Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่2 ทฤษฎีในการสร้างเสริมสุขภาพ, A6480073 อรัญญา การินทร์ - Coggle…
บทที่2
ทฤษฎีในการสร้างเสริมสุขภาพ
PRECEDE-PROCEED Model
ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์ทางสังคม (Phase1 : Social Assessment) เป็นกํารพิจารณาและวิเคราะห์ “คุณภาพชีวิต” เพื่อค้นหาข้อมูล และ ประเมินปัญหาด้านสังคมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต
ขั้นตอนที่ 2 การวิเคราะห์ทางระบาดวิทยา (Phase 2 : Epidemiological Assessment) เป็นกํารวิเคราะห์ว่ามีปัญหําสุข ภําพที่สําคัญอะไรบ้าง ข้อมูลทางระบาดวิทยาจะชี้ให้เห็นถึงการเจ็บ ป่วยการเกิดโรค และภาวะสุขภาพ
ขั้นตอนที่ 3 การวิเคราะห์ด้านพฤติกรรม (Phase 3 : Behavioral Assessment) จากปัจจัยปัญหาด้านนสุขภาพอนามัยที่ได้ในขั้นตอน ที่ 1-2 จะนำมาวิเคราะห์ต่อเพื่อหาสาเหตุที่เกี่ยวข้อง โดยแบ่งเป็นสํา เหตุอันเนื่องมาจากพฤติกรรมของบุคคลและสําเหตุที่ไม่เกี่ยวข้องกับ พฤติกรรม
ขั้นตอนที่ 4 การวิเคราะห์ทางการศึกษา
(Phase 4 : Educational Assessment)
1.ปัจจัยนำ (Predisposing Factors) หมํายถึง ปัจจัยที่เป็นพื้นฐาน และก่อให้เกิดแรงจูงใจในการแสดงพฤติกรรมของบุคคล
2.ปัจจัยเอื้อ (Enabling Factors) หมายถึง คุณลักษณะของสิ่ง แวดล้อม ทั้งด้านกายภาพและ สังคมวัฒนธรรม
3.ปัจจัยเสริม (Reinforcing Factors) หมายถึง สิ่งที่บุคคลจะได้รับ หรือคาดว่าจะได้รับจากบุคคลอื่น อันเป็นผลจากการกระทําของตน
ขั้นตอนที่ 5 การวิเคราะห์ทางการบริหาร (Phase 5 : Administrative and Policy Assessment) เป็นการประเมินความสามารถของการรบริ หารและนโยบายของการจัดการโครงการส่งเสริมสุขภาพ
ขั้นตอนที่ 6 การปฏิบัติการ (Phase 6 : Implementation) ดําเนินงานตามกลวิธี วิธีการและกิจกรรม โดยผู้รับผิดชอบในแต่ละ
เรื่องและประเด็นที่กําหนด ไว้ตามตารางปฏิบัติกิจกรรม
ขั้นตอนที่ 7 การประเมินกระบวนการ (Phase 7 : Process Evaluation) เพื่อประเมินถึงปัจจัยด้านการบริหารรจัดการที่จะมีผล ต่อการดําเนินโครงการที่ได้วางแผนไว้
ขั้นตอนที่ 8 การประเมินผลกระทบ (Phase 8 : Impact Evaluation) ประเมินผลลัพธ์ที่เกิดจากการดําเนินโครงการในระยะสั้น เป็นการวัด ประสิทธิผลของแผนงาน โครงการทำตามวัตถุประสงค์ระยะสั้นที่ส่งผล ต่อการเปลี่ยนแปลงปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริมแรง (predisposing, enabling , and reinforcing factors)
ขั้นตอนที่ 9 การประเมินผลลัพธ์ (Phase 9 : Outcome Evaluation) เป็นกํารประเมินผลรวบยอดของวัตถุประสงค์ท่ีมีกํารเปลี่ยนแปลงเกิด ขึ้นและประโยชน์ที่ได้รับ ด้านสุขภาพหรือคุณภาพชีวิต ซึ่งอาจจะใช้ เวลานาน ผลเหล่านี้จึงจะเกิดข้ึน ซึ่งอาจจะเป็นปีๆ จึงจะสามารรถ ประเมินคุณภาพชีวิต ของกลุ่มเป้าหมายได้
ทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
Trans theoretical Model Stage of Change
พัฒนําขึ้นโดย James Prochaska and Carlo DiClemente ในปลายปี ค.ศ.1970’s และต้นปี ค.ศ.1980’s ที่มหาวิทยาลัย Rhode Island
มีทั้งหมด 6 ขั้นตอน
1.ขั้นก่อนชั่งใจ (Pre-contemplation stage)
ขั้นชั่งใจ (Contemplation stage)
ขั้นเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติ (Preparation stage / Determina )
ขั้นคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ (Maintenance)
ขั้นยุติพฤติกรรมเดิมอย่างถาวร (Termination)
4.ขั้นปฏิบัติ (Action stage)
หลักกระบวนกํารช่วยเปลี่ยนแปลง Process of Change
1.การปลุกจิตสานึก(consciousness raising) เป็นกำไรใช้วิธีต่างๆบอกให้รู้ผลเสีย ของการไม่เปลี่ยน และผลดีของกำไรเปลี่ยนพฤติกรรม เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นก่อนชั่งใจ (Pre-contemplation stage) เพื่อเลื่อน ขึ้นไปสู่ขั้นชั่งใจ (Contemplation stage)
2.การระบายความรู้สึก (Dramatic relief) เพื่อกระตุ้นหรือผลักดันจิตใจ อารมณ์ ให้ เกิดความอยากเปลี่ยนแปลง เทคนิคนี้เหมาะสาหรับผู้ที่อยู่ในขั้นก่อนชั่งใจ (Pre- contemplation stage) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้นชั่งใจ (Contemplation stage)
3.การใคร่ครวญผลต่อสังคมรอบข้าง (social reevaluation) เทคนิคนี้เหมาะสาหรับผู้ ที่อยู่ในขั้นก่อนชั่งใจ (Pre-contemplation stage) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้นชั่งใจ (Contemplation stage)
4.การใคร่ครวญผลต่อตนเอง (self reevaluation) เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้น ชั่งใจ (Contemplation stage) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้นเตรียมพร้อมที่จะ ปฏิบัติ(Preparationstage /Determination)
5.การปลดปล่อยตนเอง (self liberation) คือการพยายามให้มีทางเลือกในการ เปลี่ยนแปลง เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติ (Preparation stage / Determination) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้นปฏิบัติ (Action)
6.การปลดปล่อยสังคม (social liberation) คืออาศัยความรู้สึกว่าเป็นการปลดปล่อย จากการถูกกดขี่เอาเปรียบทางสังคมมาเป็นตัวสร้างความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนพฤติกรรม สุขภาพ
7.ให้เรียนรู้สิ่งตรงกันข้าม (counterconditioning) เทคนิคนี้เหมาะสาหรับผู้ที่อยู่ในขั้น ปฏิบัติ (Action) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ ขั้นคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ (Maintenance)
8.บังคับให้ทาสิ่งที่ดีกว่าทางอ้อม (stimulus control)เทคนิคนี้เหมาะสาหรับผู้ที่อยู่ใน ขั้นปฏิบัติ (Action) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้น คงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ (Maintenance)
9.จงใจใช้แผนกระตุ้น (contingency management) เทคนิคนี้เหมาะสาหรับผู้ที่อยู่ ในขั้นปฏิบัติ (Action) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ ขั้นคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ
10.กัลยาณมิตร (helping relationship) เทคนิคนี้เหมาะสาหรับผู้ที่อยู่ในขั้นปฏิบัติ (Action) เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ ขั้นคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ (Maintenance)
