Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ระบบหัวใจและหลอดเลือด - Coggle Diagram
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ภาวะหัวใจล้มเหลว Congestive Heart failure
การวินิจฉัย
ประวัติ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เช่น การติดเชื้อ
ตรวจการทำงานของหัวใจโดยวัดเสียงสะท้อนของคลื่นเสียงความถี่สูงพร้อมการวัดการไหลของเลือด
การตรวจร่างกาย ดูลักษณะทั่วไป ตรวจบริเวณทรวงอก ท้อง ชีพจร การเต้นของเลือดดำที่คอ การดู Hepato-jugular reflex
การตรวจผลทางห้องปฎิบัติการ เพื่อประเมินสภาวะของ electrolytes และสารน้ำ
การรักษา
การรักษาแบบใช้ยา pharmacological therapy
ยาที่ใช้ในภาวะหัวใจล้มเหลว
ยาที่มีผลลด prelode
Thiazides
Loop diuretics เช่น furosemide
Diuretics
ยาที่มีผลเพิ่ม cardiac contractility (positive inotropic)
Digoxin
Catecholamines ยาที่ใช้คือ dopamine และ dobutamine
การรักษาแบบไม่ใช้ยา non-pharmacological therapy
จำกัดการออกกำลังกายในช่วงหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ลดภาระการทำงานของหัวใจ ลดการกระตุ้น sympathetic nerous system
ให้ oxgen แก่ผู้ป่วยเพิ่มระดับ oxgen ในกระแสเลือดลดการหายใจหอบเหนื่อยเพิ่มการส่งออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อ
ค้นหาและกำจัด เช่น หยุดยา NSAIDs,corticosteroids,negative inotropic drugs เช่น beta blockers หรือ calcium channel blocker
สาเหตุ
โรคความดันโลหิตสูง
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก
โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างเต็มที่
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบที่อาจเกิดจากแอลกอฮอล์ และสารเสพติด
ความผิดปกติของหัวใจโดยกำเนิด
การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น โรคเอดส์ เป็นต้น
รับประทานยาที่ทำให้เกิดการกดการทำงานของหัวใจ
รับประทานอาหารเค็มในปริมาณมากเกินไป
สูบบุหรี่เป็นประจำ
กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
เคยได้รับเคมีบำบัดหรือการฉายแสงมาก่อน
การพยาบาล
ลดภาระงานของหัวใจ
รักษาสมดุลสารน้ำให้เหมาะสม
เฝ้าระวังการลดลงของปริมาตรเลือดที่หัวใจส่งออกต่อนาที
รักษาสมดุลระหว่างการได้รับและการใช้ออกซิเจนของหัวใจ
ติดตามและประเมินผลการรักษาด้วยยาและให้ความรู้กับผู้ป่วย
อาการแสดง
หายใจถี่ (หายใจลำบาก) เมื่อคุณออกแรงหรือนอนราบ
อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
อาการบวม (บวมน้ำ) ที่ท้อง หน้าแข้ง และหลังเท้า
หัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกติ
ความสามารถในการออกกำลังกายลดลง
ไอหรือหายใจดังเสียงฮืดๆ โดยอาจมีเสมหะสีขาวหรือสีชมพูปนเลือด
อาการบวมที่ท้อง (น้ำในช่องท้อง)
น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (มักจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 กิโลกรัมภายใน 24 ชั่วโมง)
Pericarditis เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
การวินิจฉัย
การตรวจทางห้องปฎิบัติการ
CBC และ ESR (อัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง) WBC สูง
ทดสอบ Tuberculosis วัณโรค
การตรวจพิเศษ
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ : ST และ T เปลี่ยนแปลง ความสูงของ QRS complex ลดลง อาจพบ sinus tachycardia หรือ Atrial flutter
Chest x-ray ไม่มีน้ำ-ปกติ มีน้ำ-มากกว่า 500 ML-ขนาดหัวใจโตขึ้น
การเจาะน้ำจากเยื่อหุ้มหัวใจ Preicardiocentesis การเจาะระบายของเหลวออกจากเยื่อหุ้มหัวใจ เพื่อรักษาภาวะหัวใจถูกกด
ECG/EKG ST wave และ T wave เปลี่ยนแปลง QRS complex ลดลงจากมีน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจ อาจพบ sinus tachycardia หรือ fiutter
การตรวจร่างกาย
อาการแสดงของน้ำขังในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ เสียงของหัวใจค่อยลง แรงกระแทกจากยอดหัวใจค่อยลง การโป่งตึงของหลอดเลือดดำที่คอ
