Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคระบบทางเดินอาหาร - Coggle Diagram
โรคระบบทางเดินอาหาร
CA stomach
อาการและอาการแสดง
ระยะแรก ไม่ค่อยแสดงอาการ
รู้สึกอาหารไม่ย่อย ไม่สบายท้อง
ท้องอืดหลังรับประทานอาหาร
แสบร้อนบริเวณอก
ระยะลุกลาม
รู้สึกไม่สบายท้อง โดยเฉพาะส่วนบนและตรงกลาง
อาเจียน หรืออาจมีอาเจียนเป็นเลือด
น้ำหนักลด อ่อนเพลีย
ปวดท้อง ท้องอืดหลังรับประทานอาหาร
การวินิจฉัย
ซักประวัติ ตรวจร่างกาย
กลืนแป้งสารทืบแสง (Barrium)
ส่องกล้อง EGD +/- ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ
CT Scan
ส่องกล้องติดอัลตราซาวนด์ เพื่อทราบความลึก/การแพร่กระจาย - Chest X-ray เพื่อดูการแพร่กระจายโรค
การรักษา
การผ่าตัดกระเพาะอาหาร
Antrectomy เป็นการตัดกระเพาะอาหารส่วน antrum ออกทั้งหมด แล้วเอากระเพาะ
อาหารส่วนที่เหลือไปต่อกับ duodenum
Antrectomy ร่วมกับ vagotomy เป็นการตัดกระเพาะอาหารส่วน antrum ออกและ ตัดเส้นประสาท vagus
การผ่าตัด Antrectomy ร่วมกับ vagotomy อย่างจะช่วย
ลดการหลั่งกรด และ
ลดการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลาไส้
ป้องกันการกลับเป็นซ้า (peptic ulcer) จึงมีข้อดีกว่าการผ่าตัดแบบอื่น ๆ
Subtotal gastrectomy
เป็นการตัดกระเพาะอาหารออกเป็นบางส่วน โดยตัดส่วนที่หลั่งกรดหรือส่วน ที่เป็นเนื้อร้ายออกไป ทำได้สองแบบคือ Billroth I และ Billroth II
Billroth I (gastroduodenostomy) เป็นการตัดส่วนปลายของกระเพาะ
อาหาร รวมทั้ง antrum ออก แล้วเอากระเพาะอาหารที่เหลือไปต่อกับ duodenum
Billroth II (gastrojejunostomy) เป็นการตัดกระเพาะอาหารส่วนปลาย รวมทั้ง antrum ออก แล้วเอากระเพาะอาหารส่วนที่เหลือไปต่อกับส่วนต้นของ jejunum
Total gastrectomy เป็นการตัดกระเพาะอาหารออกทั้งหมด แบ่งเป็น 2 แบบคือ
การตัดกระเพาะอาหารออกทั้งหมดแล้วเอาหลอดอาหารไปต่อกับ duodenum เรียก esophagoduodenostomy
การตัดกระเพาะอาหารออกทั้งหมดแล้วเอาหลอดอาหารไปต่อกับ jejunum เรียก
esophagojejunostomy
สาเหตุ
-อายุ เพศ เพศชายมีความเสี่ยงมากกว่าเพศหญิง 2 เท่า
มีประวัติครอบครัวเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร
เชื้อชาติ พบในคนเอเชียโดยเฉพาะแถบเอเชียตะวันออก (จีน เกาหลี และ ญี่ปุ่น ) ได้มากกว่าชนชาติผิวขาวกลุ่มประเทศยุโรปและอเมริกา
อาหาร โดยเฉพาะอาหารประเภทหมักดอง ตากเค็ม รมควันเพิ่มความเสี่ยงของโรค ได้มากขึ้นในขณะที่ การรับประทานผักและผลไม้สดอาจช่วยลดความเสี่ยงลงได้
การติดเชื้อ Helicobacter pylori เป็นเชื้อที่ทำให้เกิดการอักเสบ และแผลในกระเพาะอาหารได้ การติดเชื้อชนิดนี้ เพิ่มความเสี่ยงในการเกิด โรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้มากขึ้น
เคยได้รับการผ่าตัดกระเพาะอาหาร
พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ค่อยรับประทานผักและผลไม้
ภาวะอ้วน ทำให้เกิดภาวะกรดไหลย้อนซึ่งเป็นสาเหตุของการอักเสบเรื้อรังของหลอด
อาหารและกระเพาะส่วนต้นทำให้มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งมากขึ้น
