Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พื้นฐานนาฏศิลป์ไทย (กลุ่ม ; พื้นฐานสานฝัน) - Coggle Diagram
พื้นฐานนาฏศิลป์ไทย
(กลุ่ม ; พื้นฐานสานฝัน)
ประวัตินาฏศิลป์ไทย
ประวัตินาฏศิลป์ไทย เป็นศิลปะการละครฟ้อนรำและดนตรีอันมีคุณสมบัติตามคัมภีร์นาฏะหรือนาฏยะ กำหนดว่า ต้องประกอบไปด้วยศิลปะ 3 ประการ คือ การฟ้อนรำ การดนตรี และการขับร้อง รวมเข้าด้วยกัน
ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้ เป็นอุปนิสัยของคนมา
ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ไทยมีที่มาและเกิด
จากสาเหตุแนวคิดต่าง ๆ
ประเภทนาฏศิลป์ไทย มี 3 ประเภท
1.โขนเป็นการใช้ลีลาท่าทางการแสดงด้วยการเต้นไปตามบทพากย์บรรเลงด้วยปี่พาทย์เรื่องที่นิยมนำมาแสดงคือพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์
2.ละครมีพัฒนาการมาจากนิทานการดำเนินเรื่องด้วยกระบวนการลีลาท่ารำนิยมเล่นในงานพิธีสำคัญและ
งานพระราชพิธีของพระมหากษัตริย์
3.ระบำ มี 2 ประเภท
3.1 รำประกอบด้วย
รำเดี่ยวรำคู่รำอาวุธ
3.2 ระบำจะมี 2 คนขึ้นไปมีลักษณะการแต่งกายคล้ายคลึงกันกระบวนท่าร่ายรำคล้ายคลึงกัน
พิธีไหว้ครูนาฏศิลป์
พิธีไว้ครูนาฏศิลป์การไหว้ครู คือ การแสดงถึงความเคารพกตเวทีแด่ท่านบูรพาจารย์และครูบาอาจารย์ ซึ่งเป็นผู้ให้วิชาความรู้แก่ศิษย์ เพื่อให้ศิษย์ได้นำวามรู้
ไปประกอบอาชีพในภายภาคหน้า
ประเภทของการรำ
2.การรำคู่ มี2ประเภท
2.1การรำคู่ในเชิงศิลปะการต่อสู้ เช่น กระบี่กระบอง ดาบสองมือ รำกริช เป็นการรำที่ไม่มีบทร้อง ใช้สลับฉากการแสดง
2.2การรำคู่ในชุดสวยงาม ท่ารำต้องประดิษฐ์ให้สวยงาม มีการอวดท่ารำในบางช่วง มีบทร้องและใช้ท่าทางแสดงวามหมายใน
ตอนนั้นๆ เช่น พระรามตามกวาง หนุมานจับสุพรรณมัจฉา
รำแม่บท เป็นต้น
3.การรำหมู่ เป็นการแสดงมากกว่า2คนขึ้นไป เช่น การรำโคม ญวนรำกระถาง รำพัด รำวงมาตรฐาน และรำวงทั่วไป การแสดงพื้นเมืองของชาวบ้าน เช่น รำกลองยาว
1.การรำเดี่ยว คือการรำที่มีผู้แสดงเพียงคนเดียว เพื่อต้องการอวดฝีมือในการรำ แสดงศิลปะ ร่ายรำ และการสลับฉากเพื่อรอการจัดฉาก
การฟ้อน
การฟ้อน เป็นประเพณีของภาคเหนือ ใช้คนแสดงจำนวนมาก ฟ้อนรำพร้อมเพรียงกัน จังหวะค่อนข้างช้า
แบ่งออกเป็น5ประเภท
การฟ้อนที่สืบเนื่องมากจากการนับถือผี เกี่ยวกับความเชื่อ พิธีกรรม เป็นการฟ้อน
ที่มีมาช้านาน
เช่น ฟ้อนผีนางดัง ฟ้อนผีมด ผีเม็ง เป็นต้น
2.ฟ้อนแบบเมือง เป็นการแสดงลีลาฉบับคนเมือง หรือชาวไทยยวน เช่น ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน
ฟ้อนสาวไหม เป็นต้น
3.ฟ้อนแบบม่าน เป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะการฟ้อนของพม่ากับไทยล้านนา เช่น
ฟ้อนม่านมุ่ยเชียงตา
4.ฟ้อนแบบเงี้ยวหรือบบไทยใหญ่ คือการฟ้อนตลอดการแสดง มีศิลปะการแสดงของ
ชาวไทยใหญ่ เช่น เล่นโต ฟ้อนนางนก กำเบ้อคง มองเซิงเป็นต้น
5.ฟ้อนที่ปรากฏในบทละคร สร้างสรรค์ขึ้นในการแสดงละครพันทาง นิยมในรัชกาลที่5 เช่น
ฟ้อนน้อยใจยา ฟ้อนลาวแพน ฟ้อนม่านมงคล
บุคคลสำคัญในนาฏศิลป์ของไทย
