Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การแสดงพื้นเมือง 4 ภาค
"กลุ่มจตุรอาชาโยกๆทั่วไทย"
700px-Map_TH…
การแสดงพื้นเมือง 4 ภาค
"กลุ่มจตุรอาชาโยกๆทั่วไทย"
ภาคกลาง
รำเหย่ย
ประวัติความเป็นมา
เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพักแรมที่ตำบลพนมทวน กำนันในสมัยนั้นได้รวบรวมชาวบ้านนำการแสดงพื้นบ้าน รำเหย่ยไปแสดงถวายหน้าพระที่นั่ง ซึ่งเป็นที่พอพระทัยอย่างยิ่งทรงตรัสสั่งให้ประชาชนชาวพนมทวนอนุรักษ์การแสดงเพลงพื้นบ้านรำเหย่ยไว้ชาวบ้านมีความภูมิใจในผลงานครั้งนั้น จึงมีการสืบทอดกันเสมอมา
ลักษณะ
เริ่มจากการประโคมกลองอย่างกึกก้องเพื่อให้ผู้เล่นและผู้ดูเกิดความรู้สึกสนุกสนาน วิธีการเล่นไม่จำกัดจำนวนผู้เล่นยิ่งมากยิ่งสนุกสนาน โดยแบ่งผู้เล่นออกเป็นฝ่ายชายกับหญิงแต่ละฝ่ายจะมีผู้ร้องประกอบด้วยพ่อเพลง แม่เพลง ลูกคู่ และผู้รำ เมื่อเริ่มเล่นฝ่ายชายจะเป็นผู้เริ่มชวนฝ่ายหญิงให้เล่น
เพลงเหย่ยกัน ฝ่ายหญิงรับคำชวนก็จะมายืนล้อมเป็นวงกับฝ่ายชาย แม่เพลงจะร้องโต้ตอบกับพ่อเพลงโดยมีลูกคู่รับทั้งสองฝ่ายเนื้อร้องส่วนใหญ่จะเป็นทำนองหยอกล้อ เกี้ยวพาราสี
ความสำคัญ
กรมศิลปากรได้พิจารณาเห็นว่า การแสดงเพลงเหย่ยมีแบบแผนการแสดงที่น่าดูน่าชม ควรให้มีการแพร่หลายจึงจัดส่งคณะนาฏศิลป์ของกรมศิลปากรไปรับการฝึกหัดและถ่ายทอดการแสดง
รำแม่ศรี
ประวัติความเป็นมา
แม่ศรีเป็นการละเล่นพื้นบ้านตามความเชื่อของชาวบ้านในเรื่องการเข้าทรง จากวรรณกรรมเรื่องทุ่งมหาราชของครูมาลัย ชูพินิจ ได้กล่าวถึงการรำแม่ศรี
-
ลักษณะ
นิยมเล่นในวันงานนักขัตฤกษ์ ผู้แสดงเป็นหญิงล้วน ลักษณะการแสดง แม่ศรีจะนั่งกลางวงล้อมของลูกคู่บนครกตำข้าว ผูกผ้าปิดตาพนมมือ ลูกคู่จะเชื้อเชิญแม่ศรีให้เข้าทรง แม่ศรีจะร่ายรำตามทำนองเพลงพร้อมๆ กับลูกคู่ เนื้อเพลงรำแม่ศรี
รำต้นวรเชษฐ์
ประวัติความเป็นมา
มีความหมายถึง อิริยาบถที่นุ่มนวลอ่อนช้อยของกุลสัตรีในตอนท้ายจะต่อด้วยการรำต้นวรเชษฐ์ ซึ่งเป็นการแสดงแบบมาตราฐานอย่างหนึ่ง ด้วยลีลาท่ารำ ตามทำนองเพลงไม่มีคำร้องมุ่งความรื่นเริงและพร้อมเพรียงใจังหวะท่ารำ
ลักษณะ
ต้นวรเชษฐ์ เป็นทำนองไทยเดิมสมัยอยุธยา เพลงนี้ใช้ตัวโน๊ตเพียงไม่กี่ตัว แต่สามารถสร้างทำนองได้ไพเราะ สละสลวย เป็นงานที่ทำได้ยาก โดยเฉพาะในทำนองท่อนหนึ่งในบทเพลงนี้ ใช้คอร์ดที่หนักขึ้น ทำให้เห็นได้ว่าผู้ประพันธ์มีวิชาความรู้ในการสร้างสรรค์ท่วงทำนอง สามารถนำหลักวิชาการเข้าไปจับได้ นี่คือศิลปะที่สุดยอด
-
ภาคอีสาน
ฟ้อนภูไท
ประวัติความเป็นมา