การพยาบาล
ประเมินความรุนแรงของความปวดทุก 2-4 ชั่วโมง ก้วยการสังเกตและใช้แบบประเมินความปวด
จัดท่านอนศีรษะสูง 35-40 องศา เพื่อลดแรงดันในช่องท้องช่วยบรรเทาอาการแน่นท้อง
ดูแลให้มีการระบายของสารเหลวออกจากกระเพาะอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ
cirrhosis
สาเหตุ
Chronic hepatitis B cirrhosis (การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เรื้อรัง)
Chronic hepatitis C cirrhosis (การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี เรื้อรัง)
Alcoholic lever disease (การดื่มสุราเป็นเวลานาน)
Non- alcoholic fatty liver disease (ภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์)
Hemochromatosis (ภาวะเหล็กเกิน)
อาการและอาการแสดง
ระยะแรกมีอาการไม่จำเพาะ เช่น อ่อนเพลีย น้ำหนักลด เบื่ออาหาร
ดีซ่าน (jaundice) ตาเหลืองตัวเหลือง เกิดจากตับไม่สามารถขับ bilirubin ออกได้
อาการคัน (itching) สาร bilirubin คั่งในชั้นไขมันใต้ผิวหนังกระตุ้นปลายประสาท
ท้องมาน (ascites) และบวมตามร่างกาย (edema) น้ำและโซเดียมรั่วออกจากหลอดเลือด
รอยฟกช้าและจ้ำเลือดตามตัว เนื่องจากตับสร้างโปรตีนที่เป็นปัจจัยการแข็งตัวของเลือดลดลง ได้แก่ factor I, VII, IX, X, XI, ทำให้เลือดออกง่ายหยุดยาก
อาการทางสมอง (hepat ic encephalopat hy) ตับไม่สามารถเปลี่ยนแอมโมเนียไป เป็นยูเรียได้ ทำให้ระดับแอมโมเนียสูงและผ่านเข้าสู่สมอง
หลอดเลือดดำรอบสะดือโป่งพอ (caput medusae) เลือดไม่สามารถไหลผ่าน portal vein ได้ ทำให้เกิดภาวะ portal hypertension เกิดแรงดันย้อนกลับทางหลอดเลือดดาที่ผนังหน้าท้อง ส่งให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือดรอบสะดือ จึงพบ spider nevi แตกแขนงคล้ายขาแมงมุม
ม้ามโต (splenomegaly) จากภาวะ portal hypertension จึงย้อนกลับเข้าหลอดเลือดดำของ ม้าม
หลอดเลือดดาบริเวณทางเดินอาหารโป่งพอง (esophageal varices)
ถ่ายอุจจาระดา (melena) หรืออาเจียนเป็นเลือด จากหลอดเลือดดำบริเวณหลอดอาหารและ กระเพาะขยายตัว บางและแตกง่ายหากมีแรงดัน
รอยแดงบริเวณฝ่ามือ (palmer erythema) ผลจากการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมน estrogen และ ตับไม่สามารถเผาผลาญสเตียรอยด์ฮอร์โมนได
มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ต่อมหมวกไตผลิตฮอร์โมน estrogen มากขึ้น ทำให้ผู้ชาย มีภาวะ gynaecomastia, testosterone ลดลงทาให้อวัยวะเพศชายมีขนาดเล็กลง
ติดเชื้อง่าย เนื่องจาก macrophage ที่อยู่ในตับ ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การพยาบาล
ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคตับแข็ง
อธิบายปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคตับแข็ง เพื่อหลีกเลี่ยง เช่น การดื่มสุรา ลดอาหารหวานและไขมัน สูง ควบคุมน้ำหนัก
แนะนำให้ได้รับการวินิจฉัยโรค มาตรวจตามนัดสม่าเสมอ ส่องกล้างระบบทางเดินอาหาร
ประเมินภาวะท้องมานโดยชั่งน้ำหนักทุกวัน
แนะนำลดระดับโซเดียม เช่น งดเกลือ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเกลือสูง เครื่องปรุงรสต่างๆ
ดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการเจาะท้องระบายสารน้ำ ไม่ให้ไหลออกเร็วเกินไป เพื่อป้องกันภาวะช็อค
แนะนำอาหารประเภท branch chain amino acid เพื่อลดอาการผิดปกติทางสมอง ได้แก่ ไข่ขาว โปรตีนจากสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
ดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อนจากโรคตับแข็ง
ภาวะเลือดออกจากระบบทางเดินอาหาร
สังเกต การอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด หรืออุจจาระเป็นสีคล้ายเลือดเก่า (melena)
งดอาการที่มีสีดำหรือสีแดง เพื่อประเมินภาวะเลือดออก
ภาวะท้องมาน
จำกัดโซเดียม ไม่เกิน 2000 มิลลิกรัม/วัน
จำกัดน้ำดื่ม
จัดท่านอนศีรษะสูง 15 องศา
ชั่งน้ำหนักทุกวัน
เฝ้าระวังระดับ electrolyte โดยเฉพาะ K, Na
ป้องกันภาวะติดเชื้อในช่องท้อง
ยาปฏิชีวนะ
ร่างกายสิ่งแวดล้อมสะอาด
ติดตามอาการแสดงของการติดเชื้อในช่องท้อง เช่น ไข้ ปวดท้อง หน้าท้องแข็งเกร็ง
อาการผิดปกติทางสมอง
ยา lactulose ลดการสร้างแอมโมเนียของแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหาร สอบถาม อาการขับถ่าย รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง โยเกิร์ตและนมเปรี้ยว
อาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี ช่วยกำจัดยูเรีย เช่น ตับ งา จมูกข้าว ถั่วลิสง ช็อคโกแลต ธัญพืช
ดูแลให้ได้รับโปรตีน 1.2-1.5 กรัม/กิโลกรัม/วัน
ประเมินอาการทางระบบประสาทอย่างใกล้ชิด
ดูแลด้านโภชนาการ
ดูแลให้ได้รับพลังงานจากอาหาร 35-45 กิโลแคลอรี่/กิโลกรัม/วัน การได้รับพลังงาน อย่างเพียงพอจะช่วยลดการสร้างพลังงานโดยการสลายกล้ามเนื้อและไขมัน
ดูแลให้ได้รับอาหารมื้อละน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง อาจจัดตารางเป็น มื้อหลัก 3 มื้อ ในเวลา 8.00 น. 12.00 น. 18.00 น. และเพิ่มอาหารว่างอีก 3 มื้อ คือ 10.00 น. 14.00 น. และ 20.00 น. โดยมื้อก่อนนอน ควรเป็นอาหารเสริมประเภทโปรตีน
การวินิจฉัย
การตรวจในห้องปฏิบัติการ – แพทย์อาจสั่งตรวจเลือดเพื่อตรวจหาร่องรอยของความผิดปกติของตับ เช่น บิลิรูบินในปริมาณสูง ตรวจเอ็นไซม์ตับชนิดต่าง ๆ ตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบ ตรวจการแข็งตัวของเลือด ปริมาณโปรตีนไข่ขาวในเลือด เพื่อดูความสามารถในการสังเคราะห์โปรตีนของตับ ผลจากการตรวจเลือดจะช่วยให้แพทย์ระบุสาเหตุของโรคตับแข็งและความรุนแรงของอาการได้
การวินิจฉัยด้วยภาพทางการแพทย์ – ภาพทางการแพทย์ต่าง ๆ ได้แก่ อัลตร้าซาวด์ เอ๊กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ซึ่งอาจรวมถึงการตรวจพังผืดตับจากเครื่อง MRI (MR Elastography; MRE) สามารถให้ข้อมูลรูปร่าง และความยืดหยุ่นของตับ เพื่อดูลักษณะของตับแข็งได้
การตรวจวัดปริมาณพังผืดในตับ (Transient elastography; Fibroscan) เป็นเครื่องมือสำหรับการตรวจวัดระดับความแข็งของตับซึ่งสะท้อนถึงปริมาณการสะสมของพังผืดในตับ สามารถตรวจหาภาวะตับแข็งได้ตั้งแต่ระยะแรก รวมทั้งยังสามารถวัดปริมาณของไขมันที่สะสมในตับได้อีกด้วย