มีนามเดิมว่า แผ้ว สุทธิบูรณ์ เกิดเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๔๔๖ เมื่ออายุ ๘ ขวบ ได้ถวายตัวในสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา และได้รับการฝึกหัดนาฏศิลป์ กับครูอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในราชสำนักเช่น เจ้าจอมมารดาวาดและ เจ้าจอมมารดาเขียน ในรัชกาลที่ ๔ เจ้าจอมมารดาทับทิม ในรัชกาลที่ ๕ หม่อมแย้ม ในนามสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ หม่อมอึ่ง ในสมเด็จพระบัณฑูรฯ จนมีความรู้ความสามารถออกแสดงละครเป็นตัวเอกในโอกาสที่แสดงถวายทอดพระเนตรหน้าพระที่นั่ง
ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หลายครั้ง ท่านแสดงเป็นอิเหนาและนาดรสาในเรืองอิเหนา เป็นพระพิราพและทศกัณฐ์ในเรื่องรามเกียรติ์ทางด้านการศึกษาวิชาสามัญท่านจบหลักสูตรจากโรงเรียนในวังสวนกุหลาบในรัชสมัยพระมหาธีรราชเจ้า
ผลงานเกี่ยวกับการแสดงศิลปะนาฏกรรม เช่น ท่ารำของตัวพระ นาง ยักษ์ ลิง และตัวประกอบ การแสดงโขน ละครชาตรี ละครนอก ละครใน ละครพันทาง และระบำฟ้อนต่างๆ เป็นผู้คัดเลือกการแสดง จัดทำบทและเป็นผู้ฝึกสอน ฝึกซ้อม อำนวยการแสดงถวายทอดพระเนตรหน้าพระที่นั่ง ในวโรกาสต้อนรับพระราชอาคันตุกะ อาคันตุกร และงานของรัฐบาล หน่วยงานองค์กรต่างๆ จัดต้อนรับเป็นเกียรติแก่แขกผู้มาเยือนประเทศไทย เป็นผู้คัดเลือกตัวละครให้เหมาะสมตามบทบาทในการแสดงต่างๆ เป็นผู้คัดเลือกการแสดงวางตัวศิลปินผู้แสดงต่างประเทศเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยเป็นผู้ฝึกสอนและอำนวยการฝึกซ้อมในการแสดงโขน ละคร
การละเล่นพื้นเมิง ระบำรำฟ้อนต่างๆ ที่กรมศิลปากรจัดแสดงแก่ประชาชน ณ โรงละครแห่งชาติ สังคีตศาลา ในต่างจังหวัดและทางสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ตลอดทั้งร่วมในงานของหน่วยราชการ องค์กร สถาบันการศึกษา และเอกชน เป็นวิทยากรบรรยายและตอบข้อซักถามในการอบรมวิชานาฏศิลป์และวรรณกรรม และเป็นที่ปรึกษาในการสร้างนาฏกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นด้วย
ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี
ประโยชน์จากการใหว้ครูนาฏศิลป์
1.สามารถทำให้เกิดความสามีครีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในฐานะที่เป็นศิษย์มีครูเหมือนกัน
2.สามารถนำวิชาที่เรียนรู้ได้มา ไปถ่ายทอดได้ด้วยความมั่นใจโดยไม่ต้องกลัวว่า"ผิดครู"
3.เป็นการสร้างศิษย์ให้มีความเชื่อมั่นในวิชาความรู้ที่ได้จากการเรียนมา
กล้าแสดงออกไม่เก็บตัว
4.ทำให้มีความรู้กว้างขวางและเข้าใจในพิธีกรรมเช่นนี้อย่างชัดเจน
5.เกิดความสบายใจหากทำสิ่งใด
ผิดพลาดไป ก็จะเป็นการขอขมาครูไปด้วย
สมาชิก
1.นายนพรุจ ไชยบุญแก้ว เลขที่ 3
2.นายอานัส นิยมเดชา เลขที่ 5
3.นางสาวณัฏฐณิชา ศิริรักษา เลขที่ 20
4.นางสาวรัสมี โครธาสุวรรณ์ เลขที่27
5.นางสาวนภัสสร ปิดดำ เลขที่36
6.นางสาวอรวรรณ เฉลิมศรี เลขที่42
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3
ที่มาแหล่งข้อมูล:
https://guru.sanook.com/4062/
https://sites.google.com/site/sciencechutimakuna/content01/content02/content02-1
https://sites.google.com/site/sittipanareerat422/bth-thi2-kar-saedng-natsilp-thiy/kar-pradisth-tha-ra-ni-kar-saedng-natsilp