เป็นการละเล่นพื้นเมืองอย่างหนึ่งของชาวผู้ไทเดิมที่นั้นการร่ายรำแบบนี้เป็นการร่ายรำเพื่อถวายพระธาตุเชิงชุมแต่อย่างเดียว ต่อมาได้ใช้ในงานแสดงในงานสนุกสนาน รื่นเริงต่างๆด้วย
-
-
เรือมอันเร
-
-
-
กันตรึม
-
ประวัติความเป็นมา
มาจากการละเล่นพื้นเมืองของชาวเขมรสูง หรือชาวอีสานใต้ เดิมทีเป็นพิธีกรรมรักษาคนไข้ ปัจจุบันเป็นการแสดงเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
-
ภาคใต้
ระบำตารีกีปัส
ประวัติความเป็นมา
นาฏศิลป์พื้นเมืองของชาวไทยมุสลิมทางใต้ คำว่า ตารีกีปัส เป็นภาษามลายูท้องถิ่นหมายถึงการฟ้อนรำที่ใช้พัดเป็นส่วนประกอบทำนองเพลงที่ใช้นำมาจากการแสดงชุด“ตาเรียนเนรายัง”ซึ่งเป็น
เพลงประกอบการแสดงระบำประมงของชาวมาเลเซีย
-
ลักษณะ
การแสดงตารีกีปัส มีรูปแบบการแสดงเป็นหมู่ระบำซึ่งรูปแบบการแสดงมีอยู่ 2 ลักษณะคือ
- การแสดงเป็นคู่ ระหว่างผู้ชายและผู้หญิง
- การแสดงเป็นหมู่ระบำโดยใช้ผู้หญิงแสดงล้วนม
มโนราห์ หรือ โนรา
ประวัติความเป็นมา
นักโบราณคดีไทยได้คาดการณ์ประวัติความเป็นมาของโนราว่าได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะการแสดงประเทศอินเดียโบราณซึ่งเกิดขึ้นก่อนสมัยศรีวิชัย เชื่อกันว่ามโนราห์เกิดขึ้นครั้งแรก ณ หัวเมืองพัทลุง ก่อนที่จะเริ่มแผ่ขยายไปยังหัวเมืองอื่นๆของภาคใต้จวบไปจนถึงภาคกลาง และกลายเป็นละครชาตรีในที่สุด
ความสำคัญ
การแสดงโนราได้ในงานทั่วไปทั้งงานมงคล เช่น งานแต่งงานงานทอดผ้าป่าสามัคคี และงานอวมงคล เช่น งานศพ และนอกจากนี้แล้วยังสามารถจําแนกโอกาสที่แสดงที่ได้เป็น ๒ ลักษณะ
คือแสดงเพื่อความบันเทิงทั่วไปและแสดงเพื่อประกอบพิธีกรรมของโนราโดยเฉพาะ
ลักษณะ
โนราเป็นการละเล่นที่ผสมระหว่างการร้อง การรำ ประกอบดนตรี บางครั้งมีการเล่นเป็นเรื่องราว และสะท้อนถึงความเชื่อและพิธีกรรม
ลิเกฮูลู หรือ ดิเกฮูลู
ประวัติความเป็นมา
ลิเกฮูลู เกิดขึ้นเริ่มแรกที่อำเภอรามัน ข้อสนับสนุนก็คือชาวปัตตานีเรียกคนในอำเภอรามันว่าคนฮูลู ในขณะที่คนมาเลเซียเรียกศิลปะนี้ว่าดีเกปารัต ซึ่งปารัตแปลว่า เหนือ จึงเป็นที่ยืนยันได้ว่าลิเกฮูลูหรือดีเกปารัตนี้มาจากทางเหนือของมาเลเซียและอยู่ทางใต้ของปัตตานี
ลักษณะ
การแสดงดิเกร์ฮูลูจะมีผู้แสดงประมาณ ๑๐ กว่าคน บทกลอนที่ใช้ขับร้องนั้น เรียกเป็นภาษามลายูท้องถิ่นว่าปันตน หรือปาตง เวลาแสดงใช้ขับกลอนโต้ตอบ ไม่ได้แสดงเป็นเรื่องราวดังเช่นการละเล่นพื้นบ้านอย่างอื่น
ความสำคัญ
"ลิเกฮูลู” เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมมากของชาวมลายูมุสลิมภาคใต้ของไทย มักแสดงในงานต่างๆ ของชาวมุสลิม เช่น มาแกปูโละ งานสุหนัด งานเมาลิด งานฮารีรายอ