การตรวจชิ้นเนื้อ – การตัดชิ้นเนื้อตับในปัจจุบันทำน้อยลงมาก เนื่องจากมีอุปกรณ์และการตรวจใหม่ ๆ เข้ามาทดแทน ทำให้สามารถวินิจฉัยโรคตับได้โดยไม่ต้องทำการเจาะชิ้นเนื้อตับไปตรวจ อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยบางรายที่ไม่สามารถหาสาเหตุของโรคตับได้ก็อาจจำเป็นที่จะต้องทำการตัดชิ้นเนื้อตับไปตรวจ
การรักษา
การรักษาโรคพิษสุราเรื้อรัง – ผู้ที่เป็นโรคตับแข็งจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป แนะนำให้หยุดดื่ม แพทย์อาจแนะนำเข้าร่วมโปรแกรมการรักษาโรคพิษสุราเรื้อรัง
การรักษาโรคไขมันคั่งตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ – แนะนำให้คนไข้ลดน้ำหนักและรักษาระดับน้ำตาลรวมทั้งไขมันในเลือด
ใช้ยาเพื่อรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ – ยาจะช่วยลดความเสียหายของตับเนื่องจากไวรัสตับอักเสบบีหรือซี
การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการอื่นๆ ของโรคตับแข็ง – ยาเหล่านี้อาจช่วยชะลอการเกิดโรคตับแข็งบางชนิดได้ ผู้ที่เป็นโรคตับแข็งจากท่อน้ำดีอักเสบหรือผู้ป่วยที่มีภาวะโรคตับจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ ที่ได้รับการวินิจฉัยแต่เนิ่นๆ สามารถรักษาด้วยยาได้
CA esophagus
การรักษา
การผ่าตัด (Surgery)
การผ่าตัดหลอดอาหาร
1.Total esophagectomy เป็นการผ่าตัดหลอดอาหารออกทั้งหมด แล้วใช้ Dracon graftไปต่อส่วนที่ตัดหลอดอาหารออกไป
2.Esophagogastrostomy ตัดหลอดอาหารส่วนที่เป็นมะเร็งออกแล้วเอาส่วนที่เหลือมาต่อกับกระเพาะอาหาร ซึ่งดึงไปถึงบริเวณทรวงอก การผ่าตัดนี้ยากมากต้องผ่าตัดทั้งส่วนคอ ทรวงอก หน้าท้อง
3.Esophagoenterostomy เป็นการตัดหลอดอาหารส่วนที่เป็นมะเร็งออกแล้วเอาหลอดอาหารส่วนที่เหลือไปต่อกับลำไส้ใหญ่
รังสีรักษา (Radiotherapy)
เคมีบาบัด (Chemotherapy)
การใช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (Target therapy)
การรักษาโดยการยับยั้งกระบวนการสร้างเส้นเลือดใหม่ (Agiogenesis inhibitor)
อาการและอาหารแสดง
-กลืนอาหารลำบาก โดยเฉพาะเมื่อรับประทานอาหารแข็ง เช่น เนื้อสัตว์ ขนมปัง หรือผักสด แต่เมื่อโรคลุกลามขึ้นจนก้อนมะเร็งไปอุดตันทางเดินอาหารก็จะทำให้เกิดอาการเจ็บ แม้แต่การดื่มน้ำ
-แน่นหน้าอกหรือแสบร้อนในช่องอก
-รู้สึกท้องอืด อาหารไม่ย่อย
-คลื่นไส้
-สำลักหลังกลืนอาหาร
-น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
-ไอ เจ็บบริเวณกระดูกหน้าอกหรือในลำคอ
การวินิจฉัย
-การซักประวัติและการตรวจร่างกาย
-การกลืนแป้งสารทึบแสง เป็นวิธีการตรวจโดยให้ผู้ป่วยกลืนน้ำที่ผสมด้วยสารทึบแสงคล้ายแป้ง ซึ่งจะไปเคลือบหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก และทำการถ่ายภาพเอกซเรย์เป็นระยะๆ ทำให้สามารถมองเห็นก้อนเนื้อหรือความผิดปกติอื่นๆ ได้
-การส่องกล้องระบบทางเดินอาหารส่วนต้น หากตรวจพบสิ่งผิดปกติหรือสิ่งที่น่าสงสัยสามารถตัดชิ้นเนื้อเพื่อนำไปตรวจสอบต่อไปได้
-การตัดชิ้นเนื้อตรวจทางพยาธิวิทยา ซึ่งมักจะทำระหว่างการส่องกล้องทางเดินอาหาร
-การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) ซึ่งจะแสดงภาพอวัยวะภายในแบบสามมิติ ช่วยให้แพทย์สามารถเห็นตำแหน่งของโรคและการกระจายของโรคได้ละเอียดมากกว่าการเอกซเรย์ธรรมดา
การพยาบาล
ตรวจสอบการรั่วซึมของยาเคมีบำบัดออกนอกหลอดเลือดขณะให้ยาเคมี
ดูแลภาวโภชนาการของผู้ป่วย
ดูแลแนะขณะผู้ป่วยทานอาหาร
ให้ยาตามแผนการรักษา
ดูแลการให้ยาเคมีบำบัด
สังเกอาการแทรกซ้อนของยาเคมีบำบัด
ประเมิน pain score แผลผ่าตัด
สาเหตุ
-อายุ ผู้ที่มีอายุระหว่าง 45-70 ปีมีความเสี่ยงสูงสุด
-เพศ เพศชายมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าเพศหญิง 3 เท่า
-การสูบบุหรี่ ความเสี่ยงจะเพิ่มมากขึ้นตามปริมาณและระยะเวลาที่สูบบุหรี่
-การดื่มแอลกอฮอล์ เพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งหลอดอาหารโดยเฉพาะชนิด squamous cell
-ภาวะของหลอดอาหารที่เรียกว่า Barrett’s esophagus ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดในผู้ที่มีการอักเสบของหลอดอาหารจากกรดในกระเพาะอาหารทำลายเซลล์บุผนังหลอดอาหาร ทำให้เกิดมะเร็งชนิด adenocarcinoma ได้
-การรับประทานอาหารที่มีผัก ผลไม้ และแร่ธาตุต่ำ
-ภาวะอ้วน
CA colon
สาเหตุ
พันธุกรรม ทั้งชนิดพันธุกรรมที่ถ่ายทอดและพันธุกรรมที่ไม่ถ่ายทอด ซึ่งทาให้เกิดการ อักเสบของลำไส้ใหญ่หรือเกิดเป็นก้อนเนื้อโพลิบ (Polyp) ของลาไส้ใหญ่
อาหาร บางการศึกษาวิจัยพบว่าการรับประทานอาหารไขมันสูงหรืออาหารที่ขาดใย อาหารทาให้มีปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งลาไส้ใหญ่มากกว่า
บางการศึกษาพบว่า การขาดสารอาหารบางชนิดอาจเป็นปัจจัยให้เกิดมะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้สูงกว่าผู้ป่วยได้รับสารอาหารครบถ้วน
การรับประทานผัก ผลไม้ ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง ลาไส้ใหญ่ เมื่อเทียบกับการรับประทานกลุ่มอื่น
5.การดื่มสุราหรือเบียร์ อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
การสูบบุหรี่ ก็อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เช่นกัน
อาการและอาการแสดง
ไม่มีอาการเฉพาะของมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่จะเป็นอาการเช่นเดียวกับอาการของโรคลำไส้ทั่วๆ ไป
ท้องผูก สลับท้องเสียอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
อุจจาระเป็นมูกเลือด เป็นเลือดสด หรือสีดาคล้ายสีถ่าน
ลักษณะอุจจาระเรียวยาวกว่าปกติ
ปวดเบ่งเวลาถ่ายอุจจาระ
ปวดท้องอย่างรุนแรง
อาจมีคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย หรือซีดโดยไม่รู้สาเหตุ
อาจคลำก้อนได้ในท้อง
การวินิจฉัย
การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy)