Precordial friction rub การเสียดสีของเยื่อหุ้มหัวใจ
การซักประวัติ ประวัติการเจ็บป่วยทั้งในอดีตและปัจจุบัน
อาการและอาการแสดง
เสียงเสียดสีระหว่างเยื่อหุ้มหัวใจทั้งสองข้างในขณะที่หัวใจเคลื่อนไหว
หายใจลำบาก ไข้ หนาวสั่น
เจ็บหน้าอก
การรักษา
Acute pericarditis ใช้ยากลุ่มที่ช่วยลดการอักเสบ
NSAID
corticosteroid
ในขั้นต้นแพทย์อาจสั่งยาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บและลดการอักเสบ และให้พักรักษาตัวที่บ้าน
หากการอักเสบเกิดจากการติดเชื้อ แพทย์อาจให้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลและให้ยาปฏิชีวนะ หากมีภาวะบีบรัดหัวใจ คือมีของเหลวในถุงเยื่อหุ้มหัวใจ ต้องได้รับการรักษาโดยการเจาะน้ำในช่องเยื่อหุ้มหัวใจออก โดยใช้เข็มและท่อขนาดเล็กระบายน้ำออกมา
หากการอักเสบเรื้อรังจนทำให้เยื่อหุ้มหัวใจมีการหนาตัวเป็นพังผืดและมีหินปูนเกาะ ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจโดยเฉพาะช่วงที่หัวใจคลายตัวเพื่อรับเลือดเข้าหัวใจ วิธีที่ดีที่สุดคือการผ่าตัดเลาะเยื่อหุ้มหัวใจที่บีบรัดออก ทำให้การคลายตัวของหัวใจดีขึ้น
Chronic pericarditis
แนะนำให้ผ่าตัดเยื่อหุ้มหัวใจ
หากไม่สามารถผ่าได้ สามารถรักษาด้วยการรับประทานยา เช่น เดียวกับ acute pericarditis
สาเหตุ
การอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย
ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะผู้ที่มีเชื้อไวรัสในระบบทางเดินอาหาร หรือเชื้อแบคทีเรียอย่างวัณโรค
โรคหัวใจขาดเลือดอาจทำให้เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบทันทีหลังเกิดภาวะหัวใจขาดเลือด เนื่องจากความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจ หรืออาจเกิดขึ้นหลังจากภาวะหัวใจขาดเลือดและการผ่าตัดหัวใจประมาณ 2–3 สัปดาห์
เนื้องอกกดทับเยื่อหุ้มหัวใจ
โรคทางพันธุกรรม อย่างโรคไข้เมดิเตอร์เรเนียน (Familial Mediterranean Fever)
โรคอื่น ๆ เช่น ภาวะไตวาย โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Lupus) โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) เอดส์ มะเร็ง หรือเกาต์ เป็นต้น
การได้รับบาดเจ็บบริเวณหน้าอกหรือใกล้หัวใจ ซึ่งมักเกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
การรักษาด้วยการฉายรังสี (Radiation Treatment) การสวนหัวใจและหลอดเลือด (Cardiac Catheterization) หรือการรักษาด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency Ablation)
autoimmune
ไม่ติดเชื้อ
การติดเชื้อ
การพยาบาล
มุ่งเน้นในการบรรเทาอาการเจ็บหน้าอกโดยการอักเสบ
ฟังเสียงหัวใจอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง ในระยะเฉียบพลัน
ช่วยเหลือการทำกิจวัตรประจำวัน
วัด vital sign ทุก 4 ชั่วโมง
แนะนำให้นั่งก้มหน้าไปข้างหน้า อาการจะดีขึ้น
ติดตามผล EKG สังเกตหลอดเลือดดำที่คอโป่ง
ให้มีกิจกรรมบนเตียง นอนศีรษะสูงเล็กน้อย
ให้ยาแก้อักเสบตามแผนการรักษา
ประเมินอาการเจ็บหน้าอก ให้ยาแก้ปวด Analgesics ตามแนวการรักษาของแพทย์
ดูแลด้านจิตใจ ลดความวิตกกังวลของผู้ป่วย
ให้ผู้ป่วยอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ร้อนเกินไป
อาการและอาการแสดง
เจ็บแปลบในช่องอกช่วงบริเวณใต้ต่อกระดูกอกร่วมกับปวดไหล่ด้านใดด้านหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้าง อาการจะดีขึ้นเมื่อนั่งเอนตัวมาข้างหน้า แต่จะแย่ลงเมื่อนอนราบ และเจ็บแปลบเมื่อหายใจลึก ๆ หรือหายใจเข้าแรง ๆ
มีไข้ อ่อนเพลีย และเวียนศีรษะ เบื่ออาหาร
ใจสั่น
ความดันโลหิตต่ำ
หายใจลำบาก ไอแห้ง ๆ
Pulmonary Embolism ลิ่มเลือดอุดตันในปอด
การรักษา
การรักษาโดยการใช้ยา
การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาที่นิยมใช้ ได้แก่ ยาเฮพาริน ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์เร็ว โดยแพทย์จะฉีดยาเข้าทางหลอดเลือดดำหรือใต้ผิวหนัง นิยมใช้คู่กับการรับประทานยาวาร์ฟารินเป็นเวลาหลายวันจนกว่าจะเห็นผล อย่างไรก็ตาม การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น มีเลือดออกง่าย เป็นต้น
