Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทฤษฎีที่ใช้ในการสร้างเสริมสุขภาพ - Coggle Diagram
ทฤษฎีที่ใช้ในการสร้างเสริมสุขภาพ
แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ
Health Belief Model : HBM
แนวคิด
การรับรู้ของบุคคลเป็นตัวบ่งชี้พฤติกรรมโดยบุคคลจะกระทำหรือเข้าใกล้กับสิ่งที่ตนพอใจและเกิดผลดีแก่ตน
พฤติกรรมหลีกเลี่ยง จากการเป็นโรคบุคคลนั้นจะต้องมีความเชื่อว่าขามีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรค
ปัจจัยร่วม (Modafying Factors)
ด้านประชากร : เพศ อายุ เชื้อชาติ ศาสนา
ด้านสังจิตวิทยา : บุคลิกภาพ กลุ่มเพื่อน บรรทัดฐานทางสังคม ค่านิยม วัฒนธรรม
โครงสร้างพื้นฐาน : ระบบบริการสุขภาพ
องค์ประกอบของแบบจำลองความเชื่อด้านสุขภาพ
รับรู้ต่อโอการเสี่ยงของการเป็นโรค
ความเชื่อว่าตนเองมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรค
การรับรู้ของผู้ป่วย
การรับรู้ความรุนแรงของโรค
ความเชื่อที่บุคคลประเมินเองในด้านความรุนแรง
การรับรู้ประโยชน์ที่จะได้รับและค่าใช้จ่าย
การแสวงหาวิธีหายจากโรคหรือป้องกัน
เชื่อว่าค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นข้อเสียหรืออุปสรรค
แรงจูงใจด้านสุขภาพ
สนใจและห่วงใยเกี่ยวกับสุขภาพ
เกิดจากความสนใจสุขภาพโดยทั่วไปของบุคคล หรือเกิดจากการกระตุ้นของความเชื่อต่อโอกาส เสี่ยงของการเป็นโรค
ปัจจัยร่วม
ปัจจัยที่มีส่วนช่วยส่งเสริมหรือเป็นอุปสรรคต่อการที่บุคคลจะปฏิบัติเพื่อการป้องกันโรค หรือการปฏิบัติตามคําแนะนําในการรักษาโรค เช่น เพศ อายุ เชื้อชาติ ลักษณะของความยากง่ายของการปฏิบัติตาม
การประยุกต์ใช้แบบจำลองความเชื่อด้านสุขภาพ
การรรับรู้ต่อโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรค
การรัความรุนแรงของโรค
การรรับรู้ประโยชน์ที่จะได้รับและค่าใช้จ่าย
การรู้อุปสรรค
ปัจจัยกระตุ้นการปฏิบัติ
ทฤษฎีแรงสนับสนุนทางสังคม (Social Support Theory)
บุคคได้รับการช่วยเหลือจากการปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในสังคม ทั้งด้านอารมณ์ ด้านข้อมูล ข่าวสาร ด้านการเงิน แรงงาน หรือวัตถุสั่งของต่างๆ
แหล่งที่มาของการสนับสนุนทางสังคม
ระบบการสนับสนุนตามธรรมชาติ : ครอบครัว ญาติพี่น้อง สำคัญมากที่สุดต่อผู้ป่วยเพราะครอบครัวมีบทบาทสำคัญต่อผู้ป่วยตั้งแต่วัยเด็ก
ระบบสนับสนุนจากลุ่มเพื่อน : สามารถติดต่อชักจูงผู้ป่วยได้โดยง่าย ทำให้ผู้ป่วยเป็นบุคคลซึ่งประสบความสำเร็จ
3.ระบบสนับสนุนด้านศาสนาหรือแหล่งอุปถัมภ์ต่างๆ : เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนความเชื่อค่านิยม คำสอน
ระบบการสนับสนุนจากกลุ่มวิชาชีพด้านสุขภาพ : เป็นแห่งแรกที่ให้การช่วยเหลือผู้ป่วยเช่น บุคลากรทางการแพทย์
ระบบการสนับสนุนจากกลุ่มวิชาชีพอื่นๆ : เป็นการสนับสนุนจากกลุ่มบริการอาสาสมัคร
ประเภทของการสนับสนุนทางสังคม
การสนับสนุนด้านอารมณ์ (Emotional support)
การสนับสนุนด้านการประเมิน (Appraisal support)
การสนับสนุนด้านข้อมูลข่าวสาร (Information support)
การสนับสนุนด้านการเงิน แรงงานและส่ิงของ (Instrumental support)
ทฤษฎีแรงสนับสนุนทางสังคม
เพื่อการส่งเสริมสุขภาพ และการดูแลรักษาโรคเรื้อรัง
เอดส์
เบาหวาน
ผู้สูงอายุ
การส่งเสริมสุขภาพ
PRECEDE-PROCEED Model
เป็นเครื่องมือสำคัญของนักสุขศึกษาประยุกต์ใช้วางแผน และประเมินผมโครงการส่งเสริมสุขภาพ และสุขศึกษา
กระบวนการของการใช้ปัจจัยนำปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริม ในการวินิจฉัยโครงสร้างทางการศึกษา นิเวศวิทยา และการประเมินผล