–จะใช้ท่อที่มีขนาดเล็ก ยาวและมีกล้องวิดีโอขนาดเล็กติดอยู่ที่ปลายท่อ เพื่อใช้ในการมอนิเตอร์และเก็บรายละเอียดภายในลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และจะนำเครื่องมือผ่านเข้าไปในท่อและจิกตัวอย่างเนื้อเยื่อไปตรวจ เนื้อเยื่อที่เก็บมาจากผู้ป่วยจะถูกนำไปตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาความผิดปกติ ขั้นตอนถัดไปจะทำการผ่าติ่งเนื้อ
การตรวจเลือด
–จะทำการตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็งลำไส้ที่เรียกว่า carcinoembryonic antigen (CEA) ในบางครั้งมะเร็งลำไส้ใหญ่จะผลิตสาร CEA เมื่อมะเร็งเติบโตขึ้น ผลระดับ CEA ในเลือดจะช่วยให้สามารถทำนายอาการโรคและสามารถระบุการตอบสนองของโรคต่อการรักษา
การรักษา
การรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะเริ่มต้น
การตัดติ่งเนื้อ (Polypectomy) คือการนำติ่งเนื้อออกระหว่างการส่องกล้อง แพทย์จะแนะนำให้ทำการตัดติ่งเนื้อหากพบว่าเซลล์มะเร็งยังมีขนาดเล็กและมีปริมาณจำกัด และจะสามารถนำติ่งเนื้อออกได้ทั้งหมด การรักษาแบบนี้เหมาะสำหรับการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะเริ่มต้น
การผ่าตัดส่องกล้องแบบ Endoscopic mucosal resection
จะทำการนำติ่งเนื้อที่มีขนาดใหญ่ขึ้นออก ในช่วงทำการส่องกล้องจะใช้เครื่องมือเฉพาะทาง ในการนำติ่งเนื้อรวมถึงส่วนด้านในของลำไส้ใหญ่ออก
การผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic surgery) เป็นวิธีการรักษาด้วยการศัลยกรรมผ่าตัดผ่านกล้องในการตัดติ่งเนื้อ ที่ไม่สามารถทำการตัดออกได้ในช่วงการส่องกล้อง แพทย์จะทำการตัดรอยเล็กๆบริเวณผนังกล้ามเนื้อท้อง กล้องจะทำการแสดงภาพโครงสร้างด้านในลำไส้ใหญ่ผ่านทางหน้าจอวิดีโอมอนิเตอร์ และศัลยแพทย์จะทำการเก็บตัวอย่างจากต่อมน้ำเหลืองของบริเวณที่เกิดมะเร็ง
วิธีการผ่าตัดรูปแบบอื่นๆ หากพบว่าเซลล์มะเร็งมีการเติบโตและแพร่กระจายในลำไส้ใหญ่
การผ่าตัดลำไส้ใหญ่บางส่วนออก (partial colectomy) เป็นวิธีการผ่าตัดผ่านกล้องที่ศจะทำการผ่าตัดส่วนที่มะเร็งลุกลามในบริเวณลำไส้ใหญ่ รวมถึงจะทำการผ่าตัดส่วนเล็กๆของเนื้อเยื่อบริเวณปกติที่อยู่ด้านข้างของจุดที่เป็นมะเร็ง โดยส่วนใหญ่แล้วจะสามารถต่อส่วนที่ปกติด้านในของลำไส้ใหญ่และทวารหนักเข้าด้วยกันได้
การผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียง (Lymph node removal) คือการที่ศฝทำการผ่าตัดนำต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงออกในช่วงการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่ และนำส่วนที่ทำการผ่าตัด ไปตรวจสอบหาเซลล์มะเร็งเพิ่มเติม
การพยาบาล
ด้านร่างกาย การตรวจเยี่ยมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด ประเมินสภาพผู้ป่วย ความรู้สึกตัวและการรับรู้ สัญญาณชีพ ตรวจสอบการเตรียมความพร้อมก่อนการผ่าตัดจากรายงานและการสอบถามผู้ป่วย ได้แก่ การได้รับยาและสารน้ำ การงดน้ำ งดอาหาร การเตรียมความสะอาดของร่างกาย
สร้างสักับผู้ป่วย อธิบายให้ผู้ป่วยแต่ละรายทราบถึงขั้นตอบ วิธีการผ่าตัด สภาพแวดล้อมในห้องผ่าตัด เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความมั่นใจ รู้สึกปลอดภัยและมีทัศนคติที่ดีต่อการผ่าตัด
