Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พัฒนาการของสติปัญญาด้านภาษาในนักเรียนแต่ละวัย - Coggle Diagram
พัฒนาการของสติปัญญาด้านภาษาในนักเรียนแต่ละวัย
แนวคิดจิตวิเคราะห์ ซิกมันต์ ฟรอยด์
เป็นผู้เริ่มศึกษาพฤติกรรมและบุคลิกภาพด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ เชื่อว่าจิตมนุษย์เป็นพลังงานทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรม
จิตของมนุษย์มีระบบการทำงาน 3 ระดับ
จิตสำนึก
จิตกึ่งสำนึก
จิตไร้สำนึก
ขั้นตอนพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์ 5 ขั้นตอนได้แก่
ขั้นปาก อายุช่วงแรกเกิดจนถึง 1 ปี ใช้ปากเป็นเครื่องมือตอบสนองความต้องการ เช่น หิวจะร้องไห้ ไม่สบายจะร้องไห้
ขั้นทวารหนัก อายุช่วง 1-2 ปี วัยนี้จะได้รับการฝึกให้ถ่ายเป็นเวลาจนอาจส่งผลกระทบให้เด็กมีนิสัยที่เจ้าระเบียบและตรงต่อเวลาไม่ยืดหยุ่น
ขั้นอวัยวะเพศ อายุ 3-5 ปี เป็นวัยที่เด็กจะสนใจอวัยวะเพศของตนจะแสดงออกด้วยการลูบคลำอวัยวะเพศ
ขั้นแฝง อายุ6-12 เด็กวัยนี้จะสนใจกับการเข้าสังคมเป็นวัยที่พร้อมจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆและมีเหตุมีผลมากขึ้น
ขั้นต้องการทางเพศ อายุ 12 ปีขึ้นไป จะสนใจเพศตรงข้าม ต้องการเป็นอิสระจากพ่อแม่ ต้องการความสนใจและเป็นที่ยอมรับจากคนอื่น
ทฤษฎีพหุปัญญา ของการ์ดเนอร์
ปัญญาด้านภาษา (Linguistic Intelligence)
คือ ความสามารถในการใช้ภาษารูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่ภาษาพื้ นเมือง จนถึงภาษาอื่น ๆ ด้วย สามารถรับรู้ เข้าใจภาษาและสามารถสื่อภาษาให้ผู้อื่นเข้าใจได้ตามที่ต้องการ สําหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้ โดดเด่น มักจะเป็น กวี นักเขียน นักพูด นักหนังสือพิมพ์ ครู ทนายความ หรือนักการเมือง
ปัญญาด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ (Logical-Mathematical Intelligence) คือ ความสามารถในการคิดแบบมีเหตุและผล การคิดเชิงนามธรรม การคิดคาดการณ์ และการคิดคํานวณทางคณิตศาสตร์ สําหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้ โดดเด่น มักจะเป็น นักบัญชี นักสถิติ นักคณิตศาสตร์ นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์นักเขียนโปรแกรม หรือวิศวกร
ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ (Visual-Spatial Intelligence)คือ ความสามารถในการรับรู้ทางสายตาได้ดี สามารถมองเห็นพื้ นที่ รูปทรง ระยะทาง และตําแหน่ง อย่างสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน แล้วถ่ายทอดแสดงออกอย่างกลมกลืน มีความไวต่อการรับรู้ในเรื่องทิศทาง สําหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้ โดดเด่น จะมีทั้งสายวิทย์ และสายศิลป์ สายวิทย์ มักจะเป็น นักประดิษฐ์ วิศวกร ส่วนสายศิลป์ มักจะเป็นศิลปินในแขนงต่าง ๆ เช่น จิตรกร วาดรูป ระบายสี เขียนการ์ตูน นักปั้น นักออกแบบ ช่างภาพ หรือสถาปนิก
ปัญญาด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily-Kinesthetic Intelligence)คือ ความสามารถในการควบคุมและแสดงออกซึ่งความคิด ความรู้สึก โดยใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมถึงความสามารถในการใช้มือประดิษฐ์ ความคล่องแคล่ว ความแข็งแรง ความรวดเร็ว ความยืดหยุ่น ความประณีต และความไวทางประสาทสัมผัส สําหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้ โดดเด่น มักจะเป็น นักกีฬา หรือไม่ก็ศิลปินในแขนง นักแสดง นักฟ้อน นักเต้น นักเต้นบัลเลย์ หรือนักแสดงกายกรรม
ปัญญาด้านดนตรี (Musical Intelligence)คือ ความสามารถในการซึมซับ และเข้าถึงสุนทรียะทางดนตรี ทั้งการได้ยิน การรับรู้ การจดจํา และการแต่งเพลงสามารถจดจําจังหวะ ทํานอง และโครงสร้างทางดนตรีได้ดี และถ่ายทอดออกมาโดยการฮัมเพลง เคาะจังหวะ เล่นดนตรี และร้องเพลง สําหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้ โดดเด่น มักจะเป็น นักดนตรี นักประพันธ์เพลง หรือนักร้อง
ปัญญาด้านมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal Intelligence)คือ ความสามารถในการเข้าใจผู้อื่น ทั้งด้านความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ และเจตนาที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน มีความไวในการสังเกต สีหน้า ท่าทาง นํ้าเสียง สามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสม สร้างมิตรภาพได้ง่าย เจรจาต่อรอง ลดความขัดแย้ง สามารถจูงใจผู้อื่นได้ดี เป็นปัญญาด้านที่จําเป็นต้องมีอยู่ในทุกคน สําหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้ โดดเด่น มักจะเป็น