P: Predisposing (แรงจูงใจ)
R: Reinforcing (ทำให้แข็งแกร่งขึ้น)
E: Enabling (ทำให้เป็นไปได้)
C: Causes (ทำให้เกิด)
E: Educational (การศึกษา)
D: Diagnosis (การหาสาเหตุ)
E: Evaluation (การประเมินผล)
ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์ทางสังคม (Phase1 : Social Assessment)
เป็นการพิจารณาและวิเคราะห์ คุณภาพชีวิต
ขั้นตอนที่ 2 การวิเคราะห์ทางระบาดวิทยา (Phase 2 : Epidemiological Assessment)
เป็นการวิเคราะห์ว่ามีปัญหาสุขภาพที่สำคัญ ข้อมูลระบาดวิทยาชี้ให้เห็นถึงการเจ็บป่วยการเกิดโรค
ขั้นตอนที่ 3 การวิเคราะห์ด้านพฤติกรรม (Phase 3 : Behavioral Assessment)
การนำขั้นตอนที่ 1-2 มาวิเคราะห์ต่อเพื่อหาสาเหตุ
ขั้นตอนที่ 4 การวิเคราะห์ทางการศึกษา (Phase 4 : Educational Assessment)
• ปัจจัยนำ (Predisposing Factors) หมายถึง ปัจจัยที่เป็นพื้นฐาน และก่อให้เกิดแรงจูงใจใน การแสดงพฤติกรรมของบุคคล เช่น ความรู้ ความเชื่อ ค่านิยม ทัศนคติ
• ปัจจัยเอื้อ (Enabling Factors) หมายถึง คุณลักษณะของสิ่งแวดล้อม ทั้งด้านกายภาพและ สังคมวัฒนธรรม ทักษะส่วนบุคคลหรือทรัพยากรที่จะช่วยเกื้อกูลให้เกิดพฤติกรรมที่พึงประสงค์
• ปัจจัยเสริม (Reinforcing Factors) หมายถึง สิ่งที่บุคคลจะได้รับ หรือคาดว่าจะได้รับจากบุคคลอื่น อันเป็นผลจากการกระทําของตน
ขั้นตอนที่ 5 การวิเคราะห์ทางการบริหาร (Phase 5 : Administrative and Policy Assessment)
เป็นการประเมินความสามารถของการบริหาร และนโยบายของการจัดการโครงการส่งเสริมสุขภาพ
ขั้นตอนที่ 6 การปฏิบัติการ (Phase 6 : Implementation)
ขั้นตอนที่ 7 การประเมินกระบวนการ (Phase 7 : Process Evaluation)
ขั้นตอนที่ 8 การประเมินผลกระทบ (Phase 8 : Impact Evaluation)
ขั้นตอนที่ 9 การประเมินผลลัพธ์ (Phase 9 : Outcome Evaluation)
แบบจำลองการส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion Model : HPM)
ข้อตกเบื้องต้นของแบบจำลอง
บุคคลแสวงหาภาวการณ์ของชีวิตที่สร้างสรรค์โดยการแสดงความสามารถด้านสุขภาพที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน
สามารถสะท้อนการตระหนักรู้ในตนเอง และการประเมินสมรรถนะตนเอง
บุคคลที่ให้คุณค่าแก่าการเจริญเติบโตในทางบวก
แสวงหาการควบคุมพฤติกรรมของตน
บุคคลซึ่งประกอบด้วยกาย จิต สังคม มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลง สิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่อย่างต่อเนื่อง
บุคลากรด้านสุขภาพเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมระหว่างบุคคลที่มีอิทธิพลต่อ บุคคลตลอดช่วงชีวิต
การริเริ่มด้วยตนเองในการสร้างแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อม
สาระของทฤษฎี
แบบจำลองการส่งเสริมสุขภาพของเพนเดอร์ มีพื้นฐานแนวคิดด้านการคิดรู้
มโนทัศน์หลักของแบบจำลอง
ลักษณะเฉพาะและประสบการณ์ของบุคคล (IndividualCharacteristicsandExperiences)
ลักษณะเฉพาะและประสบการณ์ของบุคคลที่มีผลต่อการปฏิบัติพฤติกรรม ในมโนทัศน์หลักนี้เพนเดอร์ได้เสนอมโนทัศน์ย่อย คือ พฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง และปัจจัยส่วนบุคคล
1.1 พฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง (Prior related behavior) พฤติกรรมที่เคยปฏิบัติในอดีตมีอิทธิพล โดยตรงต่อกํารปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ
1.2 ปัจจัยส่วนบุคคล (Personal Factors) ในแบบจําลองการส่งเสริมสุขภําพ ปัจจัยส่วนบุคคล ประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้
