Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะกรดจากการคั่งของสารคีโตนในกระแสเลือด (Diabetic ketoacidosis:DKA), : -…
ภาวะกรดจากการคั่งของสารคีโตนในกระแสเลือด (Diabetic ketoacidosis:DKA)
ข้อมูลทั่วไป
ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน
3 วันก่อนมาโรงพยาบาล อ่อนเพลีย หายใจเหนิ่อย หายใจไม่อิ่ม 1 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล เหนื่อย ถ่ายอุจจาระเหลว ปัสสาวะออกมาก ชาอ่อนแรง
อาการสำคัญ
เหนื่อย ถ่ายอุจจาระเหลว 1 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล
ผู้ป่วยหญิง อายุ 37 ปี เตียง 18
วันที่รับการรักษาตัวในโรงพยาบาล 31 ตุลาคม 2565
วันที่รับไว้ในความดูแล 2 พฤศจิกายน 2565
ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต
ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน 2 ปี ความดันโลหิตสูง ไขมัน ไตเรื้อรั้งระยะที่ 5 เป็น 1 ปี รับการรักษาที่โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช
วินิจฉัยโรค
ภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูงร่วมกับภาวะเลือดเป็นกรด (DKA)
General appearance
ผู้ป่วยหญิงไทย วัยผู้ใหญ่อายุ 37 ปี นอนอยู่บนเตียง ระดับความรู้สึกตัวดี สามารถช่วยตัวเองได้ ถามตอบได้ ผิวหนังแห้งกราน มีแผลพุผองบริเวณขาด้านซ้าย on Oxygen High flow , NG tube no.16 อัตราการหายใจอยู่ที่ 20 ครั้ง/นาที บริเวณลำคอ,ต่อมไทรอยด์และต่อมน้ำเหลืองไม่มีก้อนบวมโต ฟังเสียงปอดไม่พบเสียงผิดปกติ Bowel sound 7 ครั้ง/นาที Capillary refill 2 วินาที Retained foley'catheter no 16 ปัสสาวะสีเหลืองอ่อน ประมาณ 250 cc บริเวณขามีแผลผุพองบริเวณด้านซ้าย ขาบวมกดบุ๋ม 3+ สัญญาณชีพ อุณหภูมิร่างกาย 36.8 องศา ชีพจร 84 ครั้ง/นาที อัตราการหายใจ 20 ครั้ง/นาที ความดันโลหิต 118/72 มิลลิเมตรปรอท
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษอื่นๆ
ผลแลปที่ผิดปกติ
Electrolytes
Creatinine (eGFR) 4.56 mg/dl Hi BUN 67 mg/dl Hi
Na 124 mmol/L Low K 2.92 mmol/L Low Cl 87 mmol/L Low Co2 17.0 Low
Blood sample
pH 7.311
pCO2 28.7 mmHg Low
pO2 67.0 mmHg Low
Hb 3.5 g/dl
Blood ketone Positive
CBC
WBC COUNT 61.390 cell/cu.m.m Hi Neutrophil 97.1 % Hi
Lymphocyte 1.4 % Low
Monocyte 1.5 % Low Plt.COUNT 517,000 cell/cu.m.m Hi RBC COUNT 2.30 M/uL Low Hb 6.5 g/dL Low Hct 18.2 % Low
MCV 79.1 Low
ผลการตรวจพิเศษ
EKG : SINUS RHYTHM
ยาที่ได้รับ
Sodium BICARBONATE 2 tab
ข้อบ่งใช้ : ภาวะเลือดเป็นกรด ภาวะโปแทสเซียมในเลือดสูง ผลข้างเคียงของยา : ภาวะเลือดด่าง อารมณ์เปลี่ยนแปลง เหนื่อยล้า หายใจสั้น กล้ามเนื้ออ่อนเเรง การเต้นของหัวใจผิดจังหวะ
ATORvastatin (CHLOVAS-40) 1/2 tab
ข้อบ่งใช้ : ลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง ผลข้างเคียง : กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดเมื่อย มีอาการเบื้ออาหาร