แบบจาลองการส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion Model : HPM)
1.ลักษณะเฉพาะและประสบการณ์ของบคุคล(IndividualCharacteristicsandExperiences)
1.1 พฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง (Prior related behavior) พฤติกรรมที่เคยปฏิบัติในอดีตมีอิทธิพล โดยตรงต่อกําร ปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภําพ เนื่องจํากพฤติกรรมที่เคยปฏิบัติมํานั้นได้กลํายเป็น นิสัย (habit formation) และบุคคลปฏิบัติพฤติกรรมนั้นได้โดยอัตโนมัติโดยอําศัยควํามตั้งใจเพียง เล็กน้อยก็ปฏิบัติพฤติกรรมส่งเส ริมสุขภําพได้
1.2ปัจจัยส่วนบุคคล (Personal Factors)
1.ปัจจัยด้านชีววิทยา ได้แก่ อายุ ดัชนีมวลกาย สภาวะวัยรุ่น
สภาวะหมดระดู ความจุปอด ความแข็งแรงของร่างกาย ความกระฉับกระเฉง และความสมดุลของร่างกาย
2.ปัจจัยด้านจิตวิทยา ได้แก่ ความมีคุณค่าในตนเอง แรงจูงใจในตนเอง การรับรู้ภาวะ สุขภาพของตนเอง
3.ปัจจัยด้านสังคมวัฒนธรรม ได้แก่ สัญชาติ วัฒนธรรม การศึกษาและสถานะทางสังคม เศรษฐกิจ โดย ปัจจัยส่วนบุคคลดังกล่าวมีอิทธิพลโดยตรงต่อปัจจัยด้านอารมณ์และการคิดรู้ที่เฉพาะ กับพฤติกรรมและมี อิทธิพลโดยตรงต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ
2.ความคิดและอารมณ์ต่อพฤติกรรม (Behavior-Specific Cognition and Affect)
2.1การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรม (Perceived Benefits of Action) การรับรู้ประโยชน์จากการ ปฏิบัติพฤติกรรมเป็นแรงเสริมทําให้บุคคลเกิดแรงจูงใจในการปฏิบัติพฤติกรรมนั้น บุคคลจะปฏิบัติพฤติกรรม ตามประสบการณ์ในอดีตที่พบว่าพฤติกรรมนั้นให้ผลทางบวกต่อตนเอง
2.2การรับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติพฤติกรรม (Perceived Barriers to Action)หมายถึง ความเชื่อหรือ การรับรู้ถึงสิ่งขัดขวางที่ทําให้บุคคลไม่สามารถปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ
2.3 การรับรู้ความสามารถของตนเอง (PerceivedSelf-Ef ficacy) หมายถึง ความเชื่อมั่นของบุคคลเกี่ยวกับ ความสามารถของตนเองในการบริหารจัดการและกระทําพฤติกรรมใดๆ ภายใต้อุปสรรคหรือสภาวะต่างๆใน การปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ
2.4ความรู้สึกที่มีต่อพฤติกรรม (Activity-Related Affect) หมายถึง ความรู้สึกในทางบวกหรือลบที่เกิด ขึ้นก่อน ระหว่างและหลังการปฏิบัติพฤติกรรม การตอบสนองความรู้สึกนี้อาจมีน้อย
ปานกลางหรือมาก
2.5อิทธิพลระหว่างบุคคล (Interpersonal Influences) หมายถึง พฤติกรรมความเชื่อ หรือทัศนคติของคน อื่นที่มีอิทธิพลต่อความคิดของบุคคล
2.6อิทธิพลจากสถานการณ์ (Situational Influences) อิทธิพลจรกสถานการณ์ หมายถึง การรับรู้และความคิด ของบุคคลเกี่ยวกับสถานการณ์หรือบริบทที่สามารถเอื้อหรือขัดขวาง การปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ
3.พฤติกรรมผลลัพธ์ (Behavioral Outcome) ประกอบด้วย 3 อย่าง ได้แก่