บันทึกทางการพยาบาลให้ครอบคลุม เพื่อส่งต่อข้อมูลและปัญหาของผู้ป่วย
Billroth I
ประโยชน์
เป็นการตัดส่วนปลายของกระเพาะอาหาร รวมทั้ง antrum ออกแล้วเอากระเพาะอาหารที่เหลือไปต่อกับ duodenum
ภาวะแทรกซ้อน
กรดไหลย้อน
ท้องร่วง
แผลผ่าตัดอักเสบ
ติดเชื้อในช่องอก
ตกเลือดภายใน
กระเพาะอาหารส่วนที่ผ่าตัดรั่ว
คลื่นไส้และอาเจียน
กรดในกระเพาะรั่วเข้าไปสู่หลอดอาหารทำให้เกิดแผล
หลอดอาหารแคบลงและตีบตัน
ลำไส้เลอุดตัน
การดูแลก่อนผ่าตัด
ตรวจร่างกายโดยละเอียด เช่น ตรวจเลือด อัลตราซาวด์ เอกซเรย์ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจสมรรถภาพของปอด
ประเมินภาวะโรคที่มีความเสี่ยงก่อนผ่าตัดเพื่อป้องกันผลกระทบที่เกิดขึ้น เช่น โรคหัวใจ
งดสูบบก่อนผ่าตัด 4 สัปดาห์
งดน้ำงดอาหารก่อนเข้ารับการผ่าตัดด 6-8 ชั่วโมง ถ้าต้องทานยาให้เป็นไปตามที่แพทย์สั่ง
ถ้าอยในระหว่างรับประทานยา อาหารเสริม สมุนไพรควรปรึกษาแพทย์ว่าสามารถรับประทานชนิดใดและต้องหยุดชนิดใดก่อนผ่าตัด
ประเมินสภาพจิตใจของผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
ให้ความรู้และคำแนะนะเกี่ยวกับการผ่าตัดเพื่อลดความวิตกกังวล
การดูแลหลังการผ่าตัด
ดูแลทางเดินหายใจ
ประเมิน ติดตามสัญญาณชีพ
ระวังอาการสําลัก
ประเมิน pain score
จัดท่านอนศีรษะกึ่งสูง
สังเกตุปริมาณเลือดบริเวณเเผลผ่าตัดและสาย drain
NPO ผู้ป่วย 4-5วัน
เริ่มให้ผู้ป่วยจิบน้ำทีละน้อย
ให้ความรู้ในการปฏิบัติตัวหลังผ่าตัด
เฝ้าระวังอาการแทรกซ้อนหลังผ่าตัด
Billrotn II
การดูแลหลังผ่าตัด
1.การฝึกการหายใจโดยเน้นขยายของทรวงอกส่วนล่าง
-โดยนำมือมาจับที่ชายโครงทั้งสองข้าง
-หายใจเข้าชายโครงบานออก หายใจออกชายโครงยุบ
2.การฝึกหายใจโดยใช้กระบังลม
-โดยนำมือทั้งสองข้างวางไว้ที่หน้าท้อง
-หายใจเข้าทางจมูกท้องป่องออก หายใจออกเป่าลมออกทางปากยาว ๆ
3.การฝึกการไอและ huffing เพื่อระบายเสมหะ
-โดยการนั่งกอดหมอนไว้ที่ท้อง ขณะไอให้กอดหมอนและโน้มตัวไปข้างหน้า
ประโยชน์
เป็นการตัดกระเพาะอาหารส่วนปลายแล้วเอากระเพาะอาหารส่วนที่เหลือไปต่อกับ jejunum
ภาวะแทรกซ้อน
กรดไหลย้อน
ท้องร่วง
แผลผ่าตัดอักเสบ
ติดเชื้อในช่องอก
ตกเลือดภายใน
กระเพาะอาหารส่วนที่ผ่าตัดรั่ว
คลื่นไส้และอาเจียน
กรดในกระเพาะรั่วเข้าไปสู่หลอดอาหารทำให้เกิดแผล
หลอดอาหารแคบลงหรือตีบลง
ลำไส้เลอุดตัน น้ำหนักตัวลด
การดูแลก่อนการผ่าตัด
ตรวจร่างกายโดยละเอียด เช่น ตรวจเลือด อัลตราซาวด์ เอกซเรย์ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจสมรรถภาพของปอด
ประเมินภาวะโรคที่มีความเสี่ยงก่อนผ่าตัดเพื่อป้องกันผลกระทบที่เกิดขึ้น เช่น โรคหัวใจ
งดสูบบก่อนผ่าตัด 4 สัปดาห์
งดน้ำงดอาหารก่อนเข้ารับการผ่าตัดด 6-8 ชั่วโมง ถ้าต้องทานยาให้เป็นไปตามที่แพทย์สั่ง
ถ้าอยในระหว่างรับประทานยา อาหารเสริม สมุนไพรควรปรึกษาแพทย์ว่าสามารถรับประทานชนิดใดและต้องหยุดชนิดใดก่อนผ่าตัด
ประเมินสภาพจิตใจของผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
ให้ความรู้และคำแนะนะเกี่ยวกับการผ่าตัดเพื่อลดความวิตกกังวล