FOLIC ACID 1 tab
ข้อบ่งใช้ : สำหรับผู้ที่ขาด Folic acid โลหิตจาง
Losartan 2 tab
ข้อบ่งใช้ : ลดความดันโลหิตสูง รักษาภาวะหัวใจล้มเหลว รักษาโรคไตจากเบาหวานชนิดที่ 2 ผลข้างเคียง : เวียนศรีษะ ความดันโลหิตลดลง เจ็บหน้าอก อ่อนเพลีย
Lasix 1/2 tab
ข้อบ่งใช้ : เป็นยาขับปัสสาวะเพื่อรักษาอาการบวมและคั่งของน้ำ ผลข้างเคียง : ความดันโลหิตต่ำเม็ดเลือดขาวต่ำ
Manidipine 1 tab
ข้อบ่งใช้ : ยารักษาความดันโลหิตสูง ผลข้างเคียง : ใจสั่น บวม ปวดศรีษะ ความดันโลหิตต่ำ
Hydralazine 1 tab
ข้อบ่งใช้ : ลดความดันโลหิตสูง ผลข้างเคียง : ท้องร่วง ปวดศรีษะ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
Meropenem 1 G
ข้อบ่งใช้ : รักษาการติดเชื้อภายในช่องท้อง การติดเชื้อที่ผิวหนัง รักษาการติดเชื้อ ผลข้างเคียง : ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน
Omeprazole 40 Mg
ข้อบ่งใช้ : รักษาอาการกรดไหลย้อน ผลข้างเคียง : ท้องเสีย คลื้นไส้ อาเจียน
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus : DM)
ความหมาย
โรคที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติเกิดจากความผิดปกติของตับอ่อนที่ผลิตน้ำตาลได้น้อย ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติ ภาวะระดับน้ำตาลสูงเรื้อรั้งมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเสียหายในระยะยาว การสูญเสียหน้าที่ และความล้มเหลวของอวัยวะต่างๆ
สาเหตุ
ทฤษฎี
ไม่ใช่พันธุกรรม
โรคอ้วน
ระดับ Insulin ในเลือดสูงแต่ Insulin-Recepter ทำให้ Insulin ออกฤทธิ์ไม่ได้ เซลล์จึงทำงานมากเพื่อผลิต Insulin ให้มากขึ้น จนตับอ่อนเสื่อมและไม่สามารถผลิต Insulin ได้
ความเครียด
Catecholamine hormone หลั่งออกมา Glucose จึงสูงขึ้น
ภาวะผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
ทำให้เกิดภาวะแพ้ภูมิตนเอง(autoimmune) ร่างกายจะสร้าง antibodies (Ab) ต่อ islet cells พบเป็นสาเหตุที่สำคัญของโรคเบาหวานชนิดที่ 1 โดยจะ พบโรคเบาหวานเพื่อ islet cells ถูกทำลายมากกว่า 80%
ยาบางชนิด
ยาบางชนิดอาจไปยับยั้งการออกฤทธิ์ของ Insulin เช่น ยาสเตียรอยด์มีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
ขาดการออกกำลังกาย
Insulin recepter ลดลง
การตั้งครรภ์
ไปยับยั้งการทำงานของ Insulin
พันธุกรรม
กรณีศึกษา
อาการและอาการเเสดง
ทฤษฎี
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
มือสั่น ใจสั่น เหงื่อออก รู้สึกหิว มึนงง สับสน อ่อนเพลีย แขนขาไม่มีแรง
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเฉียบพลัน
หอบ เหนื่อย ปวดศรีษะ ปวดท้อง ไม่สบายตัว
พยาธิสภาพ
การรักษา
ทฤษฎี
การใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด
ชนิดออกฤทธิ์เร็ว (rapid acting insulin analog) เริ่มออกฤทธิ์ 5-15 นาที ออกฤทธิ์สูงสุด 1-2 ชั่วโมง ออกฤทธิ์นาน 3-4 ชั่วโมง