การใช้ยาสลายลิ่มเลือด แม้ลิ่มเลือดมักสลายไปเองได้ แต่ยาสลายลิ่มเลือดจะเร่งให้ลิ่มเลือดสลายตัวเร็วขึ้น โดยยาสลายลิ่มเลือดอาจทำให้มีเลือดออกมากผิดปกติได้ ดังนั้น ยาชนิดนี้จึงถูกนำมาใช้เฉพาะกรณีที่ผู้ป่วยอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือเสี่ยงเป็นอันตรายต่อชีวิตเท่านั้น
การสอดท่อเข้าทางหลอดเลือด ในกรณีที่ลิ่มเลือดมีขนาดใหญ่และเป็นอันตรายต่อชีวิต แพทย์จะสอดท่อเข้าทางหลอดเลือดเพื่อกำจัดลิ่มเลือดที่อุดตัน
การใช้ตะแกรงกรองลิ่มเลือด เพื่อกรองลิ่มเลือดไม่ให้ไปอุดกั้นที่ปอด โดยแพทย์จะใส่ตะแกรงบริเวณหลอดเลือดดำใหญ่อินฟิเรียร์เวนาคาวา ซึ่งเป็นหลอดเลือดที่ส่งตรงจากขามาสู่หัวใจห้องขวา เหมาะสำหรับรักษาผู้ที่ไม่สามารถรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดได้ หรือรับประทานยารักษาแล้วไม่ได้ผล
การผ่าตัด แพทย์จะผ่าตัดกำจัดลิ่มเลือดในกรณีที่ผู้ป่วยอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีอาการช็อก ไม่สามารถใช้ยาละลายลิ่มเลือดได้ หรือรักษาด้วยการใช้ยาอื่น ๆ แล้วไม่ได้ผล
การพยาบาล
ไม่ให้ผู้ป่วยนั่งหรือยืนท่าเดิมนานๆ
ดูภาวะแทรกซ้อน
เมื่อเกิดโรค Pulmonary Embolism หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อผลักดันให้เลือดไหลเวียนเข้าสู่หลอดเลือดที่มีลิ่มเลือดอุดกั้นอยู่ จึงอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน คือ ความดันเลือดในปอดหรือหัวใจห้องซ้ายสูง ซึ่งจะส่งผลให้หัวใจอ่อนกำลังลงได้ และเมื่อเวลาผ่านไปก็อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะความดันในปอดสูงเรื้อรัง ซึ่งภาวะเหล่านี้อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
วัดสัญญาณชีพทุก 4ชั่วโมง เฝ้าระวังความดัน
ให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อไม่ให้เกิดลึ่มเลือด
ใส่ถุงน่องแบบรัดเพื่อช่วยการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณขาให้ดีขึ้นและป้องกันการเกิดลิ่มเลือด
การวินิจฉัย
จะวินิจฉัยจากประวัติและอาการของผู้ป่วย เช่น หายใจหอบเหนื่อย มีระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ หัวใจเต้นเร็ว มีหลอดเลือดโป่งที่คอ พบลิ่มเลือดอุดตันที่ขา มีเส้นเลือดขอด หรือเป็นผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง เช่น มีอายุมากกว่า 60 ปี มีประวัติการเกิดลิ่มเลือดมาก่อน
การตรวจเลือด เพื่อหาค่าดีไดเมอร์ (D-Dimer) ซึ่งเป็นค่าที่บอกถึงการมีลิ่มเลือดในหลอดเลือด แต่ปัจจัยอื่น ๆ ก็อาจส่งผลต่อค่าดีไดเมอร์ได้เช่นกัน รวมถึงตรวจระดับออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด หากก๊าซเหล่านี้ลดต่ำลงแสดงว่าอาจมีลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด
การเอกซเรย์ทรวงอก แสดงให้เห็นถึงการทำงานของปอดและหัวใจ โดยบางครั้งอาจพบว่าเนื้อปอดบางจุดมีปริมาณหลอดเลือดลดลง
การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อตรวจความผิดปกติภายในหลอดเลือดแดงที่ปอด หรือแพทย์อาจวินิจฉัยด้วยวิธี V/Q Scan เพื่อตรวจอากาศและเลือดภายในปอด หากพบว่ามีอากาศแต่ไม่มีเลือดไปเลี้ยงในปอด อาจแสดงว่าผู้ป่วยเป็นโรค Pulmonary Embolism ได้
การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสร้างภาพอวัยวะภายในที่ต้องการตรวจ เหมาะสำหรับการวินิจฉัยโรคในหญิงตั้งครรภ์ เพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์
การอัลตราซาวด์ เพื่อตรวจหาลิ่มเลือดในหลอดเลือดบริเวณขาและหลังหัวเข่า
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ส่วนใหญ่พบว่าผู้ป่วยโรคนี้มีภาวะหัวใจเต้นเร็ว และอาจพบคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่บ่งชี้ถึงภาวะลิ่มเลื่อดอุดตันได้
EKG พบความผิดปกติของ T wave