ภาคเหนือ
ฟ้อนเล็บ
-
ประวัติความเป็นมา
ศิลปะการแสดงพื้นบ้านล้านนา หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ฟ้อนแห่ครัวทาน ”โบราณจะหาชมการแสดงฟ้อนเล็บได้ยาก ถ้าจะเป็นการฟ้อนที่สวยงาๅม และมีลีลาอ่อนช้อย ต้องเป็นฟ้อนของคุ้มเจ้าหลวง เพราะผู้ฟ้อนส่วนมากล้วนแต่ฝึกหัดอย่างดี การฟ้อนครั้งสำคัญคือเมื่อครั้งพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ได้ทรงฝึกหัดเจ้านายและหญิงสาวฝ่ายในฟ้อนถวายรับเสด็จพระสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ เมื่อครั้งเสด็จประภาสภาคเหนือ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ จึงทำให้การฟ้อนเล็บเป็นที่รู้จัก
ลักษณะ
เนื่องจากจะแสดงในขบวนแห่ครัวทานของวัด ต่อมามีการสวมเล็บที่ทำด้วยทองเหลืองทั้ง ๘ นิ้ว (ยกเว้นนิ้วโป้ง) จึงเรียกว่าฟ้อนเล็บถือเป็นการแสดงที่อ่อนช้อย จะแสดงในงานบุญ งานปอยหลวง และงานประเพณีสำคัญต่างๆ
ฟ้อนขันดอก
ประวัติ
การแสดงชุด “ฟ้อนขันดอก” เป็นการแสดงที่พ่อครูมานพ ยาระนะ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดงพื้นบ้าน ปี พ.ศ. 2548 เป็นผู้ประดิษฐ์ท่าขึ้น โดยมีจุดประสงค์ในการแสดงเพื่อเป็นการฟ้อนรำบูชาพระรัตนตรัย เพื่อให้บังเกิดความสงบร่มเย็นให้แก่บ้านเมือง
ความสำคัญ
การแสดงที่นิยมใช้ในการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองและเป็นการฟ้อนรำบูชาพระรัตนตรัย เพื่อให้บังเกิดความสงบร่มเย็นให้แก่บ้านเมือง
ลักษณะ
โดยมีอุปกรณ์ประกอบการแสดงเป็นขันดอก หรือพานไม้ใส่ดอกไม้แบบล้านนา ซึ่งใช้ตบแต่งเพื่อบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์และมีการโปรยดอกไม้ขึ้นเหนือศรีษะโดยผู้หญิงจะนุ่งผ้ามีเชิงยาวถึงเท้า สวมเสื้อเกาะอก พร้อมห่มสไบ ยาวคล้องคลุมปล่อยชายลงมาถึงเข่า ผมเกล้าสูงทัดดอกไม้แล้วห้อยอุบะ ดอกไม้โลหะ ดอกไม้สด
ฟ้อนกิงกะหร่า
-
ความสำคัญ
เป็นศิลปะการแสดงประกอบการเฉลิมฉลองประเพณี สาคัญหนึ่งของชาวไทใหญ่ คือ งานประเพณีออกหว่า หรือ งานออกพรรษา
ประวัติความเป็นมา
ฟ้อนนกกิ่งกะหล่าของชาวไทยใหญ่ถือเป็นการแสดงชั้นสูงของ ชาวไทยใหญ่ ที่เลียนแบบท่าทางการร่ายรําของกินรีเมื่อครั้งแสดงต้อนรับการเสด็จกลับมาจากสวรรค์ชั้น ดาวดงสึ ์ของพระพุทธเจ้า ซึ่งการแสดงฟ้อนนกกิ่งกะหล่ามีต้นกําเนิดในรัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์แล้วถูกนําพา มากับผู้อพยพถิ่นฐานที่มาตั้งถิ่นที่อยู่ใหม่
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-