ปัจจัยด้านชีววิทยา ได้แก่ อายุ ดัชนีมวลกาย สภาวะวัยรุ่น สภาวะหมดระดูความจุปอด ความแข็งแรงของร่างกาย ความกระฉับกระเฉง และควํามสมดุลของร่างกาย
ปัจจัยด้านจิตวิทยา ได้แก่ ควํามมีคุณค่าในตนเองแรงจูงใจในตนเอง การรับรู้ภาวะ สุขภําพของตนเอง
ปัจจัยด้านสังคมวัฒนธรรม ได้แก่ สัญชาติ วัฒนธรรม การศึกษา และสถานะทางสังคม เศรษฐกิจ
ความคิดและอารมณ์ต่อพฤติกรรม (Behavior-Specific Cognition and Affect) เป็นมโนทัศน์หลักในกํารสร้างกลยุทธ์กิจกรรมพยาบาลเพื่อสร้างแรงจูงใจให้บุคคลมีการพัฒนาหรือ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง
2.1 การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรม (Perceived Benefits of Action)
2.2 การรับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติพฤติกรรม (Perceived Barriers to Action)
2.3 การรับรู้ความสามารถของตนเอง (PerceivedSelf-Ef ficacy)
2.4 ความรู้สึกที่มีต่อพฤติกรรม (Activity-Related Affect)
2.5 อิทธิพลระหว่างบุคคล (Interpersonal Influences)
2.6 อิทธิพลจากสถานการณ์ (Situational Influences)
พฤติกรรมผลลัพธ์ (Behavioral Outcome) ประกอบด้วย 3 อย่าง ได้แก่
3.1 ความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติพฤติกรรม (Commitment to a Plan of Actions)
3.2 ความจำเป็นอื่นและทางเลือกอื่นที่เกิดขึ้น (Immediate Competing Demands and Preferences)
3.3 พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ (Health-Promoting Behavior)
การสร้างเสริมพลังอำนาจ (Empowerment)
กระบวนการเสริมสร้างพลังอำนาจทำให้บุคคลเปลี่ยนแปลงดังนี้
สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง
เข้าถึงข้อมูลและแหล่งข้อมูลที่เอื้อในกํารตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม
มีทางเลือกอย่างกว้างขวาง
มีความสามารถในการคิดเชิงรุกเพื่อประกอบในการตัดสินใจ
มีความคิดทางบวกและความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลง
มีความสามารถในทักษะการเรียนรู้ที่จะพัฒนาพลังอํานาจแห่งตนและของกลุ่ม
มีความสามารถที่จะปรับเปลี่ยนการรับรู้ของผู้อื่นโดยวิธีประชาธิปไตย 8. มีส่วนร่วมในกระบวนการการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยสิ้นสุด และมีการเริ่มต้นอยู่เสมอ
เพิ่มอัตมโนทัศน์ทางบวกและสามารถเอาชนะจุดด้อยของตนได้
10.เพิ่มความสามารถแห่งตนในการคิดอย่างมีเหตุผลเพื่อแยกแยะความถูกผิดได้
ประเภทของการสร้างเสริมพลังอำนาจ
การสร้างเสริมพลังอำนาจเชิงจิตใจ (Psychological Empowerment) เป็นกระบวนการเกี่ยวข้องกับกาาสร้างแรงจูงใจแก่บุคคลให้เกิดการรู้คิดใน 4 คุณลักษณะ คือ - ความหมาย (Meaning) มีความสอดคล้องกันระหว่างความเชื่อ ค่านิยม และการกระทํา - สมรรถนะ (Competence) เป็นความมั่นใจที่จะปฏิบัติพฤติกรรมนั้นได้สําเร็จ อาจเรียกว่า การรับรู้ความสามารถของตนเอง (Self-efficacy) - ตัดสินใจด้วยตัวเอง (Self-determination) สามารถควบคุมงานที่รับผิดชอบ หรือกิจกรรม นั้นได้ - ผลกระทบ (Impact) คือ การมีอิทธิต่อผลลัพธ์ที่คาดหวัง
การสร้างเสริมพลังอานาจเชิงโครงสร้าง (Structural Empowerment) เกี่ยวข้องกับ เงื่อนไข และสภาพการทํางานในองค์กรที่ทําให้บุคคล
ลักษณะของการสร้างเสริมพลังอำนาจ
การสร้างเสริมพลังอำนาจระดับบุคคลและระดับกลุ่ม
การสร้างเสริมพลังอำนาจภายในและภายนอก
แหล่งที่มาของอำนาจ
ตำแหน่งหรือหน้าที่
การควบคุมทรัพยากรต่างๆ
ความสัมพันธ์ทางสังคม
ความเชี่ยวชาญ
ข้อมูล
คุณสมบัติหรือบุคลิกลักษณะส่วนตัว
ขั้นตอนของการสร้างเสริมพลังอำนาจ