การฉีดสีดูหลอดเลือดปอด เป็นวิธีการวินิจฉัยที่แม่นยำและชัดเจน แพทย์มักเลือกใช้วิธีการนี้เมื่อไม่สามารถวินิจฉัยด้วยวิธีการอื่น ๆ แต่การฉีดสีดูหลอดเลือดปอดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะชั่วคราว หรือสีที่ใช้อาจส่งผลให้ไตเกิดความเสียหายสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของไต
Chest x-ray Echocardiography การตรวจสวนหัวใจ
BP ต่ำ ฟังเสียงหัวใจได้เสียง Gallop และ Pericardial rub
สาเหตุ
ลิ่มเลือดที่อุดตันบริเวณหลอดเลือดขาหลุดไปอุดกั้นหลอดเลือดปอด และบางครั้งอาจเกิดจากการอุดตันของไขมัน คอลลาเจน เนื้อเยื่อ เนื้องอก หรือฟองอากาศในหลอดเลือดปอด
อายุ ผู้ที่มีอายุมากเสี่ยงเผชิญโรคนี้ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
พันธุกรรม หากสมาชิกในครอบครัวเคยเป็นโรคนี้หรือมีภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำมาก่อน ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคได้มากขึ้น
อุบัติเหตุ เช่น กระดูกหัก หรือกล้ามเนื้อฉีก อาจทำให้หลอดเลือดเกิดความเสียหายจนเกิดลิ่มเลือดได้
การเจ็บป่วยด้วยโรคบางชนิด เช่น โรคหัวใจ โดยเฉพาะภาวะหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งตับอ่อน โรคมะเร็งรังไข่ โรคมะเร็งปอด และโรคมะเร็งอื่น ๆ ที่มีการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้าย
การรักษาโรค เช่น การผ่าตัดใหญ่ หรือการทำเคมีบำบัด อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดลิ่มเลือดได้เช่นกัน
ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน เช่น การนอนบนเตียงเนื่องจากความเจ็บป่วยหลังการผ่าตัดหรือหลังได้รับอุบัติเหตุ การใส่เฝือก การนั่งโดยสารเครื่องบินหรือรถยนต์เป็นเวลานาน รวมถึงมีอาชีพที่ต้องนั่งเป็นเวลานาน เช่น พนักงานออฟฟิศ เพราะอาจทำให้เลือดไหลเวียนช้าลงและเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือด
การสูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่เสี่ยงต่อโรคนี้และเสี่ยงเผชิญปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ร่วมด้วย
ภาวะน้ำหนักตัวเกิน รวมถึงโรคอ้วน อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ได้ โดยเฉพาะผู้หญิงอ้วนหรือมีน้ำหนักเกินที่สูบบุหรี่หรือมีความดันโลหิตสูง
การตั้งครรภ์ น้ำหนักของทารกในครรภ์อาจไปกดทับเส้นเลือดดำบริเวณกระดูกเชิงกราน ทำให้เลือดไหวเวียนได้ช้าลงจนเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือด
การใช้ฮอร์โมนเสริม ความเสี่ยงในการเกิดเลือดแข็งตัวจนเป็นลิ่มเลือดอาจเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนหรือเทสโทสเตอโรน ซึ่งอาจมาจากการใช้ยาคุมกำเนิดหรือการใช้ฮอร์โมนทดแทน และความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นหากเป็นผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินหรือสูบบุหรี่
อาการและอาการแสดง
เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก
เจ็บหน้าอกเวลาหายใจ
ไอแห้งๆ
หน้ามืด เวียนศีรษะ
ใจสั่น ใจเต้นเร็ว
Coronary artery disease (IHD) หัวใจขาดเลือด
สาเหตุ
อายุ ผู้ที่มีอายุมากเสี่ยงเผชิญโรคนี้ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
พันธุกรรม หากสมาชิกในครอบครัวเคยเป็นโรคนี้หรือมีภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำมาก่อน ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคได้มากขึ้น
อุบัติเหตุ เช่น กระดูกหัก หรือกล้ามเนื้อฉีก อาจทำให้หลอดเลือดเกิดความเสียหายจนเกิดลิ่มเลือดได้
การเจ็บป่วยด้วยโรคบางชนิด เช่น โรคหัวใจ โดยเฉพาะภาวะหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งตับอ่อน โรคมะเร็งรังไข่ โรคมะเร็งปอด และโรคมะเร็งอื่น ๆ ที่มีการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้าย
การรักษาโรค เช่น การผ่าตัดใหญ่ หรือการทำเคมีบำบัด อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดลิ่มเลือดได้เช่นกัน
ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน เช่น การนอนบนเตียงเนื่องจากความเจ็บป่วยหลังการผ่าตัดหรือหลังได้รับอุบัติเหตุ การใส่เฝือก การนั่งโดยสารเครื่องบินหรือรถยนต์เป็นเวลานาน รวมถึงมีอาชีพที่ต้องนั่งเป็นเวลานาน เช่น พนักงานออฟฟิศ เพราะอาจทำให้เลือดไหลเวียนช้าลงและเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือด
การสูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่เสี่ยงต่อโรคนี้และเสี่ยงเผชิญปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ร่วมด้วย
ภาวะน้ำหนักตัวเกิน รวมถึงโรคอ้วน อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ได้ โดยเฉพาะผู้หญิงอ้วนหรือมีน้ำหนักเกินที่สูบบุหรี่หรือมีความดันโลหิตสูง
การตั้งครรภ์ น้ำหนักของทารกในครรภ์อาจไปกดทับเส้นเลือดดำบริเวณกระดูกเชิงกราน ทำให้เลือดไหวเวียนได้ช้าลงจนเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือด
การใช้ฮอร์โมนเสริม ความเสี่ยงในการเกิดเลือดแข็งตัวจนเป็นลิ่มเลือดอาจเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนหรือเทสโทสเตอโรน ซึ่งอาจมาจากการใช้ยาคุมกำเนิดหรือการใช้ฮอร์โมนทดแทน และความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นหากเป็นผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินหรือสูบบุหรี่
การวินิจฉัย
การตรวจเลือด เพื่อหาค่าดีไดเมอร์ (D-Dimer) ซึ่งเป็นค่าที่บอกถึงการมีลิ่มเลือดในหลอดเลือด แต่ปัจจัยอื่น ๆ ก็อาจส่งผลต่อค่าดีไดเมอร์ได้เช่นกัน รวมถึงตรวจระดับออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด หากก๊าซเหล่านี้ลดต่ำลงแสดงว่าอาจมีลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด
การเอกซเรย์ทรวงอก แม้วิธีนี้จะไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ แต่จะแสดงให้เห็นถึงการทำงานของปอดและหัวใจ โดยบางครั้งอาจพบว่าเนื้อปอดบางจุดมีปริมาณหลอดเลือดลดลง ซึ่งแพทย์จะวินิจฉัยต่อไปว่าเกิดจากโรคนี้หรือไม่
การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อตรวจความผิดปกติภายในหลอดเลือดแดงที่ปอด หรือแพทย์อาจวินิจฉัยด้วยวิธี V/Q Scan เพื่อตรวจอากาศและเลือดภายในปอด หากพบว่ามีอากาศแต่ไม่มีเลือดไปเลี้ยงในปอด อาจแสดงว่าผู้ป่วยเป็นโรค Pulmonary Embolism ได้
การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสร้างภาพอวัยวะภายในที่ต้องการตรวจ เหมาะสำหรับการวินิจฉัยโรคในหญิงตั้งครรภ์ เพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์
การอัลตราซาวด์ เพื่อตรวจหาลิ่มเลือดในหลอดเลือดบริเวณขาและหลังหัวเข่า
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ส่วนใหญ่พบว่าผู้ป่วยโรคนี้มีภาวะหัวใจเต้นเร็ว และอาจพบคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่บ่งชี้ถึงภาวะลิ่มเลื่อดอุดตันได้
การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ วิธีนี้จะแสดงให้เห็นว่าหัวใจห้องล่างขวาโต เบียดผนังกั้นหัวใจห้องล่างไปทางหัวใจห้องล่างซ้าย และอาจมีลิ้นหัวใจไตรคัสปิดรั่ว ซึ่งบ่งบอกว่ามีความดันในปอดสูงที่อาจเกิดจากโรคนี้ นอกจากนี้ การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจยังสามารถใช้แยกสาเหตุอื่น ๆ ของการป่วยได้ด้วย
การฉีดสีดูหลอดเลือดปอด เป็นวิธีการวินิจฉัยที่แม่นยำและชัดเจน แพทย์มักเลือกใช้วิธีการนี้เมื่อไม่สามารถวินิจฉัยด้วยวิธีการอื่น ๆ แต่การฉีดสีดูหลอดเลือดปอดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะชั่วคราว หรือสีที่ใช้อาจส่งผลให้ไตเกิดความเสียหายสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของไต
การพยาบาล
ให้ออกซิเจน 2 ลิตร/นาที keep O2 มากกว่า 92%
ให้ยาแก้เจ็บแน่นหน้าอก Morphine 2-3 mg. IVdilute 10ml
ให้ aspirin 160-350mg เคี้ยวแล้วกลืนทันที clopidogrel 75mg 4 tabs oral stat
ดูแลให้ NTG อมใต้ลิ้นและตามด้วย NTG IV drip ถ้ายังมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกหรือมีอาการหัวใจวาย
ดูแลการให้สารน้ำตามแผนการรักษา
เปิดเส้นให้ IV fluid และบริหารยาลด afterload vasodilate
จัดท่านอนศีรษะสูง
การรักษา
การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาที่นิยมใช้ ได้แก่ ยาเฮพาริน ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์เร็ว โดยแพทย์จะฉีดยาเข้าทางหลอดเลือดดำหรือใต้ผิวหนัง นิยมใช้คู่กับการรับประทานยาวาร์ฟารินเป็นเวลาหลายวันจนกว่าจะเห็นผล อย่างไรก็ตาม การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น มีเลือดออกง่าย เป็นต้น
การใช้ยาสลายลิ่มเลือด แม้ลิ่มเลือดมักสลายไปเองได้ แต่ยาสลายลิ่มเลือดจะเร่งให้ลิ่มเลือดสลายตัวเร็วขึ้น โดยยาสลายลิ่มเลือดอาจทำให้มีเลือดออกมากผิดปกติได้ ดังนั้น ยาชนิดนี้จึงถูกนำมาใช้เฉพาะกรณีที่ผู้ป่วยอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือเสี่ยงเป็นอันตรายต่อชีวิตเท่านั้น
การสอดท่อเข้าทางหลอดเลือด ในกรณีที่ลิ่มเลือดมีขนาดใหญ่และเป็นอันตรายต่อชีวิต แพทย์จะสอดท่อเข้าทางหลอดเลือดเพื่อกำจัดลิ่มเลือดที่อุดตัน
การใช้ตะแกรงกรองลิ่มเลือด เพื่อกรองลิ่มเลือดไม่ให้ไปอุดกั้นที่ปอด โดยแพทย์จะใส่ตะแกรงบริเวณหลอดเลือดดำใหญ่อินฟิเรียร์เวนาคาวา ซึ่งเป็นหลอดเลือดที่ส่งตรงจากขามาสู่หัวใจห้องขวา เหมาะสำหรับรักษาผู้ที่ไม่สามารถรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดได้ หรือรับประทานยารักษาแล้วไม่ได้ผล
การผ่าตัด แพทย์จะผ่าตัดกำจัดลิ่มเลือดในกรณีที่ผู้ป่วยอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีอาการช็อก ไม่สามารถใช้ยาละลายลิ่มเลือดได้ หรือรักษาด้วยการใช้ยาอื่น ๆ แล้วไม่ได้ผล
อาการและอาการแสดง
หายใจลำบากหรือหายใจไม่ออก ซึ่งมักเกิดขึ้นฉับพลัน และอาการมักแย่ลงเมื่อผู้ป่วยออกแรงหรือออกกำลังกาย
เจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก ผู้ป่วยอาจมีอาการแย่ลงในขณะที่หายใจเข้าลึก ๆ เมื่อไอ รับประทานอาหาร ตอนที่โค้งหรืองอตัว อีกทั้งอาการจะแย่ลงเมื่อมีการออกแรง และอาการเจ็บหน้าอกจะไม่หายไปแม้นั่งพักแล้วก็ตาม
ไอ ผู้ป่วยอาจไอแล้วมีเลือดปนมากับเสมหะ หรือไอเป็นเลือด
การสวนหัวใจ (Coronary Artery Angiography) CAG
การดูแลก่อนทำ
บอกประวัติการแพ้ยาแพ้อาหารรวมถึงโรคประจำตัวกับแพทย์ สำหรับผู้หญิงให้บอกแพทย์หากมีประจำเดือน
ก่อนเข้ารับหัตถการสวนหัวใจต้องงดน้ำงดอาหารเป็นเวลา 4 ชั่วโมงขึ้นไป
วันตรวจรับประทานยาประจำตัวได้ตามปกติ แต่ห้ามทานยาเบาหวาน หรือยาขับปัสสาวะ และยาบางชนิดตามคำแนะนำของแพทย์
การดูแลหลังทำ
หากทำบริเวณขาหนีบต้องนอนราบไม่ลุกนั่งประมาณ 6 ถึง 8 ชั่วโมง
หากบริเวณที่ทำหัตถการสวนหัวใจมีความผิดปกติเช่น มีอาการเย็นและซีด หรือรู้สึกเจ็บหน้าอก ใจสั่น คลื่นไส้อาเจียน เวียนศีรษะให้ปรึกษาแพทย์ทันที
หากไม่มีอาการผิดปกติสามารถทานอาหารได้ แต่หากพบความผิดปกติควรปรึกษาแพทย์ก่อน
ประโยชน์
การสวนหัวใจ คือ การฉีดสารทึบ รังสีดูช่องทางเดินของหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ เป็นกระบวนการที่ล่วงล้ำร่างกายเพียงเล็กน้อย แต่ช่วยให้แพทย์สามารถประเมินได้ว่า หลอดเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบ-ตันบ้างหรือไม่ กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงเพียงใด ลิ้นหัวใจเปิดปิดได้ดีเพียงใด สามารถวัดความดันภายในหัวใจและส่วนต่างๆ ของหัวใจได้
การดูแลระหว่างทำ
หลังจากงดน้ำงดอาหารประมาณ 4 ชั่วโมงแล้ว จะเริ่มทำความสะอาดบริเวณที่จะทำการหัตถการ ก่อนจะฉีดยาชาและเริ่มทำการสอดสายสวนหัวใจ เมื่อถึงหัวใจแล้วจะเริ่มฉีดสีเพื่อทำการเอกซเรย์ ตลอดการสวนหัวใจจะใช้เวลาประมาณ 30 ถึง 60 นาที เสร็จแล้วแพทย์จะนำสายสวนออกและปิดแผลห้ามเลือดเข้าสู่ขั้นตอนการดูแลพักฟื้นต่อไป
ภาวะแทรกซ้อน
อาการเจ็บที่แผล อาจมีอาการห้อเลือด เนื่องจากแพทย์จะทำการใส่สายสวนเข้าไปในหลอดเลือดแดง และอาจพบอาการแพ้สีที่ฉีดเข้าไปในผู้ป่วยบางราย สำหรับภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ อัมพฤกษ์ การผ่าตัดฉุกเฉิน หรือเสียชีวิต
การผ่าตัดหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ Coronary Artery Bypass Grafting (CABG)
