Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทฤษฎีในการสร้างเสริมสุขภาพ - Coggle Diagram
ทฤษฎีในการสร้างเสริมสุขภาพ
ทฤษฎี(Theory) เป็นกลุ่มแนวคิดหรือมโนทัศน์จำกัด เป็นกลุ่มแนวคิดหรือมโนทัศน์จำกัดความและข้อเสนอที่ใช้ในการอธิบายคาดการณ์ปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์เสนอความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
ทฤษฎี มีความเป็นกลางมีลักษณะเป็นนามธรรมไม่มีเนื้อหาเฉพาะเจาะจงกับปัญหาสุขภาพประเด็นใดประเด็นหนึ่งทฤษฎีจะเป็นประโยชน์ต่อเมื่อเราใส่ประเด็นปัญหาเป้าหมายในการปฏิบัติ
แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ
(Health Belief Model : HBM)
ปัจจัยร่วม(Modifying Factors)
ปัจจัยด้านสังคมจิตวิทยาเช่นบุคลิกภาพกลุ่มเพื่อนมีความเกี่ยวข้องกับบรรทัดฐานทางสังคมค่านิยมวัฒนธรรมเป็นพื้นฐานทำใปัจจัยด้านสังคมจิตวิทยาเช่นบุคลิกภาพกลุ่มเพื่อนมีความเกี่ยวข้องกับบรรทัดฐานทางสังคมค่านิยมวัฒนธรรมเป็นพื้นฐานทำให้เกิดการปฎิบัติตัวเพื่อป้องกันโรคที่แตกต่างกัน
ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานระบบบริการสุขภาพ
องค์ประกอบของแบบจำลององค์ประกอบของแบบจำลองความเชื่อด้านสุขภาพ
3) การรับรู้ประโยชน์ที่จะได้รับและค่าใช้จ่าย
การที่บุคคลแสวงหาวิธีการปฏิบัติให้หายจากโรคหรือการป้องกันให้เกิดโรคโดยมีความเชื่อว่าการกระทำที่การที่บุคคลแสวงหาวิธีการปฏิบัติให้หายจากโรคหรือการป้องกันให้เกิดโรคโดยมีความเชื่อว่าการกระทำที่ดีมีประโยชน์และเหมาะสมที่จะทำให้หายหรือไม่
4) แรงจูงใจด้านสุขภาพ
ระดับความสนใจและความห่วงใยเกี่ยวกับสุขภาพเกิดจากความสนใจสุขภาพโดยทั่วไปของบุคคลหรือเกิดจากการกระตุ้นของความเชื่อต่อโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรครวมทั้งสิ่งเร้าภายนอกเช่นข่าวสารคำแนะนำของระดับความสนใจและความห่วงใยเกี่ยวกับสุขภาพเกิดจากความสนใจสุขภาพโดยทั่วไปของบุคคลเหลือเกิดจากการกระตุ้นของความเชื่อต่อโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรครวมทั้งสิ่งเร้าภายนอกเช่นข่าวสารคำแนะนำของแพทย์
2) การรับรู้ความรุนแรงของโรค
ความเชื่อที่บุคคลเป็นผู้ประเมินเองในด้านความรุนแรงของโรคที่มีผลต่อร่างกายก่อให้เกิดความพิการเสียชีวิตความยากลำบาความเชื่อที่บุคคลเป็นผู้ประเมินเองในด้านความรุนแรงของโรคที่มีผลต่อร่างกายก่อให้เกิดความพิการเสียชีวิตความยากลำบากและต้องใช้ระยะเวลานานในการรักษา
5) ปัจจัยร่วม
ปัจจัยที่มีส่วนช่วยส่งเสริมหรือเป็นอุปสรรคต่อการที่บุคคลจะปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคปฏิบัติตามคำปัจจัยที่มีส่วนช่วยส่งเสริมหรือเป็นอุปสรรคต่อการที่บุคคลจะปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคปฏิบัติตามคำแนะนำในการรักษาโรคเช่นเพศอายุเชื้อชาติลักษณะความยากง่ายของการปฎิบัติตาม
1) การรับรู้ต่อโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรค
ความเชื่อหรือการคาดคะเนว่าตนเองมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหรือปัญหาสุขภาพมากน้อยเพียงใด
การประยุกต์ใช้แบบจำลองการประยุกต์ใช้แบบจำลองของความเชื่อด้านสุขภาพ
มโนทัศน์แบบจำลองมโนทัศน์แบบจำลอง
-การรับรู้ต่อโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรค
การประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติ
-ค้นหาบุคคลที่มีความเสี่ยงและประเมินความเสี่ยงเบาหวานความดันโลหิตสูงมะเร็งปากมดลูก
มโนทัศน์แบบจำลอง
-การรับรู้ประโยชน์ที่จะได้รับและค่าใช้จ่าย
การประยุกต์ใช้ในการปฎิบัติ
-ร่วมกำหนดพฤติกรรมที่ควรปฎิบัติให้ชัดเจน
-อธิบายถึงประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดจากการปฎิบัติพฤติกรรม
มโนทัศน์แบบจำลอง
-การรับรู้อุปสรรค
การประยุกต์ใช้ในการปฎิบัติ
-จัดสิ่งแวดล้อมหรือบริการที่เอื้อต่อการปฎิบัติ
-ลดการรับรู้อุปสรรคต่างๆของการปฏิบัติโดยให้ความมั่นใจ
มโนทัศน์แบบจำลอง
-การรับรู้ความรุนแรงของโรค
การประยุกต์ใช้ในการปฎิบัติ
-วิเคราะห์ผลเสียที่จะเกิดตามมาจากความผิดปกติหรือความเจ็บป่วยในทุกๆด้าน เช่น สุขภาพ การทำงาน ชีวิตครอบครัว ชีวิตในสังคม
มโนทัศน์แบบจำลอง
-ปัจจัยกระตุ้นการปฏิบัติ
การประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติ
-ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติให้ชัดเจน
-กระตุ้นการตระหนักรู้
-ให้ครอบครัว กลุ่มเพื่อนเข้ามามีส่วนร่วมในการจูงใจและกระตุ้นเตือน
PRECEDE-PROCEED Model
ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์ทางสังคม (Phase1 : Social Assessment)
➢เป็นกํารพิจารณา และวิเคราะห์ “คุณภาพชีวิต” ซึ่งถือว่าเป็นขั้นตอนแรกของการวิเคราะห์โดย การประเมินสิ่งที่เกี่ยวข้อง หรือตัวกําหนดคุณภาพชีวิตของประชากรกลุ่มเป้าหมายต่างๆ
➢จุดประสงค์ของการประเมินในระยะนี้เพื่อค้นหา ข้อมูล และประเมินปัญหาด้านสังคมที่ส่งผล กระทบต่อคุณภาพชีวิต (Quality of Life: QOL) ของประชากร เป้าหมาย
ขั้นตอนที่ 3 การวิเคราะห์ด้านพฤติกรรม (Phase 3 : Behavioral Assessment)
➢จํากปัจจัยปัญหาด้านสุขภาพอนามัยที่ได้ในขั้นตอนที่ 1-2 จะนามาวิเคราะห์ต่อเพื่อหาสาเหตุที่ เกี่ยวข้อง โดยแบ่งเป็นสาเหตุอันเนื่องมาจากพฤติกรรมของบุคคลและสาเหตุที่ไม่เกี่ยวข้องกับ พฤติกรรม เช่น สาเหตุจากพันธุกรรม หรือสภาวะเศรษฐกิจ
ขั้นตอนที่ 4 การวิเคราะห์ทางการศึกษา (Phase 4 : Educational Assessment)
ปัจจัยนำ (Predisposing Factors) หมายถึง ปัจจัยที่เป็นพื้นฐาน และก่อให้เกิดแรงจูงใจใน การแสดงพฤติกรรมของบุคคล เช่น ความรู้ ความเชื่อ ค่านิยม ทัศนคติ 1. ปัจจัยนา (Predisposing Factors) หมายถึง ปัจจัยที่เป็นพื้นฐาน และก่อให้เกิดแรงจูงใจใน การแสดงพฤติกรรมของบุคคล เช่น ความรู้ ความเชื่อ คานิยม ทัศนคติ
ปัจจัยเอื้อ (Enabling Factors) หมายถึง คุณลักษณะของสิ่งแวดล้อม ทั้งด้านกายภาพและ สังคมวัฒนธรรม ทักษะส่วนบุคคลหรือทรัพยากรที่จะช่วยเกื้อกูลให้เกิดพฤติกรรมที่พึงประสงค์
ปัจจัยเสริม (Reinforcing Factors) หมายถึง สิ่งที่บุคคลจะได้รับ หรือคาดว่าจะได้รับจาก บุคคลอื่น อันเป็นผลจากการกระทําของตน แรงเสริมจะได้รับจากครอบครัว เพื่อน ครู บุคลากร ทางการแพทย์หรือสาธารณสุข สื่อต่างๆ
ขั้นตอนที่ 5 การวิเคราะห์ทางการบริหาร (Phase 5 : Administrative and Policy Assessment)
➢เป็นการประเมินความสามารถของการบริหาร และนโยบายของการจัดการโครงการส่งเสริม สุขภาพ เพี่ออธิบายถึงแหล่งทรัพยากรขององค์กรที่ต้องการสร้างแผนงานและดําเนินงานตาม แผนงาน ทําให้โครงการส่งเสริมสุขภาพประสบความสําเร็จ
ขั้นตอนที่ 6 การปฏิบัติการ (Phase 6 : Implementation)
➢ดําเนินงานตามกลวิธี วิธีการและกิจกรรม โดยผู้รับผิดชอบในแต่ละเรื่องและประเด็น ที่กําหนด ไว้ตามตารางการปฏิบัติกิจกรรม
ขั้นตอนท่ี 7 การประเมินกระบวนการ (Phase 7 : Process Evaluation)
➢เพื่อประเมินถึงปัจจัยด้ํานกํารบริหํารจัดกําร ที่จะมีผลต่อกํารดําเนินโครงกํารท่ีได้วํางแผนไว้
ขั้นตอนที่ 9 การประเมินผลลัพธ์ (Phase 9 : Outcome Evaluation)
➢เป็นการประเมินผลรวบยอดของวัตถุประสงค์ท่ีมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นและประโยชน์ที่ได้รับ ด้านสุขภาพหรือคุณภาพชีวิต ซึ่งอาจจะใช้เวลานาน ผลเหล่านี้จึงจะเกิดข้ึน ซึ่งอาจจะเป็นปีๆ จึง จะสามารถประเมินคุณภาพชีวิต ของกลุ่มเป้าหมายได้
ขั้นตอนที่ 8 การประเมินผลกระทบ (Phase 8 : Impact Evaluation)
➢การประเมินผลลัพธ์ที่เกิดจากการดําเนินโครงการในระยะสั้น เป็นการวัดประสิทธิผลของ แผนงาน โครงการตามวัตถุประสงค์ระยะสั้นที่ส่งผลต่อการ เปลี่ยนแปลงปัจจัยนํา ปัจจัยเอื้อ และ ปัจจัยเสริมแรง (predisposing, enabling , and reinforcing factors)
แบบจำลองการส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion Model : HPM)
1.ลักษณะเฉพาะและประสบการณ์ของบคุคล(IndividualCharacteristicsandExperiences)
1.1 พฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง (Prior related behavior) พฤติกรรมที่เคยปฏิบัติในอดีตมีอิทธิพล โดยตรงต่อการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ เนื่องจากพฤติกรรมที่เคยปฏิบัติมานั้นได้กลายเป็น นิสัย (habit formation)
1.2 ปัจจัยส่วนบุคคล (Personal Factors) ในแบบจําลองกํารส่งเสริมสุขภําพ ปัจจัยส่วนบุคคล ประกอบด้วย 3 ส่วน
ปัจจัยด้านจิตวิทยา ได้แก่ ความมีคุณค่าในตนเอง แรงจูงใจในตนเอง การรับรู้ภาวะ สุขภาพของตนเอง
ปัจจัยด้านสังคมวัฒนธรรม ได้แก่ สัญชาติ วัฒนธรรม การศึกษา และสถานะทางสังคม เศรษฐกิจ โดยปัจจัยส่วนบุคคลดังกล่าวมีอิทธิพลโดยตรงต่อปัจจัยด้านอารมณ์และการคิดรู้ที่เฉพาะ กับพฤติกรรมและมีอิทธิพลโดยตรงต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ
ปัจจัยด้านชีววิทยา ได้แก่ อายุ ดัชนีมวลกาย สภาวะวัยรุ่น สภาวะหมดระดู ความจุปอด ความแข็งแรงของร่างกาย ความกระฉับกระเฉง และความสมดุลของร่างกาย
การสร้างเสริมพลังอานาจ (Empowerment)
ทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
Trans theoretical Model Stage of Change : TTM
ขั้นเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติ (Preparation stage / Determination) เตรียมตัวเริ่มมี ความพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในอีก 1 เดือน ข้างหน้า
ขั้นปฏิบัติ (Action stage) เชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองว่าสามารถทําการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมได้และกําลังกระทําการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม กระทําการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อยู่ในช่วง 6 เดือนแรกของ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (ไม่เกิน 6 เดือน)
ขั้นชั่งใจ (Contemplation stage) ตระหนักรู้ว่ามีปัญหา แต่ยังไม่คิดที่จะทําการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่แน่ใจ ยังครุ่นคิดอยู่ และมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในอีก 6 เดือนข้างหน้า
ขั้นคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ (Maintenance) สามารถคงไว้ซึ่งพฤติกรรมใหม่อย่างสม่ำ เสมอได้นานมากกว่า 6 เดือน ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งเร้ากระตุ้นให้กลับไปสู่พฤติกรรมเดิม
ขั้นก่อนชั่งใจ (Pre-contemplation stage) ยังไม่มีควํามสนใจที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ในอีก 6 เดือนข้างหน้ํา ไม่ตระหนักรู้ไม่คิดว่าสิ่งที่ทําอยู่ ณ ปัจจุบัน เป็นปัญหา หรือมีความ จําเป็นที่จะต้องทําการปรับเปลี่ยน
ขั้นยุติพฤติกรรมเดิมอย่างถาวร (Termination) ไม่มีอะไรมําเย้ายวนให้กลับไปทํา พฤติกรรมเดิมได้อีก สามารถมั่นใจได้ 100% มีการเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างถาวรตลอดชีวิต
หลักกาะบวนการช่วยเปลี่ยนแปลงProcess of Change
กัลยาณมิตร (helping relationship) เช่นการเป็นที่ปรึกษาทางโทรศัพท์ให้ การมีบัดดี้คอยสนับสนุน
➢เทคนิคนี้เหมาะสาหรับผู้ที่อยู่ในขั้นปฏิบัติ (Action) เพื่อเลื่อนข้ึนไปสู่ ขั้นคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ (Maintenance)
บังคับให้ทาสิ่งที่ดีกว่าทางอ้อม (stimulus control) เช่นสร้างที่จอดรถให้ห่าง ที่ทํางาน เพื่อบังคับให้ต้องเดิน ติดตั้งงานศิลปกรรมไว้ข้างบันได เพื่อชักจูงให้ขึ้นลง บันได
➢เทคนิคนี้เหมาะสาหรับผู้ที่อยู่ในขั้นปฏิบัติ (Action) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้น คงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ (Maintenance)
จงใจใช้แผนกระตุ้น (contingency management) เช่น การตกรางวัลถ้า ทําสิ่งที่ดีกว่าการชื่นชมผลงานหรือแม้กระทั่งการลงโทษถ้าไมเ่ลิกสิ่งที่ไม่ดี
➢เทคนิคนี้เหมาะสาหรับผู้ที่อยู่ในขั้นปฏิบัติ (Action) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ ขั้นคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ (Maintenance)
ให้เรียนรู้สิ่งตรงกันข้าม (counterconditioning) เช่นให้เรียนรู้การ สนองตอบแบบผ่อนคลายเพื่อแก้ปัญหาเครียด ให้เรียนรู้การเป็นคนกล้าพูดกล้า แสดงออกเพื่อแก้ปัญหาการทนแรงกดดันจําก เพื่อนชวนไม่ได
➢เทคนิคนี้เหมาะสาหรับผู้ที่อยู่ในขั้นปฏิบัติ (Action) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ ขั้นคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ (Maintenance)
การปลดปล่อยตนเอง (self liberation) คือการพยายามให้มีทางเลือกในการ เปลี่ยนแปลง งานวิจัยบ่งชี้ว่าถ้าคนเรามีทางเลือกสองทาง จะมีความมุ่งมั่นมากกว่า มีทางเลือกทางเดียว ถ้ามีทางเลือกสามทาง จะมีมุ่งมั่นมากกว่ามีทางเลือกสองทาง ยกตัวอย่าง การให้ทางเลือก เช่น ถ้าจะเลิกบุหรี่ ก็ให้เลือกได้สามทาง จะเลิกแบบ หักดิบก็ได
➢เทคนิคนี้เหมาะสาหรับผู้ที่อยู่ในขั้นเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติ (Preparation stage / Determination) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้นปฏิบัติ (Action)
การปลดปล่อยสังคม (social liberation) คืออาศัยความรู้สึกว่าเป็นการ ปลดปล่อยจากการถูกกดขี่เอาเปรียบทางสังคมมา เป็นตัวสร้างความมุ่งมั่นในการ เปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เช่นโครงการส่งเสริมสุขภําพชนกลุ่มน้อย
➢เทคนิคนี้เหมาะสาหรับผู้ที่อยู่ในขั้นปฏิบัติ (Action) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้น คงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ (Maintenance)
การใคร่ครวญผลต่อสังคมรอบข้าง (social reevaluation) เช่น นึกต่อไปว่า ถ้าตนเองดื่มแอลกอฮอล์จัดอยู่ ต่อไปลูกๆจะเป็นอย่างไร หรือผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่ สนใจควบคุมอาหารจนทําให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ตําบอดหรือถูกตัดขําจนเป็น ภาระให้แก่ลูกหลานต้องดูแลจนอาจมีรายจ่ายเพิ่มมากขึ้น
➢เทคนิคนี้เหมาะสาหรับผู้ที่อยู่ในขั้นก่อนชั่งใจ (Pre-contemplation stage) เพ่ือเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้นชั่งใจ (Contemplation stage)
การใคร่ครวญผลต่อตนเอง (self reevaluation) เช่นจินตนาการว่าถ้าเอาแต่ นอนโซฟาดูทีวี ภาพของตนเองต่อไปจะเป็นอย่างไร ถ้าขยันขันแข็งออกกําลังกาย ทุกวันภาพของตนจะเป็นอย่างไร
➢เทคนิคนี้เหมาะสาหรับผู้ทอี่ ยู่ในขั้นชั่งใจ (Contemplation stage) เพื่อ เลื่อนขึ้นไปสู่ขั้นเตรียมพรอ้มที่จะปฏิบัติ(Preparationstage /Determination)
การระบายความรู้สึก (Dramatic relief) เพื่อกระตุ้นหรือผลักดันจิตใจ อารมณ์ให้เกิดความอยากเปลี่ยนแปลงเช่นการให้ลองเล่นเป็นคนอื่นดู(roleplay) ให้สามีและภรรยาลองเล่นละครสลับบทบาทกันเพื่อสะท้อนความความรู้สึกต่อ พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพของกันและกัน
➢เทคนิคนี้เหมาะสาหรับผู้ที่อยู่ในขั้นก่อนชั่งใจ (Pre-contemplation stage) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้นชั่งใจ (Contemplation stage)
1.การปลุกจิตสำนึก(consciousness raising) เป็นกํารใช้วิธีต่างๆบอกให้รู้ ผลเสียของการไม่เปลี่ยน และผลดีของการเปลี่ยนพฤติกรรม เช่นการให้การศึกษา อธิบาย ตีความหมายให้ฟัง
➢เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นก่อนชั่งใจ (Pre-contemplation stage) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้นชั่งใจ (Contemplation stage)
ทฤษฎีแรงสนับสนุนทางสังคม (Social Support Theory)
แหล่งที่มาของการสนับสนุนทางสังคม
3.ระบบสนับสนุนด้านศาสนาหรือแหล่งอุปถัมภ์ต่างๆ
เป็นแหล่งที่จะช่วยให้ผู้ป่วยได้มีการแลกเปลี่ยนความเชื่อ ค่านิยม คำสอน คำแนะนำเกี่ยวกับวิถีการดำรงชีวิตและขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ได้แก่ พระ นักบวช
1.ระบบการสนับสนุนตามธรรมชาติ
จากครอบครัว ญาติพี่น้อง ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมากที่สุดต่อผู้ป่วยเพราะครอบครัวมีบทบาทสำคัญต่อผู้ป่วยตั้งแต่วัยเด็ก
2.ระบบสนับสนุนจากกลุ่มเพื่อน
ได้รับจากบุคคลซึ่งมีประสบการณ์ มีความชำนาญในการที่จะค้นคว้าหาความต้องการและสามารถติดต่อชักจูงผู้ป่วยได้โดยง่าย
4.ระบบการสนับสนุนจากกลุ่มวิชาชีพด้านสุขภาพ
เป็นแหล่งการสนับสนุนเป็นแห่งแรกที่ให้การช่วยเหลือผู้ป่วย เช่น แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ สาธารณสุข
5.ระบบการสนับสนุนจากกลุ่มวิชาชีพอื่นๆ
เป็นการสนับสนุนจากกลุ่มบริการอาสาสมัคร
ประเภทของการสนับสนุนทางสังคม
1.การสนับสนุนด้านอารมณ์(Emotional support)
การใกล้ชิดสนิทสนม ได้แก่ พฤติกรรมซึ่งแสดงออกด้วยการรับฟังอย่างสนใจ แสดงความยกย่อง
การสนับสนุนด้านการประเมิน (Appraisal support)
ได้แก่ การได้รับข้อมูลย้อนกลับ กํารได้ รับคํารับรองซึ่งจะทําให้ผู้รับเกิดความพอใจ
การสนับสนุนด้านข้อมูลข่าวสาร (Information support)
เป็นการได้รับคําแนะนํา คําเตือน คําปรึกษาที่สามารถนําไปแก้ไขปัญหาท่ีกําลังเผชิญอยู่ได้
การสนับสนุนด้านการเงิน แรงงานและส่ิงของ (Instrumental support)
ซึ่งเป็นพฤติกรรม การช่วยเหลือโดยตรงต่อความจําเป็นพื้นฐาน