ชนิดออกฤทธิ์สั้น (short acting human insulin) เริ่มออกฤทธิ์ 30-45 นาที ออกฤทธิ์สูงสุด 2-3 ชั่วโมง ออกฤทธิ์นาน 4-8 ชั่วโมง
อินซูลินออกฤทธิ์นานปานกลาง (intermediate acting human insulin) เริ่มออกฤทธิ์ 2-4 ชั่วโมง ออกฤทธิ์สูงสุด 4-8 ชั่วโมง ออกฤทธิ์นาน 10-16
อินซูลินออกฤทธิ์ยาว (long acting human insulin) เริ่มออกฤทธิ์ 2 ชั่วโมง ออกฤทธิ์นาน 18-24 ชั่วโมง
อินซูลินผสมสำเร็จรูป (pre-mixed 30%RI+70%NPH: mixtard 30HM) เริ่มออกฤทธิ์ 10-20 นาที ออกฤทธิ์สูงสุด 1 และ 8 ชั่วโมง ออกฤทธิ์ 12-20 ชั่วโมง
การออกกำลังกาย
1.ผู้ป่วยสามารถออกกำลังกายได้หลายรูปการออกกำลังกายช่วยให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ดี และลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ควรวางแผนในการออกกำลังกายเพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้แก่
การควบคุมอาหาร
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยได้รับยาในการรักษาโรคเบาหวาน Insulin ชนิด RI และ Mixtard
ภาวะแทรกซ้อน
ทฤษฎี
ภาวะแทรกซ้อนชนิดเฉียบพลัน
Hyperglycemia
Diabetic Ketoacidosis (DKA)
เมื่อขาดอินซูลินหรือมีฮอร์โมนที่มีฤทธิ์ต้านต่ออินซูลินสูงขึ้น เช่น กลูคากอน catecholamine cortisol ทำให้ไม่สามารถนำกลูโคสเข้าไปในกระบวนการเมตาบอลิซึมได้ จึงมีการสร้างกลูโคสใหม่โดยมีการสลายไขมัน ซึ่งกรดไขมันอิสระ เพิ่มขึ้นทำให้มีการเปลี่ยนกลีเซอไรด์และมีการสร้าง ketone body ในตับด้วย ในภาวะ pH ที่ปกติ ketone body จะอยู่ในรูป ketoneacid และจับกับไบคาร์บอเนตทําให้เป็นกลางเมื่อขาดไบคาร์บอเนตจึงเกิดเป็นภาวะกรด
Hyperosmolar Hyperglycemic non-Ketotic syndrome (HHNKS)
พยาธิสรีรวิทยา HHNKS เกิดจากการขาดอินซูลิน มีการผลิตกลูโคสจากตับ กล้ามเนื้อไม่สามารถใช้กลูโคสเป็น แหล่งพลังงานได้ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงจึงชักนำให้เกิดภาวะ osmotic diuresis เกิดภาวะขาดน้ำ แต่จะไม่มีภาวะ กรดคั่งและความรุนแรงน้อยกว่า DKA พบฮอร์โมนที่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง มีกรดไขมันอิสระ ซึ่งอาจ เป็นไปได้ว่าตับไม่สามารถสร้าง ketone body หรือสัดส่วนของอินซูลิน กลูคากอน ไม่เหมาะสมที่จะทำให้เกิด ketogenesis สิ่งที่สังเกตได้ชัดเจน คือ จะเห็นลักษณะน้ำตาลในเลือดสูงมากอาจถึง 750 - 1,000 มก./ดล. เกิด ภาวะหมดสติจากน้ำตาลในเลือดสูง hyperosmolality ได้ มีภาวะของเสียคั่ง (prerenal azotemia)ระดับโซเดียมในเลือดต่ำและไม่เกิดภาวะเป็นกรด
Hypoglycemia
