Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
4 แผ่นดิน การแสดงพื้นบ้านอาเซียน ประเทศจีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี -…
4 แผ่นดิน
การแสดงพื้นบ้านอาเซียน
ประเทศจีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี
การแสดงพื้นบ้านอาเซียน
"ประเทศจีน"
อุปรากรจีน (งิ้ว)การแสดงงิ้วเป็นการแสดงที่เน้นดนตรี ขับร้อง ศิลปะการต่อสู้ การแสดงอารมณ์ นักแสดงจะต้องมีทักษะรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงที่ไพเราะ มีความอดทนอดกลั้น มีความจำที่ดีเลิศ โดยองค์ประกอบที่สำคัญของการแสดงงิ้วประกอบไปด้วย
บทบาทตัวละคร ในเรื่องจะแบ่งออกเป็น 2 ตัว คือ “บู๊” กับ “บู๋น”
เทคนิคการแสดง นักแสดงจะต้องเคลื่อนไหวให้มีจังหวะที่งดงาม ทุกการเคลื่อนไหวจะไม่เสียเปล่า เพื่อเป็นการสื่อความหมายกับละครใบ้
เครื่องแต่งกาย ชุดมีอยู่มากมายที่ต้องแต่งตัวตามเนื้อเรื่อง
เครื่องดนตรี เครื่องดนตรีประกอบไปด้วย บู๊ และ บุ๋น ได้แก่ ซอ ปักกิ่ง กรับ กลองหนัง ฆ้องใหญ่ ฆ้องชุด
เวที และอุปกรณ์ ในสมัยก่อนเวทีมักจะถูกทำขึ้นจากวัสดุที่หาได้ตามง่าย เช่น “อิฐ” หรือ “หิน”
ระบำพัด
พัดไม่ได้มีความโดดเด่นในประเทศจีนเลย แต่พวกเขามีบทบาทสำคัญในการเต้นรำจีนมาก การแสดงแบบนี้มีประวัติมายาวนาน แต่มีการบันทึกไว้เมื่อสมัยราชวงศ์ฮั่น นักแสดงจะรำไปพร้อมกับการโบกสะบัดพัดด้วยท่าทางที่สง่างาม เช่นเดียวกับการรำกระบี่ มันถูกพบเห็นได้ในพิธีกรรมต่างๆ แต่ชาวบ้านก็มักจะนำมาแสดงเพื่อความสนุกสนาน
ระบำกระบี่
การรำกระบี่นั้น อยู่ในรากเหง้าของวัฒนธรรมชาวจีนมาตั้งแต่สมัยอดีต ถูกพัฒนามาเพื่อให้ทหารออกกำลังกาย หากจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนการเต้นแอโรบิกในปัจจุบัน มันเป็น 1 ใน 4 ระบำโบราณของจีน บ่อยครั้งที่มักจะนำพู่มาติดที่ด้ามของกระบี่ เพื่อเพิ่มลูกเล่นให้กับการแสดงให้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ระบำนกยูง
ระบำประเภทนี้มีถิ่นกำเนิดในมณฑลยูนนาน เป็นจังหวัดในประเทศจีนที่มีพรมแดนติดกับเวียดนาม ลาว และพม่า ระบำนกยูงนี้เป็นที่โด่งดังอย่างมากในแถบเอเชีย มันมีความหมายสื่อถึง สวรรค์ ความสงบ ความสง่างาม และความโชคดี รูปแบบการเคลื่อนไหวจะเป็นการเลียนแบบนกยูง ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่การตื่น การออกหาอาหาร การอาบน้ำในแม่นำ ในตอนท้ายที่สุดก็จะบินออกไป
การแสดงพื้นบ้านอาเซียน
"ประเทศอินเดีย"
กถักกะลิ (KATHAKALI)
“กถักกะลิ” คือ การแสดงที่เล่นเป็นเรื่องราวเหมือนกับการแสดงละคร เรื่องที่นำมาแสดงก็มักเป็นเรื่องราวอันเกี่ยวเนื่องกับพระผู้เป็นเจ้าหรือมิฉะนั้นก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับบรรพบุรุษ เช่น รามายณะ มหาภารตะ เป็นต้น การแสดงกถักกะลินี้เดิมใช้ผู้ชายแสดง แม้ผู้ที่แสดงเป็นตัวนางก็ใช้ผู้ชายแสดง การแสดงมีพิธีรีตองมาก ผู้แสดงจะแต่งหน้าซึ่งดูเหมือนกับการสวมหน้ากาก วิธีการแสดงมีผู้ขับร้องและเจรจาให้ เครื่องดนตรีในการแสดงประเภทนี้ ได้แก่ กลองมะดะลัม กลองเจินละ ฉาบเหล็ก และโหม่ง
กถัก(KATHA)
“กถัก” (KATHA)มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนเหนือของอินเดีย การแสดงประเภทนี้เป็นการแสดงเรื่องราวที่เกี่ยวกับศาสนาเช่นเดียวกับกถกฬิ แต่มีข้อแตกต่างคือกถักจะแสดงเฉพาะเรื่องหรือตอนที่มีบทบาทคึกคัก แสดงความกล้าหาญของตัวละคร อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องราวทางศาสนาแล้ว กถักยังนิยมแสดงอีก ๒ เรื่อง ได้แก่ เรื่องพระกฤษณะกับนางโคปี และเรื่องโลกธัมม์ซึ่งเป็นเรื่องที่แสดงถึงชีวิตประจำวันของชาวอินเดีย ในด้านผู้แสดงนั้นมีทั้งผู้แสดงชายและหญิง แสดงร่วมกันบนเวทีเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงกถัก ได้แก่ พิณ ฉิ่ง ฉาบ และกลอง
มณีปุรี(MANIPURI)“มณีปุรี” (MANIPURI) คือ การแสดงนาฏศิลป์ของชาวมณีปุระ การแสดงประเภทนี้มีลีลาการแสดงที่ค่อนข้างช้ากว่าการแสดงนาฏศิลป์ประเภทอื่นที่กล่าวมาแล้ว เนื่องจากมณีปุระเป็นการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง ลักษณะการแสดงมณีปุระมักแสดงเป็นหมู่มากกว่าแสดงเดี่ยว ผู้แสดงใช้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่งกายคล้ายชาวยุโรป คือ นุ่งกระโปรงสุ่มที่มีลวดลายมากและมีการนำกระจกสีต่างๆ มาประดับกระโปรงเพื่อความสวยงาม
การแสดงนาฏศิลป์อินเดียชุดมณีปุรี
การแสดงนาฏศิลป์อินเดียชุดภารตนาฏยา
การแสดงนาฏศิลป์อินเดียชุดกถักกะลิ
การแสดงนาฏศิลป์อินเดียชุดกถัก
การแสดงนาฏศิลป์อินเดียชุดมณีปุรี
ภารตนาฏยา(Bharata natya)
“ภารตนาฏยา” หรือ “ภารตนาฏยัม” คือ การแสดงการร่ายรำที่ถือว่าเก่าแก่มากที่สุดของอินเดีย และถือว่าเป็นแม่แบบทางด้านการสะครด้วย เพราะการแสดงนาฏศิลป์ประเภทนี้ได้รับแบบแผนการแสดงมาจากตำรานาฏยศาสตร์ของพระภรตมุนีผู้ได้รับการถ่ายทอดการฟ้อนรำจากพระอิศวร และนำมารจนาเป็นตำราชื่อ “นาฏยศาสตร์” และการแสดงในตอนนั้นเรียกว่า “การฟ้อนรำแบบนาฏราช” การแสดงภารตนาฏยามีลีลาการแสดงที่รวดเร็ว มีการใช้ภาษานาฏศิลป์ที่สลับซับซ้อน บทเพลงก็นำมาจากเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาฮินดู ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงมีกลอง ฉิ่ง และไวโอลิน การแสดงภารตนาฏยานั้นก่อนเริ่มการแสดงต้องมีการแสดงการไหว้ครูที่เรียกว่า “อลาริปุ”
