Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ระบบต่อมไร้ท่อ - Coggle Diagram
ระบบต่อมไร้ท่อ
Parathyroid CA
การวินิจฉัย
การตรวจและประวัติสุขภาพ แพทย์จะสังเกตร่างกายและตรวจหาก้อนนูนหรือสิ่งอื่น ๆ ที่ดูไม่ปกติ นอกจากนี้ แพทย์จะถามคำถามเกี่ยวกับสุขภาพในปัจจุบัน และประวัติสุขภาพของครอบครัวของคุณ
การตรวจเลือดและปัสสาวะ เป็นการตรวจหาระดับแคลเซียมและพาราไทรอยด์ฮอร์โมนระดับสูงในเลือดและปัสสาวะ ควรปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์ก่อนการตรวจ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคุณจะได้รับผลตรวจที่ถูกต้องที่สุด
การสแกนต่อมพาราไทรอยด์ วิธีนี้จะแสดงให้เห็นว่าต่อมพาราไทรอยด์สร้างพาราไทรอยด์ฮอร์โมนมากเกินไปหรือไม่ วิธีนี้ดำเนินการกับผู้ป่วยนอกที่โรงพยาบาล คุณจะได้รับการฉีดยาที่มีวัตถุกัมมันตรังสี แล้วคุณจะต้องนอนนิ่ง ๆ เป็นเวลาประมาณ 30 นาทีในขณะที่ถูกถ่ายภาพศีรษะและคอ ต่อมาจะถ่ายภาพอีก และเปรียบเทียบกับภาพถ่ายชุดแรก
-
MRI (magnetic resonance imaging) ใช้คอมพิวเตอร์ เอกซเรย์ และแม่เหล็กเพื่อถ่ายภาพอย่างละเอียดภายในร่างกาย
-
ฉีดน้ำสีชนิดพิเศษเข้าสู่หลอดเลือด ในขณะที่น้ำสีเคลื่อนผ่านร่างกาย จะทำการเอกซเรย์เพื่อตรวจหาการอุดกั้น
ตัวอย่างเลือดจากหลอดเลือด จะเป็นการนำตัวอย่างเลือดมาจากหลอดเลือดที่แตกต่างกัน และตรวจเพื่อดูว่าต่อมพาราไทรอยด์ต่อมใด ที่สร้างพาราไทรอยด์ฮอร์โมนมากกว่าที่ควรจะเป็น
การรักษา
การผ่าตัดเป็นการรักษาที่พบได้มากที่สุดสำหรับมะเร็งต่อมพาราไทรอยด์ แพทย์อาจผ่าตัดนำเพียงก้อนมะเร็งออกมาหรือนำเนื้อเยื่ออื่นๆ ออกมาด้วย หากมะเร็งลุกลามไปยังบริเวณอื่น
การฉายรังสีโดยใช้เอกซเรย์และพลังงานสูงอื่นๆ เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็ง การฉายรังสีอาจใช้ก่อนหรือหลังจากผ่าตัด
การผ่าตัดด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency ablation) ใช้ความร้อนเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับพาราไทรอยด์ฮอร์โมนได้
-
สาเหตุ
-
การถ่ายทอดภาวะไทรอยด์ทำงานเกินในครอบครัว (Familial Isolated Hyperparathyroidism) ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้เกิดนิ่วในไต คลื่นไส้ อาเจียน ความดันโลหิตสูง ร่างกายอ่อนแรง และอ่อนเพลีย
กลุ่มอาการ MEN1 (multiple endocrine neoplasia type 1) ซึ่งเป็นภาวะที่สัมพันธ์กับเนื้องอกของต่อมสร้างฮอร์โมน
กรรมพันธุ์มีส่วนทำให้เกิดความเสี่ยง ในการเกิดมะเร็งต่อมพาราไทรอยด์ ประวัติครอบครัวที่เคยเป็นมะเร็งต่อมพาราไทรอยด์ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมพาราไทรอยด์ ภาวะที่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่เรียกว่า multiple endocrine neoplasia อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นเนื้องอกต่อมพาราไทรอยด์ชนิดไม่อันตราย เนื้องอกต่อมพาราไทรอยด์ที่สัมพันธ์กับกลุ่มอาการ MEN มักเป็นชนิดที่ไม่ใช่เนื้อร้าย ปัจจัยทางพันธุกรรมไม่ปรากฏว่าสัมพันธ์กับมะเร็งต่อมพาราไทรอยด์
การพยาบาล
-
-
-
ในวันที่ผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลจะยังคงมีรังสีตกค้างในร่างกาย แต่จะเป็นปริมาณไม่มากผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำในการปฎิบัติตนหลังออกจากโรงพยาบาล
-
หลังจากผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลจะต้องมีปริมาณรังสีน้อยลงจนไม่เป็นอันตรายต่อสาธารณะชน ดังนั้นคำแนะนำต่างๆจึงช่วยลดการตกของรังสีไปยังผู้อื่นโดยไม่จำเป็น
-
-
-
Cushing's syndrome
การรักษา
การลดหรือหยุดใช้ยาสเตียรอยด์ แพทย์จะตรวจสอบว่าควรหยุดใช้ยาหรือควรลดปริมาณการใช้ยาลงหรือไม่ รวมไปถึงสั่งยาตัวใหม่ที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ โดยผู้ป่วยไม่ควรหยุดหรือลดการใช้ยาสเตียรอยด์ด้วยตนเอง ต้องให้แพทย์เป็นผู้ปรับลดยาเท่านั้น เพราะการหยุดใช้ยาอย่างกะทันหันอาจทำให้ร่างกายขาดฮอร์โมนคอร์ติซอลได้ ซึ่งอาจทำให้มีไข้สูง ปวดท้อง ท้องเสียรุนแรง หัวใจเต้นเร็ว คลื่นไส้ อาเจียน ความดันโลหิตต่ำ อ่อนเพลียมาก หรือช็อก หากพบอาการเหล่านี้ ผู้ป่วยต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะอาจเป็นเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
การผ่าตัดเนื้องอกออก ในกรณีที่มีเนื้องอกเป็นสาเหตุ เช่น เนื้องอกต่อมใต้สมอง เนื้องอกต่อมหมวกไต เนื้องอกตับอ่อนหรือปอด โดยแพทย์จะทดสอบหาตำแหน่งของเนื้องอกก่อนพิจารณาผ่าตัด แต่หากไม่สามารถรักษาด้วยการผ่าตัดได้ แพทย์อาจฉายรังสี หรือใช้ยารักษาเพื่อให้เนื้องอกหดเล็กลง
-
การใช้ยารักษา ใช้เพื่อควบคุมการผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลในร่างกาย ในกรณีที่ไม่สามารถรักษาด้วยการผ่าตัดและฉายรังสีได้ หรืออาจใช้ก่อนการผ่าตัดในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เพื่อช่วยลดอาการต่าง ๆ และลดความเสี่ยงจากการผ่าตัด
ตัวอย่างยาที่ใช้ควบคุมการผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล ได้แก่ ยาไมโทเทน ยาคีตาโคนาโซล และยามีไทราโฟน โดยยาเหล่านี้อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้น ผู้ป่วยควรใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
การพยาบาล
- รักษาแรงตึงตัวของกล้ามเนื้อ โดยช่วยบริหารข้อต่อตาม ROM ช่วยในการ Ambulation
- ป้องกันอุบัติเหตุหรือหกล้ม และให้พักผ่อนให้เพียงพอ
- ป้องกันผู้ป่วยจากการสัมผัสเชื้อ
- รักษาสภาพของผิวหนัง โดยให้การดูแลผิวหนัง ป้องกันผิวหนังฉีกขาด
- ลดภาวะเครียดจากสิ่งแวดล้อม
- วัดสัญญาณชีพ สังเกตอาการความดันโลหิตสูง การบวม
- สอนผู้ป่วยและวางแผนการจำหน่าย - การปรับอาหาร -ให้ความสำคัญของการพักผ่อนให้เพียงพอ - จำเป็นหลีกเลี่ยงการติดเชื้อและความเครียด - การเปลี่ยนแปลงของการใช้ยา ถ้สาเหตุมาจากการใช้ corticosteroid ในการรักษา
- เตรียมผู้ป่วยสำหรับการผ่า adrenalectomy ถ้สาเหตุเกิดจากก้อนที่ต่อมหมวกไต หรือต่อมหมวกไต
1 1. เตรียมผ่าตัดสำหรับผู้ป่วยการผ่าตัดต่อมใต้สมอง หรือการฉายรังสี ถ้าสาเหตุเกิดจากเนื้องอกของต่อมใต้สมอง
- ให้สนับสนุนจิตใจ ให้การยอมรับ
- ตรวจปัสสาวะหา glucose acetone ให้ insulin ตามแผนการรักษา
- ให้อาหารที่มีพลังงานและโซเดียมต่ำ และมีโปรตีน โพแทสเยม แคลเซียม และวิตามินดีสูง
- บันทึก intake output ชั่งน้ำหนักทุกวัน
การวินิจฉัย
- เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงเมตาซึมของโปรตีน และมีการเปลี่ยนแปลงการตอบสนองของร่างกายในกระบวนการอักเสบ
- เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากร่างกายอ่อนเพลีย
- เสี่ยงต่อการสูญเสียภาพลักษณ์
-
-
ตรวจน้ำลาย เพื่อดูระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลในน้ำลาย ซึ่งจะทำการตรวจในเวลากลางคืน เพราะโดยปกติ ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะลดลงในช่วงเย็นเป็นต้นไป
ตรวจภาพถ่าย ด้วยการทำซีที สแกน (Computerized Tomography: CT Scan) หรือเอ็มอาร์ไอ สแกน (Magnetic Resonance Imaging: MRI Scan) เพื่อตรวจหาความผิดปกติของต่อมใต้สมองและต่อมหมวกไต เช่น ตรวจหาเนื้องอก
สาเหตุ
ร่างกายมีระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) สูง โดยฮอร์โมนคอร์ติซอลนั้นผลิตจากต่อมหมวกไต ทำหน้าที่ควบคุมความดันโลหิต ระบบหัวใจและหลอดเลือด ลดการตอบสนองต่อการอักเสบในระบบภูมิคุ้มกัน แปลงไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตให้เป็นพลังงาน สร้างความสมดุลให้กับอินซูลิน และเกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อความเครียด
ารใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดรับประทานในปริมาณมากและใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น ยาเพรดนิโซน โดยแพทย์จะใช้ยาประเภทนี้ในการปลูกถ่ายอวัยวะ หรือรักษาโรคที่เกี่ยวกับการอักเสบ เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง และข้ออักเสบ นอกจากนั้น การฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อรักษาอาการปวดหลัง การใช้ยาลูกกลอน ยาสมุนไพรพื้นบ้าน หรือยาอื่น ๆ ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
มีความเครียดสูง เช่น ความเครียดจากการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง การบาดเจ็บ การผ่าตัด การตั้งครรภ์ หรือนักกีฬาที่เครียดจากการฝึกฝนอย่างหนัก
-
-
ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป อาจทำให้ร่างกายผลิตฮอรโมนคอร์ติซอลออกมามาก โดยระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะลดลงเป็นปกติเมื่อหยุดดื่ม
-
เนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง ทำให้ต่อมใต้สมองผลิตฮอร์โมนอะดรีโนคอร์ติโคทรอพิก (Adrenocorticotropic hormone) ออกมามากเกินไป จนทำให้เกิด Cushing Syndrome
-
กรรมพันธุ์ เป็นสาเหตุที่พบได้น้อยมาก โดยผู้ป่วยอาจสืบทอดการเกิดเนื้องอกในต่อมไร้ท่อ ซี่งส่งผลต่อระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล และทำให้เกิด Cushing Syndromeได้
Thyroid CA
การวินิจฉัย
แพทย์อาจสอบถามอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น เสียงแหบ ไอ หายใจลำบาก กลืนลำบาก หรือรู้สึกเจ็บบริเวณลำคอ และหากสงสัยว่าผู้ป่วยอาจเป็นมะเร็งไทรอยด์ แพทย์จะวินิจฉัยด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม ดังต่อไปนี้
การตรวจร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณลำคอว่ามีก้อนนูนเกิดขึ้นใต้ผิวหนังหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงกับต่อมไทรอยด์หรือไม่ นอกจากนี้ แพทย์อาจซักประวัติทางการแพทย์ โรคประจำตัว รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งไทรอยด์ และผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากมีสมาชิกในครอบครัวเป็นมะเร็งไทรอยด์ โดยเฉพาะชนิดเมดัลลารีหรือเนื้องอกชนิดฟีโอโครโมไซโตมา (Pheochromocytoma)
การอัลตราซาวด์ โดยใช้คลื่นความถี่สูงตรวจหาก้อนเนื้อหรือก้อนน้ำบริเวณต่อมไทรอยด์ หรือบอกจำนวนและขนาดของก้อนเนื้อนั้น อีกทั้งยังช่วยวินิจฉัยในกรณีที่มะเร็งไทรอยด์กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ จนทำให้ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงมีขนาดโตขึ้นด้วย