ครูบาอาจารย์ นักการทูต เซลล์แมน พนักงานขายตรง พนักงานต้อนรับ ประชาสัมพันธ์ นักการเมือง หรือนักธุรกิจ
ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence)คือ ความสามารถในการรู้จัก ตระหนักรู้ในตนเอง สามารถเท่าทันตนเอง ควบคุมการแสดงออกอย่างเหมาะสมตามกาลเทศะ และสถานการณ์ รู้ว่าเมื่อไหร่ควรเผชิญหน้า เมื่อไหร่ควรหลีกเลี่ยง เมื่อไหร่ต้องขอความช่วยเหลือ มองภาพตนเองตามความเป็นจริง รู้ถึงจุดอ่อน หรือข้อบกพร่องของตนเอง ในขณะเดียวกันก็รู้ว่าตนมีจุดแข็ง หรือความสามารถในเรื่องใด มีความรู้เท่าทันอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ความคาดหวัง ความปรารถนา และตัวตนของตนเองอย่างแท้จริง เป็นปัญญาด้านที่จําเป็นต้องมีอยู่เพื่อให้สามารถดํารงชีวิตอย่างมีคุณค่า และมีความสุข สําหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้ โดดเด่น มักจะเป็น นักคิด นักปรัชญา หรือนักวิจัย
ปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา (Naturalist Intelligence)
คือ ความสามารถในการรู้จัก และเข้าใจธรรมชาติอย่างลึกซึ้ ง เข้าใจกฎเกณฑ์ ปรากฏการณ์ และการรังสรรค์ต่าง ๆของธรรมชาติ มีความไวในการสังเกต เพื่อคาดการณ์ความเป็นไปของธรรมชาติ มีความสามารถในการจัดจําแนก
แยกแยะประเภทของสิ่งมีชีวิต ทั้งพืชและสัตว์ สําหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้ โดดเด่น มักจะเป็น นักธรณีวิทยานักวิจัย
นักวิทยาศาสตร์ หรือนักสํารวจธรรมชาติ
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา บรูเนอร์
บรูเนอร์ เชื่อว่า การเรียนรู้เกิดจากการมีปฎิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเองโดยเน้นวัฒนธรรมกับพัฒนาการด้านสติปัญญา
ขั้นของพัฒนการ
ระดับอนุบาลและระดับประถมต้น
เด็กวัยอนุบาลจะอยู่ในระดับ Iconic representation ซึ่งการเรียนรู้ต่างๆ อยู่ในลักษณะของการกระทำ โดยผ่านประสบการณ์ที่ได้พบเห็นและการรับรู้ต่างๆ เด็กประถมต้นยังอยู่ในวัย Iconic representation เด็กวัยนี้สามารถสร้างภาพในใจได้
ระดับประถมปลาย
เด็กในระดับประถมปลายมีพัฒนาจาก Iconic representation ไปสู่ symbolic representation ซึ่งสิ่งที่บรูเนอร์เน้นที่คล้ายคลึงกับแนวความคิดของเปียเจท์ในหลักการทั่วไป
ระดับมัธยมศึกษา
การใช้สัญลักษณ์ ( symbolic representation ) ของเด็กวัยนี้เป็นไปอย่างกว้างขึ้น ครูมีวิธีช่วยให้พัฒนาขึ้นไปอีกโดยการกระตุ้นให้ใช้ discovery approach โดยเน้นความเข้าใจ concept และสิ่งที่เป็นนามธรรมต่างๆ
ลำดับขั้นพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กหรือโครงสร้างทางสติปัญญา
ขั้นที่ 1 Enactive representation
(แรกเกิด – 2 ขวบ )
ในวัยนี้ เด็กจะมีการพัฒนาการทางสติปัญญา โดยใช้การกระทำเป็นการเรียนรู้ หรือเรียกว่า Enactive mode เด็กจะใช้การสัมผัส เช่น จับต้องด้วยมือ ผลัก ดึง สิ่งที่สำคัญเด็กจะต้องลงมือกระโดดด้วยตนเอง เช่น การเลียนแบบ หรือการลงมือกระทำกับวัตถุสิ่งของ ต่างกับผู้ใหญ่ ที่จะใช้ทักษะที่ซับซ้อน เช่น ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ เป็นต้น
ขั้นที่ 2 Iconic representation
นพัฒนาขั้นนี้ จะเป็นการใช้ความคิด เด็กสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ ที่เกิดจากการมองเห็น การสัมผัส โดยการนึกมโนภาพ การสร้างจินตนาการ พัฒนาการนี้จะเพิ่มขึ้นตามอายุของเด็ก ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งสร้างจินตนาการได้มากขึ้น การเรียนรู้ในขั้นนี้เรียกว่า Iconic mode เด็กจะสามารถเรียนรู้โดยการใช้ภาพแทนการสัมผัสของจริง บรูเนอร์ได้เสนอแนะ ให้นำโสตทัศนวัสดุมาใช้ในการสอน เช่น บัตรคำ ภาพนิ่ง เพื่อที่จะช่วยเสริมสร้างจินตนาการให้กับเด็ก
ขั้นที่ 3 Symbolic representation
ในพัฒนาการทางขั้นนี้ บรูเนอร์ถือว่าเป็นการพัฒนาการขั้นสูงสุดของความรู้ความเข้าใจ เช่น การคิดเชิงเหตุผล หรือการแก้ปัญหา วิธีการเรียนรู้ขั้นนี้เรียกว่า Symbolic mode ซึ่งผู้เรียนจะใช้ในการเรียนได้เมื่อมีความเข้าใจในสิ่งที่เป็นนามธรรม