เป็นภาวะที่มีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 50 มิลลิกรัม ต่อเดซิลิตร พบในผู้เป็นเบาหวานที่รักษาด้วยการฉีดอินสุลินมากกว่าผู้เป็น เบาหวานที่รักษาด้วยการรับประทานยา หรือพบในผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มที่รับประทานอาหารน้อยลง หรืออดอาหาร ออกก้าลังกายมากเกินไป หรือการขาดอาหารและน้ำจากอาการคลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติ จะส่งผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนอิฟิเนฟริน (Epinephrin) และนอร์อิฟิเนฟริน (Norepinephrin) เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดอาการ ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว มือสั่น รู้สึกร้อน คลื่นไส้ เหงื่อออก ชา หรือรู้สึกหิว นอกจากนั้นยังส่งผลต่อ ระบบประสาทส่วนกลางทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ผิวหนังเย็น และชื้น อุณหภูมิกายต่ำ สมองมึน งง ปวดศีรษะ ปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง สับสน สมาธิลดลง ตาพร่ามัว พูดช้า ระดับความรู้สึกลดลง จนถึง หมดสติและชักได้หากเกิดขึ้นเป็นเวลานานหรือเกิดขึ้น ซ้ำๆ จะท้าให้การท้างานของสมอง บกพร่องอย่างถาวรและถึงแก่เสียชีวิตได้
ภาวะแทรกซ้อนชนิดเรื้อรัง
หลอดเลือดแดงใหญ่เสื่อม (Macroangiopathy)
Coronary artery diseases โรคหัวใจและหลอดเลือดโคโรนารี เป็นสาเหตุการตายที่สำคัญ ที่สุดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน กลไกการเกิดโร มีสาเหตุจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ไขมันไตรกลีเซอไรด์และ LDL ในเลือดสูง HDL ในเลือดต่ำ มีเกล็ดเลือดเพิ่มขึ้น มีการสลายไฟบริน (fibrinolysis) ลดลง และอาจมีผลจนทำให้หัวใจล้มเหลว
Stroke โรคของหลอดเลือดสมอง พบมากเป็น 2 เท่าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยมีภาวะไขมันใน เลือดสูง ความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยง
Peripheral vascular disease (PVD) โรคของหลอดเลือดส่วนปลาย การอุดตันในหลอดเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนปลายลดลง จึงเกิดแผลที่เท้า การสูญเสียการรับรู้และการติดเชื้อ ทำให้ผู้ป่วยถูก
หลอดเลือดแดงเล็กเสื่อม (Microangiopathy)
Diabotes retinopathy เป็นสาเหตุให้ตาบอด โดยเฉพาะเกิดมากในโรคเบาหวานชนิดที่ 1สาเหตุจากภาวะที่มีน้ำตาล ในเลือดสูงเป็นเวลานาน ทำให้บริเวณ basement membrane หนาตัวขึ้นเลือดไปเลี้ยงเรตินาลดลง เกิด microaneurysm ทําให้มีการซึมผ่านมากขึ้นจน macular บวม การมองเห็นเริ่มลดลง ขณะเดียวกันจะมีการสร้าง หลอดเลือดใหม่ เกิดไฟบรัสและดึงรั้งเรตินาทำให้เรดินาหรือจอตาหลุด (retinal detachment)สูญเสียการมองเห็น
Diabetes nephropathy โรคเบาหวานเป็นสาเหตุสำคัญของโรคไตระยะสุดท้าย กลไกที่ทำให้เกิดความผิดปกติที่ใด ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด คิดว่ามาจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูงความหนืดของเลือด การสูญเสีย albumin ในปัสสาวะ protein kinase C., AGEs, renin- angiotensin-aldosterone system ไซโตไคน์ และภาวะ โคเลสเตอรอลสูง เมื่อโปรตีนถูกทำลายโดยระดับน้ำตาลที่สูงและผลเสียจากการมีความดันใน glomerulus สูง ทำให้ เยื่อบุที่ glomerulus หนาและขยายขึ้น การสร้าง mesangial matrix ของ mesangial cell ทำให้เกิดแรงต้นต่อการ ไหลเวียนเลือดและลดอัตราการกรองถ้าตรวจพบ albumin ในปัสสาวะ (230 มก./วัน ถือว่ามี abuminuria) ถ้าเสียโปรตีนมากกว่าวันละ 300มก./วัน จะเริ่มแสดงอาการ เช่น บวม ทำให้เกิดปัญหาทางหัวใจและหลอดเลือดและไตมากขึ้น
