่ สัญชาติ วัฒนธรรม การศึกษา และสถานะทางสังคม เศรษฐกิจ
ความคิดและอารมณ์ต่อพฤติกรรม
(Behavior-Specific Cognition and Affect)
2.1 การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรม
(Perceived Benefits of Action)
2.2 การรับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติพฤติกรรม
(Perceived Barriers to Action)
2.3 การรับรู้ความสามารถของตนเอง
(PerceivedSelf-Ef ficacy)
2.4 ความรู้สึกที่มีต่อพฤติกรรม
(Activity-Related Affect)
2.5 อิทธิพลระหว่างบุคคล
(Interpersonal Influences)
พฤติกรรมผลลัพธ์
(Behavioral Outcome)
3.1 ความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติพฤติกรรม
(Commitment to a Plan of Actions)
3.2 ความจาเป็นอื่นและทางเลือกอื่นที่เกิดขึ้น
Immediate Competing Demands and Preferences)
3.3 พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ
(Health-Promoting Behavior)
สรุป
การส่งเสริมสุขภาพในแต่ละบุคคลนั้นมีเหตุผลแตกต่างกัน พยาบาลควรแนะนํา วิธีการที่เหมาะสมสําหรับแต่ละบุคคล ส่งเสริมให้เห็นความสําคัญของสุขภาพ และ ความสําคัญของตนเอง เสนอแนะแนวทํางแก้ไขปัญหาอุปสรรค ในการปฏิบัติการส่งเสริม สุขภาพสนับสนุนให้กระทํากิจกรรมนั้นอย่างสม่ำเสมอและยาวนาน
การสร้างเสริมพลังอานาจ (Empowerment)
กระบวนการเสริมสร้างพลังอำนาจ ทำให้บุคคลเปลี่ยนแปลง
1.สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง
เข้าถึงข้อมูลและแหล่งข้อมูลที่เอื้อในการตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม
3.มีทางเลือกอย่างกว้างขวาง
มีความสามารถในการคิดเชิงรุกเพื่อประกอบในกการตัดสินใจ
มีความคิดทางบวกและความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลง
มีความสามารถในทักษะการเรียนรู้ที่จะพัฒนาพลังอํานําจแห่งตนและของกลุ่ม
มีความสามารถที่จะปรับเปลี่ยนการรับรู้ของผู้อื่นโดยวิธีประชาธิปไตย
มีส่วนร่วมในกระบวนกระบวนการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยสิ้นสุด และมีการเริ่มต้นอยู่เสมอ
เพิ่มอัตมโนทัศน์ทางบวกและสามารถเอาชนะจุดด้อยของตนได้
10.เพิ่มความสามารถแห่งตนในการคิดอย่างมีเหตุผลเพื่อแยกแยะความถูกผิดได้
ประเภทของการสร้างเสริมพลังอานาจ
การสร้างเสริมพลังอานาจเชิงจิตใจ (Psychological Empowerment)
👉🏻 ความหมาย (Meaning) มีความสอดคล้องกันระหว่างความเชื่อ ค่านิยม และการกระทำ
👉🏻 สมรรถนะ (Competence) เป็นควํามมั่นใจที่จะปฏิบัติพฤติกรรมนั้นได้สําเร็จ อําจเรียกว่ารับรู้ความสามารถของตนเอง (Self-efficacy)
👉🏻 ตัดสินใจด้วยตัวเอง (Self-determination) สามารถควบคุมงานที่รับผิดชอบ หรือกิจกรรม นั้นได้
👉🏻 ผลกระทบ (Impact) คือ การมีอิทธิต่อผลลัพธ์ที่คาดหวัง
2 . การสร้างเสริมพลังอานาจเชิงโครงสร้าง (Structural Empowerment)
👋🏻เกี่ยวข้องกับเงื่อนไข และสภาพการทำงาในองค์กรที่ทำให้บุคคล หรือลูกจ้างได้รับพลังอำนาจ ทำใฟ้เกิดประสิทธิผลในการทำงาน และองค์กรประสบความสำเร็จ
ลักษณะของการสร้างเสริมพลังอำนาจ
1.การสร้างเสริมพลังอำนาจระดับบุคคลและระดับกลุ่ม
👉🏻เช่น กลุ่มคนพิการ สมาชิกขององค์กรณ์ต่างๆ
👋🏻การให้อำนาจคน ให้สามาารถควบคุมชีวิตของตน เพื่อเลือกสิ่งต่างๆเองได้ และมีทรัพยากรที่จะช่วยให้ได้สิ่งที่เลือกนั่น
2.การสร้างเสริมพลังอำนาจภายใน
และภายนอก
👋🏻เป็นการเพิ่มศักยภาพในกลุ่ม โดยการระดมทรัพยากร ความร่วมมือ ของคนในชุมชน
ขั้นตอนของการสร้างเสริมพลังอำนาจ
discovering reality กํารค้นพบความจริง
critical reflection การพิจารณาไตร่ตรอง
สะท้อนคิดอย่างมีวิจารณญาณ
Taking charge ดําเนินการตัดสินใจเลือกวิธีกํารปฏิบัติที่เหมาะสม เรียนรู้ เรียกร้อง จัดการ ต่อรอง ปกป้องสิทธิ
holding มั่นใจที่จะควบคุมสถานการณ์ได้
📌สรุป🚧
👉🏻การสร้างเสริมพลังอำนาจเป็นหัวใจของแนวทางซึ่งหมายถึง ‘’สร้าง’’นำ’’ซ่อม’’ การให้ความสำคัญกับการสร้างความแข็งแกร่งด้านสุขภาพองค์รวม เพื่อป้องกัน การเกิดโรคภัยไข้เจ็บหรือปัญหาด้านสุขภาพองค์รวมที่ร้ายแรง ที่อาจจะเกิดตามมาจากการใช้ชีวิต ที่ไม่คํานึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพของตนเอง
: