Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

การพยาบาลสตรีที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์, อ้างอิง, Insulin 8-8-6-0 ac…

- - - - Hormones Estrogen และ progesterone จากรก ↑
        
        กระตุ้น β-cell ที่ตับอ่อน
        
        หลั่ง insulin ↑
        
        มีการใช้ glucose เพื่อสร้างเนื้อเยื่อไขมันไว้เป็นพลังงานของร่างกาย
        
        ระดับน้ำตาลในเลือด ↓
        
        ไม่เข้าเกณฑ์การวินิจฉัย
    - - ผล 50 g GCT = 150 mg/dl ↑
        
        นัดทำ 100 g OGTT อีก 1 Week
        
        1 hr-PPG = 170/mg (Normal)
        
        2hr-PPG = 150 mg (Normal)
        
        3hr-PPG = 130 mg (Normal)
        
        FBS = 100 mg ↑
        
        มารดาเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
        
        วัตถุประสงค์
        
        เพื่อตัดกรองความเสี่ยงของการเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์และวางแผนการดูแล
        
        เกณฑ์การประเมินผล
        
        1.ผลตรวจน้ำตาลในปัสสาวะเป็น Negative
        
        2.การตรวจครรภ์พบขนาดท้องสัมพันธ์กับอายุครรภ์
        
        3.ผลตรวจ GCT < 140 mg/dL
        
        4.ผลตรวจ OGTT < 95,< 180,<155,<140 mg/dL
        
        ข้อมูลสนับสนุน
        
        S : หญิงตั้งครรภ์ อายุ 38 ปี
        
        มารดาของหญิงตั้งครรภ์เป็นโรคเบาหวาน
        
        O : ผล 50 g GCTเท่ากับ 150 mg/dl
        
        ผลการตรวจ 100 g OGTT พบว่า FBS = 100 mg (ผิดปกติ)
        
        1 hr-PPG = 170 mg
        
        2 hr-PPG = 150 mg
        
        3 hr-PPG = 130 mg
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        ซักประวัติเพื่อหาปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เช่น น้ำหนัก ส่วน สูง อายุ โรคประจำตัว ประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัว ประวัติการตั้งครรภ์ที่ผ่านมา
        
        บอกให้ทราบเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงในการเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ และแนวทางในการทดสอบโดยวิธีการดื่มนํ้าตาล 50 กรัม (50-g glucose challenge test)
        
        บอกผลการตรวจคัดกรองภาวะเบาหวานระยะตั้งครรภ์ ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูง กว่าปกติ หลังการดื่มน้ำตาล 50 กรัม เท่ากับ 140 มก./ดล. หรือสูงกว่า จะนัดให้มารดาวินิจฉัยภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ด้วยการทดสอบโดยการดื่มน้ำตาล 100 กรัม (100-g oral glucose tolerance test) ในการนัดครั้งถัดไป
        
        แนะนำเรื่องโภชนาการแก่มารดา โดยแนะนําให้มารดารับประทานอาหารให้ ครบ5หมู่ ลดแป้ง นํ้าตาล ไขมัน เน้นรับประทานอาหารประเภท โปรตีน คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ผักใบเขียว และธาตุเหล็ก เช่น เนื้อแดง ไข่แดง
        
        ให้งดการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เนื่องจากทำให้มีการสะสมของเนื้อเยื่อไขมัน และภาวะดื้อต่ออินซูลินในร่างกายมากขึ้น ซึ่งมีผลโดยตรงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
        
        6.ให้คําแนะนํากับหญิงตั้งควรทราบถึงความสําคัญของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งมีผลต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อสุขภาพของมารดาและทารก
        
        ให้คำแนะนำในการออกกำลังกาย ระดับเบาถึงปานกลางวันละ 20-30 นาที เพื่อช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เช่น การออกำลังกายแบบโยคะสำหรับสตรีตั้งครรภ์ การเดิน หรือการปั่นจักรยานแบบตั้งพื้น
        
        8.แนะนําหญิงตั้งครรภ์ให้มาฝากครรภ์ตามนัด หากมีการนัดตรวจคัดกรองเบาหวาน ให้มาตรวจตามนัดเพื่อคัดกรองความเสี่ยงเบาหวานของมารดา
  - - - HF = สะดือ
        
        HF=GA
        
        FHS 150 bpm
  - - - Sugar = trace
        
        พบน้ำตาลในปัสสาวะเล็กน้อย
      - HF 1/3 > sp
        
        HF=GA
        
        FHS 132 bpm
  - - - HF 2/4 > สะดือ
        
        HF > GA
        
        FHS 148 bpm.
    - - ทำ 100 g OGTT
        
        2 hr-PPG 168 mg
        
        Diagnosis : GDM-A2
        
        มารดาอาจเกิดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำและสูงเนื่องจากภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์
        
        วัตถุประสงค์
        
        เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง/ต่ำกว่าปกติ
        
        เกณฑ์การประเมินผล
        
        3 more items...
        