3.1 ความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติพฤติกรรม (Commitment to a Plan of Actions) ความมุ่งมั่นต่อแผนการ ปฏิบัติพฤติกรรม เป็นกระบวนการคิดรู้ ที่ประกอบด้วยความตั้งใจที่จริงจังที่จะกระทํา พฤติกรรมซึ่งสอดคล้อง กับเวลา บุคคล สถานที่
3.2ความจาเป็นอื่นและทางเลือกอื่นที่เกิดขึ้น (Immediate Competing Demands and Preferences) หมายถึง พฤติกรรมอื่นที่เกิดขึ้นทันทีทันใดก่อนที่จะเกิดพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ ตามที่วางแผนไว้และอาจ ทำให้บุคคลไม่สามารถปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาะตามที่ได้วางแผนไว้
3.3พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ (Health-Promoting Behavior) พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพเป็นตัวบ่งชี้โดยตรงต่อการผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ประสบผลสําเร็จในผู้รับบริการ พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพนั้นบางส่วนก็ได้บูรณาการเข้ากับการใช้ชีวิตประจําวัน ผลที่ได้ก็คือการปรับ ภาวะ สุขภาพ การเพิ่มความสามารถในกํารทําหน้าที่ของร่างกาย และการมีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกช่วง พัฒนาการ ของมนุษย์
แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model : HBM)
องค์ประกอบของแบบจาลองความเชื่อด้านสุขภาพ
การรับรู้ต่อโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรค
➢ ความเชื่อหรือการคาดคะเนว่าตนมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหรือ ปัญหาสุขภาพนั้นมากน้อยเพียงใด
➢ การรับรู้ของผู้ป่วย หมายถึงความเชื่อต่อความถูกต้องของการวินิจฉัย โรคของแพทย์ การคาดคะเนถึงโอกาสการเกิดโรคซ้ำ และความรู้สึกของผู้ ป่วยว่าตนเองง่ายต่อการป่วยเป็นโรคต่างๆ
การรับรู้ความรุนแรงของโรค
➢ ความเชื่อที่บุคคลเป็นผู้ประเมินเองในด้านความรุนแรงของโรคที่มีต่อ ร่างกาย การก่อให้เกิดพิการเสียชีวิต ความยากลำบากและการต้องใช้ระยะ เวลํานํานในกํารรักษา
3.การรับรู้ประโยชน์ที่จะได้รับและค่าใช้จ่าย
➢ การที่บุคคลแสวงหาวิธีการปฏิบัติให้หายจากโรคหรือป้องกันไม่ให้เกิด โรค โดยการปฏิบัตินั้นต้องมีความเชื่อว่าเป็นการกระทําที่ดีมีประโยชน์และ เหมาะสมที่จะทําให้หายหรือไม่
➢ บุคคลจะต้องมีความเชื่อว่าค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นข้อเสียหรืออุปสรรคของกรา ปฏิบัติในการป้องกัน และรักษาโรคจะต้องมีน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ ประโยชน์ที่จะได้รับ
แรงจูงใจด้านสุขภาพ
➢ ระดับความสนใจและความห่วงใยเกี่ยวกับสุขภาพ ความปรารถนาที่ จะดํารงรักษาสุขภาพและการหลีกเลี่ยงจากการเจ็บป่วย
➢ เกิดจากความสนใจสุขภาพโดยทั่วไปของบุคคล หรือเกิดจากการกระตุ้น ของความเชื่อต่อโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรค ความเชื่อต่อความรุนแรงของ โรค ความเชื่อต่อผลดีจากการปฏิบัติ รวมทั้งสิ่งเร้าภายนอก
การนําเอาแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพมาใช้ในกำจัดกิจกรรมเพื่อ ส่งเสริมพฤติกรรมป้องกันโรค เช่น การตรวจเต้านมด้วยตนเอง การใช้ถุง ยางอนามัย ได้ผลดีทั้งในระดับบุคคล และชุมชน
A6480073 อรัญญา การินทร์