การตรวจด้วยไอโอดีนรังสี โดยกลืนหรือฉีดสารไอโอดีนรังสีเข้าทางหลอดเลือดดำแล้วใช้เครื่องสแกนวินิจฉัยว่าผู้ป่วยที่มีก้อนเกิดขึ้นที่ลำคอเป็นมะเร็งไทรอยด์หรือไม่ ซึ่งบริเวณที่สงสัยว่าอาจมีเซลล์มะเร็งจะมีการดูดซึมไอโอดีนรังสีน้อยกว่าเนื้อเยื่อในบริเวณใกล้เคียง และยังใช้ตรวจการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้อีกเช่นเดียวกัน
การสแกนทรวงอก เพื่อระบุตำแหน่ง บอกขนาด และตรวจการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) การสแกนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือการตรวจความเปลี่ยนแปลงทางเคมี (PET Scan) เป็นต้น
การทำไทรอยด์สแกน เป็นการตรวจภาพต่อมไทรอยด์ทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ที่ใช้วินิจฉัยเฉพาะผู้ป่วยบางราย โดยขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์
การตรวจเลือด เพื่อตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ และตรวจค่าฮอร์โมนหรือสารต่าง ๆ ที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งไทรอยด์ เช่น ฮอร์โมนกระตุ้นไทรอยด์ (Thyroid-Stimulating Hormone: TSH) ฮอร์โมนไทรอยด์ไตรไอโอโดไทโรนีน (Triiodothyronine) ฮอร์โมนไทรอยด์ไทรอกซิน (Thyroxine) ฮอร์โมนแคลซิโทนิน (Calcitonin) หรือโปรตีนไทโรโกลบูลิน (Thyroglobulin) เป็นต้น
การตรวจชิ้นเนื้อ โดยตัดชิ้นเนื้อหรือใช้เข็มเจาะ (Fine Needle Aspiration: FNA) เพื่อนำเนื้อเยื่อหรือเซลล์บริเวณต่อมไทรอยด์ไปตรวจหาเซลล์มะเร็ง
การตรวจกล่องเสียง เพื่อตรวจว่าเส้นเสียงยังทำงานเป็นปกติหรือไม่ เนื่องจากมะเร็งไทรอยด์อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของกล่องเสียงและเส้นเสียงได้
การรักษา
การผ่าตัด
การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออก 1 ข้าง (Lobectomy) ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีก้อนมะเร็งขนาดเล็กและไม่พบสัญญาณของการแพร่กระจายเซลล์มะเร็ง ผู้ป่วยอาจไม่ต้องรับประทานยาฮอร์โมนไทรอยด์หลังการผ่าตัด เนื่องจากต่อมไทรอยด์อีกข้างยังทำงานได้อยู่
การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ (Thyroidectomy) ทั้งผ่าตัดนำต่อมไทรอยด์ออกทั้งหมด หรืออาจผ่าตัดนำต่อมไทรอยด์ออกไปเพียงบางส่วน โดยหลังการผ่าตัดผู้ป่วยอาจต้องรับประทานยาฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทนเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ
การผ่าตัดต่อมน้ำเหลือง มักใช้รักษาผู้ป่วยที่มะเร็งไทรอยด์แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็งไทรอยด์ชนิดเมดัลลารีและอะนาพลาสติก
การรับประทานยา
การรับประทานไอโอดีนรังสี เป็นการรับประทานสารกัมมันตรังสีซึ่งอยู่ในรูปแบบที่รับประทานง่าย โดยสารดังกล่าวจะเข้าไปรักษาโรคมะเร็งไทรอยด์ที่อาจหลงเหลืออยู่หลังการผ่าตัดทั้งภายในลำคอและเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง และยังใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งไทรอยด์ชนิดพาพิลลารี่และฟอลลิคูลาร์ที่เซลล์มะเร็งแพร่กระจายเข้าสู่อวัยวะส่วนอื่น ๆ ด้วย เช่น ต่อมน้ำเหลือง ปอด และกระดูก ซึ่งการรักษาด้วยไอโอดีนรังสีนั้น ผู้ป่วยอาจรับประทานเพียงครั้งเดียวหรือมากกว่า 1 ครั้ง ตามความรุนแรงของโรคและดุลยพินิจของแพทย์