การดูแลก่อนผ่าตัด
รับประทานอาหารและยาตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด
หยุดกิจกรรมบางอย่าง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
เข้าพักในโรงพยาบาลก่อนผ่าตัด
ตรวจความพร้อมก่อนการผ่าตัดโดยศัลยแพทย์หัวใจและวิสัญญีแพทย์
เช็กผลเลือด เตรียมเลือด
ฝากของมีค่า ฟันปลอม แว่นตา หรือของใช้ส่วนตัวอื่น ๆ ไว้กับคนใกล้ชิดหรือพยาบาลก่อนผ่าตัด
การดูแลระหว่างผ่าตัด
ขณะอยู่ในห้องผ่าตัดวิสัญญีแพทย์จะให้ยาสลบและใส่สายสวนหลอดเลือดต่าง ๆ
ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 3-6 ชั่วโมงหรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของการผ่าตัด
หลังผ่าตัดผู้ป่วยจะถูกเคลื่อนย้ายไปที่ห้องดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจ (CCU: Cardiac Care Unit)
เมื่อผู้ป่วยฟื้นตัวดีและหายใจได้เอง แพทย์จะเอาท่อช่วยหายใจออก
พยาบาลและนักกายภาพบำบัดจะช่วยผู้ป่วยบริหารปอดเพื่อขับเสมหะ
ผู้ป่วยควรหายใจเข้าออกลึก ๆ ไอเป็นระยะ ๆ เพื่อช่วยให้ปอดทำงานปกติเร็วขึ้น
ผู้ป่วยจะพักฟื้นประมาณ 1 สัปดาห์ขึ้นไป ก่อนกลับไปพักที่บ้าน
ภาวะแทรกซ้อน
ติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด
มีเลือดออก
อัมพาต
หัวใจเต้นผิดจังหวะ
ไตวาย
กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
เสียชีวิต
การดูแลหลังผ่าตัด
รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
ตรวจติดตามอาการกับศัลยแพทย์เพื่อปรับยาและเช็กหัวใจเป็นระยะ ๆ
ออกกำลังเบา ๆ และเพิ่มขึ้นทีละน้อยตามลำดับ เช่น เดิน ฯลฯ
ห้ามยกของหนักเกิน 2 กิโลกรัม
งดขับรถยนต์ 6 สัปดาห์ เพื่อที่กระดูกหน้าอกที่ผ่าตัดจะได้เชื่อมติดกันดี
ทำกิจกรรมทางเพศได้ภายในประมาณ 4 สัปดาห์
หลังจาก 6 สัปดาห์กลับไปทำงานตามปกติ
หากเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ต้องทานยาเพื่อควบคุมไม่ให้กลับมาเป็นอีก
ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น ลดไขมัน หวาน เค็ม เลิกสูบบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดความเครียด
แนวทางการปฏิบัติตน หลังผ่าตัดหัวใจ ในระยะ 3 เดือนแรก
ฝึกการหายใจ (Breathing exercises) อย่างถูกวิธี
1.1 ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด เพิ่มความยืดหยุ่นของการขยายตัวของผนังทรวงอก เพิ่มการระบายอากาศและการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน ป้องกันภาวะปอดแฟบ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกล้ามเนื้อในการหายใจ เพิ่มการผ่อนคลาย เพิ่มความสามารถการทำงานในชีวิตประจำวัน
1.2.1 ให้ผู้ป่วยนั่งตัวตรงที่ข้างเตียง หรือช่วยให้อยู่ในท่านอนศีรษะสูง งอเข่าสองข้างเล็กน้อย 1.2.2 ใช้มือทั้งสองข้างจับที่ท้องจะได้รู้สึกเวลาหน้าอกขยายจะบ่งชี้ว่าปอดขยายตัว 1.2.3 ขณะหายใจเข้า ให้สูดลมหายใจเข้าทางจมูกช้าๆ ลึกๆ (หน้าท้องขยาย/ท้องป่อง) 1.2.4 จากนั้นหายใจออก โดยการค่อยๆผ่อนลมหายใจออกทางปาก (หน้าท้องแฟบ)
1.2.5 แนะนำให้ปฏิบัติบ่อยๆ เท่าที่จะทำได้อย่างน้อย 5 - 10 ครั้งทุกชั่วโมง
1.2.6 ความถี่ในการฝึก ควรทำวันละ 6 - 10 ครั้งติดต่อกัน ประมาณ 5
1.2.7 กรณีหลังผ่าตัดช่วงแรก อาจจะต้องแนะนำให้ผู้ป่วยประคองแผล โดยการใช้หมอนใบเล็กวางแนบสนิทบริเวณรอยแผลผ่าตัด จากนั้นใช้มือกดให้ แน่น เพื่อให้เกิดแรงกระชับ เป็นการลดแรงดันและควบคุมความเจ็บปวดขณะฝึกการหายใจ
ฝึกการหายใจแบบปากจู๋ (Pursed lip breathing exercises)
2.1 เป็นเทคนิควิธีการฝึกการหายใจที่สำคัญอย่างมาก เพื่อลดภาวะหลอดลมตีบหรือเกร็ง ประโยชน์ของเทคนิคนี้ ทำให้ลมมีการย้อนกลับไปในดันหลอดลมที่ตีบแคบให้ขยายตัวออก ทำให้อากาศสามารถเข้าออกอย่างช้าๆ ได้มากขึ้น ช่วยลดอาการหอบเหนื่อย และช่วยผ่อนคลาย