        ข้อมูลสนับสนุน
        
        O : มารดาเป็น GDM A2
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        5 more items...
        
        3 hr-PPG 140 mg
        
        1 hr-PPG 192 mg
        
        FBS 110 mg
    - - วัตถุประสงค์
        
        ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการเป็นโรคเบาหวาน
        
        ทารกในครรภ์อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากมารดามีน้ำตาลในเลือดสูง
        
        ข้อมูลสนับสนุน
        
        S : -
        O : ฝากครรภ์ครั้งที่ห้า อายุครรภ์ 25+1 wks by LMP HF 2/4> ระดับสะดือ (เยอะกว่าอายุครรภ์)
        
        วัตถุประสงค์
        
        ทารกปลอดภัยไม่ตายในครรภ์
        
        เกณฑ์การประเมินผล
        
        1.เด็กในครรภ์ดิ้นดี หลังอาหาร 1 ชั่วโมงควรดิ้นไม่น้อยกว่า 4 ครั้ง
        
        2.อัตราเต้นของหัวใจทารกในครรภ์อยู่ในเกณฑ์ปกติ (120-160ครั้งต่อนาที )
        
        3.การตรวจทารกในครรภ์ด้วยคลื่นความถี่สูงได้ผลบวก
        
        การตรวจน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        1.ตรวจฟังเสียงหัวใจทารกในครรภ์อย่างน้อยทุก 4 ชั่วโมง
        
        2.ให้มารดาสังเกตเด็กดิ้นพร้อมลงบันทึกหลังอาหาร 1 ชั่วโมง 3 เวลา พร้อมอธิบายลักษณะการดิ้นของทารกให้มารดาเข้าใจ
        
        3.ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายของทารกเมื่อน้ำตาลในกระแสเลือดมารดาสูง
        
        4.ติดตามผลการตรวจทารกในครรภ์ด้วยคลื่นความถี่สูง
        
        5.ติดตามผลการตรวจน้ำตาลในเลือดของมารดา
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        ไม่มีอาการ/อาการแสดงของความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ ความดันโลหิตไม่เกิน 140/90 mmHg
        
        ไม่มีอาการ/อาการแสดงของการติด เช่น มีไข้ หนาวสั่น
        
        ไม่เกิดภาวะPolyhydramnios
        
        ไม่เกิดภาวะ fetal distress
        
        ประเมิน FHS 120-160 bpm ทารกดิ้นดี
        
        การตรวจน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ
      - ข้อมูลสนับสนุน
        
        S : -
        O : ฝากครรภ์ครั้งที่ห้า อายุครรภ์ 25+1 wks by LMP HF 2/4> ระดับสะดือ (เยอะกว่าอายุครรภ์)
        
        ความดันโลหิต 130/70 mmHg
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        1.จัดให้นอนพักบนเตียงโดยให้นอนศีรษะสูงเล็กน้อย (Semi Fowler s Position) หรือนอนตะแคง ศีรษะและไหล่สูงเล็กน้อย เพื่อช่วยให้มดลูกไม่กดทับเส้นโลหิต interior vena cava และไม่เบียดกระบังลม ช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนดีขึ้น
        
        2.ประเมินอัตราการหายใจ ชีพจร และความดันโลหิตทุก 1 ชั่วโมง ถ้าพบชีพจร มากกว่า 110 ครั้งต่อนาที หรือการหายใจมากกว่า 24 ครั้งต่อนาที ให้ออกซิเจนทาง Cannula 5 ลิตรต่อนาที เพื่อช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ และรายงานแพทย์เพื่อให้การรักษา
        
        3.สังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ถ้าพบอาการผิดปกติ เช่น อาการและอาการแสดงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ คือ ใจสั่น วิงเวียนศีรษะ คล้ายจะเป็นลม เหงื่อออกมาก ตัวเย็น น้ำตาล ในเลือดต่ำกว่า 80 mg/dl ให้รายงานแพทย์
        
        4.ดูแลความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งจะมีสิ่งคัดหลั่ง เช่น มูก หรือมูกปนเลือดออกมามาก เพื่อให้รู้สึกสบายและป้องกันการติดเชื้อ
        
        5.ประเมินสภาพทารกในครรภ์ โดยการฟังเสียงการเต้นของหัวใจทารกทุก 1 ชั่วโมง ถ้ามีความผิดปกติ เช่น FHS มากกว่า 160 ครั้ง / นาที หรือน้อยกว่า 120 ครั้ง/นาที หรือจังหวะไม่สม่ำเสมอ ให้ออกซิเจน 5 ลิตร / นาที เพื่อช่วยเพิ่มออกซิเจนให้แก่ทารกในครรภ์ และรายงานแพทย์เพื่อพิจารณาให้การช่วยเหลือ
        