การรับประทานยาฮอร์โมนไทรอยด์ หลังการผ่าตัดเอาต่อมไทรอยด์ออกทั้ง 2 ข้างแล้ว ร่างกายอาจไม่สามารถสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ได้ตามปกติ การรับประทานยาฮอร์โมนไทรอยด์จะช่วยทดแทนฮอร์โมนที่ขาดหายไป ทำให้ระบบเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ตามปกติ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งที่หลงเหลืออยู่ในร่างกาย และยังช่วยป้องกันการกลับมาเป็นโรคมะเร็งไทรอยด์ซ้ำได้อีกด้วย ดังนั้น ผู้ป่วยควรรับประทานยาฮอร์โมนไทรอยด์อย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์
การฉายรังสีจากภายนอกร่างกาย โดยใช้รังสีพลังงานสูงเพื่อทำลายและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง มักใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งไทรอยด์ชนิดเมดัลลารีและอะนาพลาสติกร่วมกับการรับประทานไอโอดีนรังสี และช่วยลดการกลับมาเป็นซ้ำหลังการผ่าตัด
การทำเคมีบำบัด เป็นการใช้ยาต้านมะเร็งหลายชนิด โดยให้ผู้ป่วยรับประทานยาหรือฉีดยาเข้าทางหลอดเลือดดำหรือทางกล้ามเนื้อ จากนั้นยาจะเข้าสู่กระแสเลือดแล้วเข้าทำลายเซลล์มะเร็งที่มีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว
การใช้ยาเจาะจงเซลล์มะเร็ง เป็นยารักษามะเร็งไทรอยด์รูปแบบใหม่ ซึ่งจะแบ่งใช้ตามชนิดของมะเร็งไทรอยด์ ดังนี้
มะเร็งไทรอยด์ชนิดเมดัลลารี เช่น ยาแวนเดทานิบ หรือยาคาโบซานทินิบ ยาจะออกฤทธิ์เข้าทำลายเซลล์มะเร็งที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
มะเร็งไทรอยด์ชนิดพาพิลลารี่และฟอลลิคูลาร์ เช่น ยาโซลาเฟนิบ หรือยาเลนวาทินิบ ยาจะยับยั้งการสร้างหลอดเลือดและโปรตีนที่เซลล์มะเร็งใช้ในการเจริญเติบโตของเนื้องอก
สาเหตุ
-
เพศ แม้มะเร็งไทรอยด์จะเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นกับเพศหญิงได้มากกว่าเพศชายถึง 3 เท่า
กรรมพันธุ์ โรคทางพันธุกรรมบางชนิดมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งไทรอยด์ รวมถึงผู้ที่มีญาติสายตรง อันได้แก่ พ่อ แม่ พี่ น้อง ที่เป็นมะเร็งไทรอยด์ ก็จะมีแนวโน้มของการเกิดโรคนี้เพิ่มขึ้น
โรคประจำตัว การเจ็บป่วยด้วยโรคบางอย่างอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งไทรอยด์ได้ เช่น โรคที่เกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ โรคอ้วน รวมถึงความผิดปกติของฮอร์โมนบางชนิด เป็นต้น
ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีไอโอดีนน้อยเกินไป นอกจากจะทำให้เกิดคอพอกหรือโรคเอ๋อแล้ว หากร่างกายมีระดับไอโอดีนต่ำอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งไทรอยด์ได้ด้วยเช่นกัน
การสัมผัสกับรังสี เช่น การฉายรังสีบริเวณศีรษะหรือลำคอเพื่อรักษาโรคในวัยเด็ก รวมถึงเคยประสบอุบัติเหตุเกี่ยวข้องกับโรงไฟฟ้าหรืออาวุธนิวเคลียร์ อาจเพิ่มความเสี่ยงเผชิญโรคนี้ได้ ซึ่งความเสี่ยงจะขึ้นอยู่กับปริมาณรังสีที่ได้รับด้วย แต่ผู้ใหญ่ที่ได้รับรังสีจะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งไทรอยด์ได้น้อยกว่าเด็ก
การพยาบาล
-
-
-
ในวันที่ผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลจะยังคงมีรังสีตกค้างในร่างกาย แต่จะเป็นปริมาณไม่มากผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำในการปฎิบัติตนหลังออกจากโรงพยาบาล
-
หลังจากผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลจะต้องมีปริมาณรังสีน้อยลงจนไม่เป็นอันตรายต่อสาธารณะชน ดังนั้นคำแนะนำต่างๆจึงช่วยลดการตกของรังสีไปยังผู้อื่นโดยไม่จำเป็น
-