การแสดงพื้นบ้านอาเซียน
"ประเทศเกาหลี"
Korean Mask Dance “ทัลชุม” (Talchum)
หน้ากากเกาหลี (Korean Mask Dance) ที่เรียกว่า “ทัลชุม” (Talchum) เป็นการแสดงที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งยังสามารถหาชมกันได้ในงานเทศกาลหรือการแสดงในแต่ละเมือง ในสมัยก่อนการระบำหน้ากากเกาหลีนั้นเป็นการแสดงของชนชั้นล่าง ที่มีการคับข้องใจจากการถูกกดขี่จากชนชั้นที่สูงกว่า เนื้อหาที่ใช้แสดงจึงจะเกี่ยวกับการเสียดสีสังคม การเกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้น และเรื่องราวในวัง ที่ใช้แสดงจะทำจากไม้ กระดาษ ผลน้ำเต้าหรือขนสัตว์ การออกแบบหน้ากากรูปแบบจะมีทั้งมนุษย์ เทพเจ้า รวมไปถึงอมนุษย์ที่มีรูปลักษณ์ผิดธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อให้เห็นสีหน้าในอิริยาบถการแสดงอารมณ์ของตัวละคร ได้ชัดเจนขึ้นเพราะในสมัยก่อนการแสดงทัลชุมนั้นจะแสดงในตอนกลางคืนโดยใช้แสงสว่างจากกองไฟ
นกอัก (농악)
"นกอัก" เป็นการเต้นรำที่ผสมผสานเครื่องดนตรีประเภทแบบดั้งเดิมเข้ากับเครื่องดนตรีสมัยใหม่ ได้รับการพัฒนาจนเป็นศิลปะการแสดงที่เป็นตัวแทนของประเทศเกาหลี โดยมีกลองเป็นองค์ประกอบหลัก ตามด้วยมือกลองที่มีการเคลื่อนไหวเหมือนกับกายกรรม นักแสดงแต่ละภาคจะแต่งกายด้วยสีสันต่างกัน โดยอาจจะเป็นการแสดงสำหรับ การประกอบพิธีไหว้บรรพบุรุษ, ไหว้เจ้าบ้านและเกษตร สวดมนต์ขอให้โชคดี, ปัดเป่าวิญญาณร้าย, สวดมนต์ให้ฤดูใบไม้ผลิและฤดูเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์, ปลูกพืชผล และแต่ละสถานที่มีการเต้นรำที่แตกต่างกัน
คังคังซุลแร (강강술래)
การร่ายรำแบบ "คังคังซุลแร" มีต้นกำเนิดในสมัยโบราณ โดยคนเกาหลีเชื่อว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลกเป็นผู้ควบคุมจักรวาล ผู้เข้าร่วมจะเต้นรำภายใต้แสงของพระจันทร์เต็มดวงในระหว่างปี เพื่อขอให้เกิดการเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ คังคังซุลแร คือการแสดงเฉลิมฉลองในเทศกาลของเกาหลีเช่น วันปีใหม่และวันชูซอก โดยเฉพาะในตอนเย็นของเทศกาลชูซอก หญิงสาวชาวนาหลายสิบคนจะออกมาจับมือกันเต้นรำ ร้องเพลงอย่างสนุกสนาน
การแสดงพื้นบ้านอาเซียน
"ประเทศญี่ปุ่น"
ละครโน