        6.ช่วยเหลือในการทํากิจกรรมบางอย่าง เช่น การเช็ดตัวทําความสะอาดร่างกาย เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสุขสบาย
    - - วัตถุประสงค์
        
        เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง/ต่ำกว่าปกติ
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        1.หญิงตั้งครรภ์ไม่มีอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น อาการเหงื่อออก ใจสั่น ตัวเย็น ซีด หงุดหงิด ปวดศีรษะ
        
        2.หญิงตั้งครรภ์ไม่มีอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เช่น อาการอ่อนเพลีย ผิวหนังอุ่น ปากแห้ง กระหายน้ำ ปัสสาวะ มาอย หายใจเร็ว
        
        3.การตรวจติดตามระดับนํ้าตาลในเลือดระหว่างตั้งครรภ์ OGTT
        
        FBS < 95 มก./ ดล
        
        1 ชม. < 180 มก./ ดล
        
        2 ชม. < 155 มก./ ดล
        
        3 ชม. < 140 มก./ ดล
      - ข้อมูลสนับสนุน
        
        S : มีมารดาเป็นโรคเบาหวาน
        
        O : ฝากครรภ์ครั้งที่ห้า อายุครรภ์ 25+1 wks ผลการตรวจ 100 g OGTT
        
        พบว่า FBS = 110 mg (ผิดปกติ)
        
        1 hr-PPG = 192 mg (ผิดปกติ)
        
        2 hr-PPG = 168 mg (ผิดปกติ)
        
        3 hr-PPG = 140 mg
      - อธิบายให้หญิงตั้งครรภ์และครอบครัวเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือดมีผลต่อมารดาและทารกในครรภ์ ผลกระทบที่ตามมา
        
        2.ให้หญิงตั้งครรภ์สังเกตอาการ/อาการแสดงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ/นำ้ตาลในเลือดสูง
        
        อาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ได้แก่ เหงื่อออก ใจสั่น ตัวเย็น ซีด หงุดหงิด ปวดศีรษะ หิว ตาลาย หากเริ่มมีอาการให้ทานอาหารเช่น ลูกอม น้ำผึ้ง น้ำผลไม้ เป็นต้น หากอาการไม่ดีขึ้นควรรีบนำส่งโรงพยาบาล
        
        อาการของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่ อ่อนเพลีย ผิวหนังอุ่น ปากแห้ง กระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย หายใจเร็วลึก หากมีให้นอนพัก ดื่มน้ำให้มาก เพื่อป้องการภาวะขาดนํ้า หากอาการไม่ดีขึ้นควรรีบนำส่งโรง
        
        3.แนะนำให้รับประทานอาการให้ตรงเวลา และทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ลดหวาน ลดคาร์โบไฮเดรต เน้น เนื้อ นม ไข่
        
        แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์สังเกตและนับการดิ้นของทารกในครรภ์ เพื่อเฝ้าระวัง อาการผิดปกติของทารกในครรภ์ โดยวิธีการนับลูกดิ้น คือ ภายใน 1 hr. หลังรับประทานอาหาร ควรดิ้น > 3 ครั้ง ใน 1 วัน ควรดิ้นไม่น้อยกว่า 10 ครั้ง หากใน 4 hr. ทารกไม่ดิ้นควรไปพบแพทย์
        
        แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์มาตรวจตามนัดทุกครั้ง เพื่อประเมินสุขภาพและสภาวะของทารกในครรภ์
        
        การตรวจติดตามระดับน้ำตาลในเลือดตามแผนการรักษา OGTT
        
        ตรวจฟังเสียงอัตราการเต้นหัวใจของทารกในครรภ์เพื่อประเมินความเสี่ยง และ ควรอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติคือ 110-160 ครั้ง/นาที
  - - - รกสร้าง HPL
        
        HPL เพิ่มตาม GA
        
        ต้านการทำงานของ Insulin
        
        เกิด Insulin resistance
        
        Hyperglycemia
        
        ไตกรองน้ำตาล
        
        1 more item...
        