2.2.1 นั่งพิงพนักหรือนอนหัวสูง หรือนั่งโน้มตัวมาด้านหน้า 2.2.2 ให้หายใจเข้าทางจมูกและออกทางปากปกติ เป็นจำนวน 2 - 3 ครั้ง 2.2.3 ให้หายใจเข้าเต็มที่ปิดปาก จากนั้นให้หายใจออกช้าๆ ให้ลมดันกระพุ้งแก้มให้ป่องออกมา จากนั้นค่อยๆ เปิดปากเป็นลักษณะปากจู๋ ให้ลมค่อยๆ ออกมา นับ 1-2-3-4 2.2.4 ให้ทำจำนวน 2 - 3 รอบ สลับกับหายใจปกติ ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น
ฝึกการไออย่างถูกวิธี (Coughing training)
3.1 การไอเป็นเทคนิคการรักษาช่วยขับเสมหะออกมาจากหลอดลมได้
3.2.1 ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งหรือท่านอนศีรษะสูง งอเข่าสองข้างเล็กน้อย 3.2.2 ก่อนฝึกไอแนะนำให้ผู้ป่วยประคองแผลโดยการใช้หมอนใบเล็กวางแนบสนิทบริเวณรอยแผลผ่าตัด จากนั้นใช้มือกดให้แน่น เพื่อให้เกิดแรงกระชับ เป็นการลดแรงดันและควบคุมความเจ็บปวดขณะไอ 3.2.3 ขั้นตอนต่อมาแนะนำให้ผู้ป่วยสูดลมหายใจเข้าลึกๆทางจมูก สลับกับหายใจออกโดยการค่อยๆผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ ทำซ้ำ 3 ครั้ง 3.2.4 จากนั้นให้หายใจเข้าลึกเต็มเต็มที่ กลั้นหายใจไว้สักครู่ และไอออกมาอย่างแรงและเร็วทันที ตามด้วยการหายใจเข้าออกตามปกติ
การใช้ Triflo อย่างถูกวิธีและมีประสิทธิภาพ
4.1 เป็นชุดช่วยบริหารปอดใช้สำหรับลดภาวะแทรกซ้อนก่อนและหลังการผ่าตัด ป้องกันและลดอาการปอดอักเสบ ปอดบวมหรือสำหรับผู้สูงอายุที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายหรือนอนบนเตียงเป็นเวลานานๆ เครื่องนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยได้ฝึกการหายใจเข้าลึกๆ อย่างช้าๆ เพื่อบริหารกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจ และช่วยให้การทำงานของปอดเป็นปกติ
4.2 ขั้นตอนการใช้ Triflo 4.2.1 ให้ผู้ป่วยนั่งหลังตรง ถือเครื่องมือไว้ระดับอก โดยให้ผู้ป่วยสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ประมาณ 2 - 3 ครั้ง 4.2.2 ค่อยๆ ดูด จนกระทั่งลูกบอลลอยขึ้นทั้ง 3 ลูก ดูดขึ้นค้างไว้ ประมาณ 3 - 5 วินาที (นับ 1 - 5) หรือเท่าที่ร่างกายจะสามารถทำได้ แล้วผ่อนลมหายใจออกทำเช่นนี้ 10 - 20 ครั้ง วันละ 3 - 4 รอบ (พยายามให้ผู้ป่วยดูดได้อย่างน้อยวันละ 100 ครั้ง/วัน ก็จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของปอดได้ดีขึ้น) 4.2.3 กรณีนั่งหลังตรงไม่ได้ ให้ดูดท่านอนได้ แต่ควรดูดขณะนอนอยู่ในท่าต่างๆ เช่น ท่านอนหงาย ท่าตะแคงซ้าย-ขวา เพื่อให้ปอดขยายได้ทุกทิศทาง
แนวทางปฏิบัติ การออกกลังกายหลังผ่าตัด ในระยะ 3 เดือนแรก
5.1 สัปดาห์แรก
เน้นการหายใจ การไอ อย่างถูกวิธี ตามคำแนะนำของแพทย์และนักกายภาพบำบัด -ยกของหนักได้ไม่เกิน 1 กิโลกรัม -ฝึกกายบริหาร กำมือ - แบมือ กระดกข้อมือขึ้น-ลง งอศอก-เหยียดศอก ตามด้วยท่าบริหารต่อไปนี้ ทำท่าละ 5 - 10 ครั้ง/เซต ทำ 2 เซต/วัน
5.2 สัปดาห์ที่ 2
ฝึกกายบริหารต่อเนื่อง ยกของหนักได้ไม่เกิน 2 กิโลกรัม เพิ่มระยะเวลาเดินเป็น 10 - 20 นาที วันละ 2 รอบ
5.3 สัปดาห์ที่ 3
ฝึกกายบริหารต่อเนื่อง เดินขึ้น - ลงบันไดได้ 3 - 5 ขั้น (กรณีมีบันได มากกว่า 5 ขั้น แบ่งช่วงพักประมาณ 1 นาที) ยกของหนักได้ไม่เกิน 2.5 กิโลกรัม เพิ่มระยะเวลาเดินเป็น 15 - 20 นาที วันละ 2 รอบ
5.4 สัปดาห์ที่ 4
ฝึกกายบริหารต่อเนื่อง ยกของหนักได้ไม่เกิน 3 กิโลกรัม ออกไปทานอาหารหรือเดินชอปปิ้งนอกบ้านได้ เพิ่มระยะเวลาเดินเป็น 20 - 25 นาที วันละ 1 - 2 รอบ
5.5 สัปดาห์ที่ 5
ฝึกกายบริหารต่อเนื่อง ยกของหนักได้ไม่เกิน 3.5 กิโลกรัม เพิ่มระยะเวลาเดินเป็น 25 - 30 นาที วันละ 1 - 2 รอบ
5.6 สัปดาห์ที่ 6
ฝึกกายบริหารต่อเนื่อง ยกของหนักได้ไม่เกิน 4 กิโลกรัม เดินออกกำลังกาย 30 นาที วันละ 1 - 2 รอบ
5.7 เดือนที่ 2 ยกของหนักได้ไม่เกิน 4.5 กิโลกรัม เดินออกกำลังกายเป็นประจำ 30 นาที วันละ 1 - 2 รอบ
5.8 เดือนที่ 3
กลับไปทำกิจกรรมทุกอย่างตามปกติ เดินออกกำลังกายเป็นประจำ 30 นาที วันละ 1 - 2 รอบ
ประโยชน์
เป็นการผ่าตัดต่อเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ เพื่อทำทางเบี่ยงเสริมหลอดเลือดบริเวณที่ตีบหรือตันทำให้เลือดผ่านส่วนที่ตีบหรือตันได้ดีขึ้น ส่งผลทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้มากขึ้น