ละครโน (NOU) เป็นหนึ่งในการแสดงละครหน้ากากที่จัดแสดงในยุคกลาง เป็นประเพณีที่มีประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ยาวนานมากกว่า "ละครคะบุกิ" ซึ่งเป็นที่นิยมในชาวต่างชาติ นอกจากนี้ยังเป็นศิลปะการแสดงที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน ละครโนเกิดขึ้นในสมัยเฮอันซึ่งได้รับความนิยมในสังคมชนชั้นสูง ฉากหลังเวทีละครโน จะวาดเป็นรูปต้นสน โดยจะสวม "หน้ากาก" และทำการแสดงบริเวณนั้น ในปี 1957 ละครโนได้ถูกระบุให้เป็นมรดกโลกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น รูปแบบของละครโนมีมากมาย เช่นแบบ "Kanze-za" หรือ "Hosho-za" และในปัจจุบันเองก็มีการเปิดแสดงกว่า 2-3 พันรายการจากการแสดงที่เล่นในยุคสมัยนั้น
ละครหุ่นญี่ปุ่น
ละครหุ่นญี่ปุ่นหรือเรียกอีกอย่างว่า Ningyou Joururi เป็นหนึ่งในละครหุ่นตัวแทนของญี่ปุ่น มีเอกลักษณ์พิเศษที่ละครหุ่นอย่างอื่นไม่มี คือการแบ่งหน้าที่โดยใช้คน 3 คนในการเชิดหุ่น 1 ตัว การเชิดหุ่นแบบนั้นจะแบ่งเป็น3ส่วน โดยเป็นการบังคับส่วนหัวและมือขวา บังคับมือซ้าย และบังคับส่วนขา นอกเหนือไปจากนั้น Ningyou Joururi ยังเป็นศิลปะที่ประกอบจากหลายสาขา โดยเล่นร่วมกับเครื่องดนตรีชามิเซ็น นักประพันธ์ละครหุ่นชื่อดัง Chikamatsu Monzaemon บทประพันธ์ของเขาหลายรายการสร้างชื่อเสียงอย่างแพร่หลายให้ละครหุ่นญี่ปุ่นจากนั้นละครหุ่นญี่ปุ่นก็ได้ถูกนำไปแสดงในฐานะละครคะบุกิต่อมา
ละครคะบุกิ
คาบูกิที่ถูกบันทึกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมเชิงนามธรรมนั้น คือละครสำหรับคนทั่วไปที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะซึ่งเกิดจากการผสมผสานกันระหว่าง ดนตรี การแสดง และการเต้นรำ นักแสดงคาบูกิที่สวมใส่เครื่องแต่งกายสีสันสดใสจะทำการแสดงโดยทำการแต่งหน้าที่ฉูดฉาด เช่น การแต่งหน้าขาวและการแต่งหน้าแบบคุมะโดะริ (การแต่งหน้าด้วยพื้นสีขาวและไล่เฉดสีหรือแรเงาให้เป็นสามมิติ)
ละครโอกินาว่า (อูจินาชิไบ)
“อูจินาชิไบ” หรือละครโอกินาว่าได้ถือกำเนิดขึ้นในสมัยที่มีการยกเลิกการปกครองแบบแว่นแคว้นและตั้งขึ้นเป็นจังหวัดภายหลังการปฏิรูปเมจิเมื่อปี 1879 ซึ่งมีทั้งการแสดง “ละครเพลง” ที่สร้างรูปลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครด้วยการเชื่อมโยงเพลงพื้นบ้านเข้ากับดนตรีและระบำตามแบบแผนดั้งเดิม และทั้งการแสดงที่นำบทพูดจากในนิทานปรัมปราและหนังสือประวัติศาสตร์มาใช้ ละครโอกินาว่า “อูจินาชิไบ” ยังเป็นการบรรยายพรรณาให้เห็นถึงขนบธรรมเนียมและประวัติศาสตร์ของชาวบ้านในโอกินาว่าอีกทั้ง ปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีการเปิดแสดงให้ชมกันตามโรงละครต่าง ๆ ซึ่งไม่เพียงแต่เรื่องราวเก่าแก่ดั้งเดิมเท่านั้น แต่มีเรื่องราวที่ประพันธ์ขึ้นมาใหม่เป็นจำนวนมากอีกด้วย