        น้ำตาลแพร่ผ่านรกเข้าสู่ทารก
        
        1 more item...
    - - Urine Albumin/sugar = +1/+1
  - - - O : มารดาเป็น GDM A2
    - - ความวิตกกังวลลดลง ยอมรับการเจ็บป่วยและมีความพร้อมในการดูแลตนเอง
    - - บอกว่าความวิตกกังวลและความกลัวลดลง
        
        สีหน้าสดชื่นขึ้น
        
        2.มีการยอมรับการเจ็บป่วย เข้าใจและมีความพร้อมในการดูแลตนเอง
    - - 1.แสดงความเป็นมิตร ปลอบโยนทำให้รู้สึกอบอุ่น เพื่อคลายความวิตกกังวลและความกลัว มั่นใจว่ามีคนคอยดูแลให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มใจ
        
        ซักถามและเปิดโอกาสให้หญิงตั้งครรภ์ได้เล่าถึงสาเหตุของความวิตกกังวลและความกลัวเพื่อให้ได้ระบาย ความรู้สึก ร่วมแก้ไขสาเหตุที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลและความกลัว
        
        อธิบายถึงสาเหตุ ลักษณะอาการผลของโรคเบาหวานต่อการตั้งครรภ์ ผลของการตั้งครรภ์ต่อ โรคเบาหวาน แนวทางการรักษาพยาบาล ประเมินความสนใจและการยอมรับผู้ป่วย เพื่อให้ได้ทราบข้อมูลช่วยลดความวิตกกังวลในสิ่งที่ ไม่ทราบ และเข้าใจเหตุผลของการรักษาพยาบาลที่ได้รับให้ความร่วมมือด้วยความเต็มใจ
        
        ยกตัวอย่างหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวาน ที่สามารถตั้งครรภ์และคลอดได้ โดยการปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมให้ผู้ป่วยทราบ เพื่อให้เกิดกำลังใจและให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาล
- - - - แนะนำการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับการควบคุมอาหาร เน้นให้หญิงตั้งครรภ์ทราบว่าการควบคุมอาหารมีความสำคัญมาก ควรปฏิบัติ ดังนี้
        
        1.1 การกำหนดอาหาร เพื่อที่จะได้เป็นไปตามความต้องการของผู้ป่วย เนื่องจากอาจมีความต้องการแตกต่างกัน ทั้งด้านพลังงาน นิสัยการรับประทานอาหาร
        
        1.2 ส่งเสริมการให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยในการควบคุมอาหารและเปิดโอกาสให้ซักถาม อธิบายหรือตอบ ข้อซักถามอย่างเต็มใจ
        
        1.3 ส่งเสริมให้ควบคุมอาหารจนเป็นนิสัย แนะนำเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร ดังนี้
      - ควรรับประทานอาหารพวกคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว แป้ง วันละ 200-250 กรัม พวกโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ถั่วต่างๆ นม วันละ 800-1000 กรัม
      - รับประทานผลไม้ที่มีกากและรสหวานน้อยแทนขนมหวาน เช่น ฝรั่ง ชมพู่ พุทรา แอปเปิ้ล เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
      - ใช้น้ำมันพืชที่มีกรดไลโนเลอิกมาก เช่น น้ำมันถั่วเหลือง แทนการใช้น้ำมันหมูเพราะทำให้ม คลอเลสเตอรอลสูง เส้นโลหิตแข็งและอาจมีภาวะแทรกซ้อนจากเส้นโลหิตแข็งตัว
      - หลีกเลี่ยงอาหารที่ใส่น้ำตาลทุกชนิด เช่น น้ำหวานต่างๆ น้ำผลไม้ผสมน้ำตาล น้ำอัดลม โอเลี้ยง อาหารที่มีน้ำตาลมาก เช่น แยม เยลลี่ นมข้นหวาน ช็อกโกแลต ลูกกวาด ผลไม้แช่อิ่ม ขนมหวานต่างๆ เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน ขนุน น้อยหน่า อ้อย ละมุด ลำไย องุ่น เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งจะทำให้เกิดอาการของโรคเบาหวาน รุนแรงขึ้นได้
      - หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก เช่น ขาหมู หมูสามชั้น หนังไก่ มันทอด แกงกะทิ เพื่อป้องกัน ไม่ให้มีการสะสมไขมันมาก
      - 2.ควรควบคุมอาหารอย่างสม่ำเสมอ และมาตรวจตามนัดทุกครั้ง ยกเว้นมีภาวะผิดปกติ ควรมาพบแพทย์ทันที เพื่อจะได้ให้การช่วยเหลือ ป้องกันอันตรายได้
      - 3.แนะนำการออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกาย เป็นขบวนการทำให้มีการส่งเสริมการเผาผลาญ หลอดโลหิตฝอยของกล้ามเนื้อที่กำลังทำงานถูกเปิด กลูโคสถูกนำไปใช้มากขึ้น ทำให้อินซูลินดูดซึมเร็ว ขึ้น และความต้องการอินซูลินลดลง ควรเริ่มออกกำลังกายในระยะเวลาสั้น แต่สม่ำเสมอ แบ่งทำวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 5-10 นาที แต่ต้องระวังภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เมื่อรู้สึกเหนื่อยต้องพัก ตรวจนับชีพจร ก่อนและหลังการออกกำลังกายทุกครั้ง หลังการออกกำลังกายชีพจรไม่ควรเกิน 120 ครั้ง/นาที