discovering reality การค้นพบความจริง
critical reflection การพิจารณาไตร่ตรอง สะท้อนคิดอย่างมีวิจารณญาณ
Taking charge ดําเนินการตัดสินใจเลือกวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสม เรียนรู้ เรียกร้อง จัดการ ต่อรอง ปกป้องสิทธิ
holding มั่นใจที่จะควบคุมสถานการณ์ได้
ทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
Trans theoretical Model Stage of Change : TTM
มีทั้งหมด 6 ขั้นตอน คือ
ขั้นเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติ (Preparation stage / Determina) เริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ขั้นคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ (Maintenance) สามารถคงไว้ซึ่งพฤติกรรมใหม่อย่างสม่ำเสมอได้นานมากกว่า 6 เดือน ถึงแม้ว่าจะมี สิ่งเร้ากระตุ้นให้กลับไปสู่พฤติกรรมเดิม
ขั้นยุติพฤติกรรมเดิมอย่างถาวร (Termination) ไม่มีอะไรมาเย้ายวนให้กลับไปทํา พฤติกรรมเดิมได้อีก สามารถมั่นใจได้ 100%
ขั้นก่อนชั่งใจ (Pre-contemplation stage) ยังไม่มีความสนใจที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในอีก 6 เดือนข้างหน้า
ขั้นชั่งใจ (Contemplation stage) ตระหนักรู้ว่ามีปัญหา แต่ยังไม่คิดเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ขั้นปฏิบัติ (Action stage) เชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองว่าสามารถทําการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมได้และกําลังกระทําการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
หลักกระบวนการช่วยเปลี่ยนแปลง Process of Change
1.การปลุกจิตสำนึก(consciousness raising) เหมาะกับขั้นก่อนชั่งใจ
การระบายความรู้สึก (Dramatic relief) อยู่ขั้นก่อนชั่งใจจะเลื่อนไปขั้นชั่งใจ
การใคร่ครวญผลต่อสังคมรอบข้าง (social reevaluation) เหมาะสำหรับขั้นชั่งใจเพื่อเลื่อนไปสู่ขั้นชั่งใจ
การใคร่ครวญผลต่อตนเอง (self reevaluation) เหมาะกับคนที่อยู่ขั้นชั่งใจ เลื่อนขึ้นไปสู่เตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติ
การปลดปล่อยตนเอง (self liberation) เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติ เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้นปฏิบัติ
การปลดปล่อยสังคม (social liberation) เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นปฏิบัติ เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้น คงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ
ให้เรียนรู้สิ่งตรงกันข้าม (counterconditioning) เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นปฏิบัติ เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ ขั้นคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ
บังคับให้ทําสิ่งที่ดีกว่าทางอ้อม (stimulus control) เหมาะสําหรับผู้ที่อยู่ในขั้นปฏิบัติ เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้น คงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ
จงใจใช้แผนกระตุ้น (contingency management) เหมาะสําหรับผู้ที่อยู่ในขั้นปฏิบัติ เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ ขั้นคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ
กัลยาณมิตร (helping relationship) เช่นการเป็นที่ปรึกษาทางโทรศัพท์ให้ การมีบัดดี้คอยสนับสนุน เหมาะสําหรับผู้ที่อยู่ในขั้นปฏิบัติ เพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ ขั้นคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