Diabetic Neuropathy ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท เป็นผลจากการส่งและรับสัญญาณประสาทช้าลง พบได้บ่อย ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมานานระหว่าง 5-10 ปี การเสื่อมของประสาทจะเกิดที่ส่วนปลายประสาทก่อน และเริ่มที่ ประสาทรับความรู้สึกก่อนประสาทมอเตอร์ และมีผลต่อส่วนปลายของตัวประสาทมากกว่า เริ่มจากมีการเปลี่ยนแปลงที่ เส้นประสาทรับความรู้สึกของระบบประสาทส่วนปลายและประสาทส่วนกลาง โดยเฉพาะประสาทที่มีเยื่อหุ้มไมอีลิน รบกวนเมตาบอลิซึมของ schwann cell ท่าให้ขาดไมอีลินหรือสร้างไมอิลินใหม่ พยาธิสภาพจะเกิดขึ้นที่ไขสันหลัง หรือ เส้นประสาทส่วนปลาย ทำให้การรับความรู้สึกลดลงและเกิดอาการชา (paresthesia) การรับความรู้สึกเปลี่ยนไปอาจ ทําให้รับรู้ความปวด รับความรู้สึกไวเกิน เกิดแผลที่เท้าและเท้าผิดรูป แผลหายช้าจนต้องตัดขา
ชนิดของโรคเบาหวาน
1.โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (type 1 diabetes mellitus) เกิดจากร่างกายขาดอินซูลิน จำเป็นต้องรักษาด้วยยาอินซูลิน ส่วนใหญ่พบในเด็ก
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes mellitus) เกิดจากภาวะดื้ออินซูลินร่วมกับร่างกายขาดอินซูลิน ส่วนใหญ่พบในผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุที่มักมีประวัติคนในครอบครัวเป็นเบาหวาน
3.โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ภาวะนี้จะหายไปหลังคลอด
4.โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ เช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง โรคที่มีความผิดปกติของต่อมไร้ท่อบางชนิด หรือการรับประทานยาที่มีสารสเตียรอยด์เป็นระยะเวลานานๆเป็นต้น
ความหมาย
ภาวะกรดคีโตนคั่งจากเบาหวาน (diabetic ketoacidosis: DKA) หมายถึง ภาวะฉุกเฉินของโรคเบาหวาน ซึ่งประกอบด้วย ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงร่วมกับภาวะที่ มีการคั่งของสารคีโตนในร่างกาย เนื่องจากการขาดอินซูลินอย่างรุนแรง ทำให้มีการสลายตัวของไขมันและทําให้เกิดภาวะกรดจากการเผาผลาญ (metabolic acidosis หรือ Ketoacidosis)
สาเหตุ
ร่างกายขาดอินซูลิน ทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลในเลือดมาเป็นพลังงานได้ จึงปล่อยฮอร์โมนในการเผาผลาญไขมันมาทดแทนน้ำตาล จึงทำให้เกิดการสร้างกรดคีโตน ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จึงเกิดการสะสมกรดในเลือด สารเคมีในเลือดจึงเสียสมดุล และส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกาย
อาการและอาการแสดง
ตรวจเลือดพบระดับน้ำตาลสูงมากกว่า 250 มก./ดล.
ถ่ายปัสสาวะมาก และ กระหายน้ำมากกว่าปกติเนื่องจาก น้ำตาลในเลือดสูงทำให้เกิดการสูญเสียน้ำและอิเล็กโทรไลต์ในภาวะมีโพแทสเซียมในเลือดต่ำ
ปัสสาวะมีคีโตน เนื่องจากปริมาณคีโตนในเลือดเพิ่มขึ้นใน ร่างกาย ถ่ายปัสสาวะมาก และ กระหายน้ำมากกว่าปกติ
มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน หายใจหอบลึก เนื่องจากภาวะกรดจากเมตาบอลิซึม
กรณีศึกษา
กระหายน้ำ ตรวจเลือดพบระดับน้ำตาลสูง มึนงง หายใจหอบลึก
พยาธิสภาพ
การขาดอินซูลิน ส่งผลให้เซลล์ใช้น้ำตาลไม่ได้ เกิดการสลายกล้ามเนื้อ และไขมัน รวมทั้งมีกลู คากอนในเลือดสูงขึ้นมาก กรดไขมันจะถูกเผาผลาญให้ได้น้ำตาลและสารคีโตน เพื่อให้เซลล์นำไปใช้เป็นพลังงาน แต่จากการขาดอินซูลิน เซลล์ก็ไม่สามารถใช้น้ำตาลได้ วงจรนี้ยิ่งกระตุ้นให้ไขมันสลายมากขึ้น ทำให้มีสาร คีโตนเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งร่างกายไม่สามารถกำจัดได้ทัน เกิดการคั่งของคีโตนในเลือด เรียกว่า Ketosis หรือ Ketonemia สารคีโตนมีฤทธิ์เป็นกรด ดังนั้นจึงเกิดภาวะ Ketoacidosis
การรักษา
ให้อินซูลินที่ออกฤทธิ์สั้น เช่น RI (Regular insulin) ทางหลอดเลือดดำทุกชั่วโมง หรือ นิยมหยุดให้ทางหลอดเลือดดำ เพราะออกฤทธิ์ได้เร็วและได้รับในปริมาณที่แน่นอน โดยจะให้ในปริมาณน้อยๆ ก่อนคือ 5-10 ยูนิตต่อชั่วโมง หรือ 0.1 ยูนิต/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จะทำให้ระดับน้ำตาลลดลงประมาณ 75 100 mg/dl ต่อชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ขณะที่ให้อินซูลินทางหลอดเลือดต้องติดตามและประเมินผล DTX ทุก 1 ชั่วโมงเพื่อป้องกันการเกิดภาวะ Hypoglycemia จากการรักษา
2.การให้สารน้ำทดแทนอย่างรวดเร็ว และให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย โดยระยะเริ่มต้นผู้ป่วยจะได้รับการให้ 0.9% NSS (Isotonic solution) เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณเลือดไหลเวียนให้ดีขึ้น ประมาณ 1-2 ลิตร ใน 2 ชั่วโมงแรก โดยพิจารณาปรับสารน้ำตาม Serum osmolality
การให้ Electrolytes ทดแทนการสูญเสียอิเลคโตรไลท์ที่ออกไปทางปัสสาวะไปพร้อมกับน้ำตาล - ความดัน และน้ำ จำเป็นต้องได้รับการทดแทน โดยในระยะที่มี Osmotic diuresis จะสูญเสีย K ออกทางปัสสาวะมาก ทำให้เกิดภาวะ Hypokalemia นอกจากนี้ การแก้ไขภาวะกรด เป็นผลให้ K จะเคลื่อนกลับเข้าสู่เซลล์ ทำให้ระดับ K ในเลือดลดลง ดังนั้น การรักษา DKA อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะ hypokalemia ได้ จึงต้องป้องกันโดยการให้ K โดยให้ในรูป KCI หยดเข้าทางหลอดเลือดดำ ขนาดและอัตราหยดขึ้นกับระดับ K ใน เลือดก่อนการรักษา ระวังในผู้ป่วยโรคไตที่ปัสสาวะออกน้อย การให้ K เพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้เกิด Hyperkalemia
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยได้อินซูลิน (RI) ได้รับสารน้ำทดแทน เป็น 0.9 % NSS และให้Electrolytes ทดแทนการสูญเสียอิเลคโตรไลท์
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ (hypokalemia) ภาวะสมองบวม (cerebral edema)
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ และ ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ
: