Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 4 การทำข้อมูลให้เป็นภาพและการสื่อสารด้วยข้อมูล, บทที่ 6…
บทที่ 4
การทำข้อมูลให้เป็นภาพและการสื่อสารด้วยข้อมูล
การสื่อสารด้วยข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล (Data Communications)
หมายถึง กระบวนการถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับ โดยผ่านช่องทาง
สื่อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางในการส่งข้อมูล เพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับเกิด
ความเข้าใจซึ่งกันและกัน
การถ่ายทอดข้อมูลหรือการสื่อสารจากแหล่งข้อมูลไปยังผู้รับสารนั้นบางครั้งเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเนื่องจากข้อมูลมีปริมาณมากหรืออยู่ในรูปแบบที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ง่าย
ด้วยเหตุนี้การสื่อสารระหว่างบุคคลจำเป็นที่จะต้องจัดรูปแบบของข้อมูลและนำข้อมูลไปแสดงในบริบทที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจหรือมองเห็นประเด็นสำคัญที่ต้องการสื่อสาร
ข้อมูลนั้นจึงต้องมีการทำข้อมูลให้เป็นภาพเพื่อช่วยตอบคำถาม ช่วยในการตัดสินใจ ช่วยให้มองเห็นข้อมูลในบริบทที่เหมาะสม ช่วยค้นหารูปแบบรวม
ทั้งช่วยสนับสนุนคำพูดหรือการเล่าเรื่องราวที่มีอยู่ในข้อมูลชุดนั้นๆ
องค์ประกอบของการสื่อสาร โดยทั่วไปมี 4 ประการ คือ
ผู้ส่งสาร (Sender)
สาร (Message)
ช่องทางการสื่อสารหรือสื่อ (Channel)
ผู้รับสาร (Receiver)
การทำข้อมูลให้เป็นภาพ
ข้อมูลที่รวบรวมได้นั้น ส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของตารางที่ประกอบด้วยตัวอักษร ตัวเลข เป็นปริมาณมาก แม้ว่าข้อมูลนั้นสามารถตอบข้อสงสัย หรือนำ
เสนอสิ่งที่สนใจได้ แต่ยังยากต่อการทำความเข้าใจ หรือเป็นอุปสรรคในการสื่อสารให้เข้าใจตรงกัน
ดังนั้น การนำเสนอข้อมูลด้วยภาพ (datavisualization) สามารถช่วยตอบ
คำถาม หรือนำเสนอประเด็นต่างๆ ได้รวดเร็ว และชัดเจนมากขึ้น ดังคำกล่าวที่
ว่า ภาพหนึ่งภาพแทนคำพูดพันคำ (A Picture is worth a thousand words)
การเล่าเรื่องจากข้อมูล
การเล่าเรื่องจากข้อมูล เป็นการถ่ายทอดเนื้อหา ความรู้ ผลลัพธ์จากข้อมูลที่ผ่านการ
วิเคราะห์และประมวลผลออกมาเป็นภาพ จำเป็นต้องมีกลวิธีในการเล่าเรื่องราว
(Story) เพื่อเชื่อมโยงหรือสื่อสารให้เข้ากับผลลัพธ์ของข้อมูล ทำให้ผู้รับสารเกิดความ
สนใจในการติดตามเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ และมีความเข้าใจตรงตามความต้องการ
ของผู้สร้างเนื้อหา
ข้อควรระวังในการนำเสนอข้อมูล
สิ่งที่ต้องคำนึงในการนำเสนอข้อมูล
ข้อมูลที่นำมาใส่ในงานนำเสนอนั้นจะต้องสั้น กระชับ ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการนำเสนอ
ไม่ควรเป็นข้อความที่ยาวๆ เพราะจะทำให้ไม่น่าสนใจ
สีที่ใช้ต้องสบายตา และน่าสนใจ หลีกเลี่ยงการใช้สีพื้นอ่อนคู่กับตัวหนังสือสีอ่อนเพราะจะทำให้
อ่านยาก หรือสีที่สดเกินไปจะทำให้อ่านได้ไม่นาน ผู้อ่านจะเกิดอาการปวดตามากกว่าเกิดความน่าสนใจ
รูปที่ใช้จะต้องสอดคล้องกับเนื้อหา
4.รูปที่นำมาใส่ในงานนำเสนอจะต้องไม่ใหญ่จนเกินไป เพราะจะทำให้ขนาดของไฟล์ใหญ่ไปด้วย ควรจะทำการลดขนาดของรูปก่อน
5.ภาพเคลื่อนไหวควรใส่ให้เหมาะสม ไม่มากไม่น้อยเกินไป
6.การใช้พื้นหลัง ควรหลีกเลี่ยงการใช้รูปภาพเป็นพื้นหลังเพราะจะทำให้ตัวหนังสืออ่านยาก หรือถ้าต้องใช้พื้นหลังเป็น รูปภาพก็ควรหาพื้นหลังสีพื้นให้กับตัวอักษรด้วย
สิ่งที่ไม่ควรทำในการนำเสนองาน
อาขยาน อ่านกระจุย
การขึ้นไปอ่าน (อาขยาน) ตามเนื้อหาที่มีบน
PowerPoint หรือ Keynote เหมือนหุ่นยนต์
อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคอมฯ (และอุปกรณ์ทั้งหลาย)
เรามักจะเจอกับปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ
ไม่สามารถใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ของเรา หรือแม้กระทั่งเครื่อง
คอมพิวเตอร์เราเองอาจจะม่องเท่งในเวลานั้นไปดื้อๆ ซึ่งเป็นเรื่อง
ที่เราไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น
3 อย่านอกเรื่องไปไกล
สำหรับบางคนก็คือการเป็นคนชอบพูดชอบคุย ซึ่งเป็น
เรื่องที่ดีเพราะจะทำให้คนดูไม่น่าเบื่อ แต่สิ่งที่อาจจะคาดไม่ถึงนั่น
คือการหลุดจากสิ่งที่จะนำเสนอจริงๆ หรือพูดในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับ
หัวข้อที่ตั้งเอาไว้มากจนเกินไป จนอาจทำให้คนที่ตั้งใจจะมาฟัง
สิ่งที่เขาต้องการนั้นผิดหวัง แถมยังอาจหมดเวลาโดย ไม่
รู้ตัว ทำให้ผู้พูดไม่ได้พูดสิ่งที่เป็นสาระสำคัญได้ทัน
4 อย่าเยอะ
ในบางครั้งข้อมูลของผู้พูดเองนั้นมีปริมาณค่อนข้างมาก อยากจะ
พูดในสิ่งที่ตัวเองรู้หรือเตรียมตัวให้กับผู้ฟัง เนื่องด้วยปริมาณข้อมูลที่ป้อนหรือถ่ายทอดออกไปนั้นอาจมีมากจนเกินไป หรือคนฟังเองไม่สามารถรับรู้และเข้าใจได้ ผลที่ตามมาก็คือประเด็นที่สำคัญที่สุดนั้นอาจถูกกลืนจมหายไปกับข้อมูลปริมาณมหาศาลที่วิ่งเข้าไปถาโถมผู้พูด
5 ใช้ตัวอักษรบนหน้าสไลด์ให้น้อยที่สุด
การนำเสนอบน Powerpoint หรือ Keynote สิ่งที่เจอใน
บางครั้งนั้น มีตัวอักษรเต็มไปหมด ก็เข้าใจว่าผู้พูดนั้นอยากจะ
บอกสรรพคุณหรือบอกสิ่งต่างๆ ที่อยากให้คนอื่นรู้ ซึ่งนี่จะทำให้
เกิดปัญหาว่าผู้พูดจะถูกสไลด์ที่มีแต่ตัวอักษรกลืนไปแบบไม่รู้ตัว
เพราะผู้ฟังจะเอาแต่สนใจตัวอักษรที่มีอยู่ล้นทะลักในหน้าส
ไลด์ไปโดยปริยาย
บทที่ 6 จริยธรรมและจรรยาบรรณ
ของนักคอมพิวเตอร์ และ
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2560
ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมกับกฎหมาย
1) กฎหมายเป็นสิ่งที่ออกโดยรัฐ ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ แต่จริยธรรมเป็นเรื่องของคนในสังคมร่วมกันสร้างขึ้นมา
2) กฎหมายเป็นข้อบังคับที่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่จริยธรรม เป็นเรื่องของความสมัครใจ
3) กฎหมายมีบทลงโทษที่ชัดเจน และแน่นอน แต่จริยธรรมไม่มีบทลงโทษสำหรับฝ่าฝืน
4) กฎหมายเป็นสิ่งที่ควบคุมการกระทำของคน แต่จริยธรรมเป็นสิ่งที่ควบคุมจิตใจ ไม่ให้คนกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
5) กฎหมายมีวัตถุประสงค์ลงโทษผู้กระทำผิด หรือชดใช้ค่าเสียหาย แต่จริยธรรมมีวัตถุประสงค์ เพื่อยกระดับคุณค่าทางจิตใจ
จริยธรรมคอมพิวเตอร์ ( Ethics)
“จริยธรรม” หรือ Ethics นั้นอาจเข้าใจกันในหลายความหมาย เช่น หมายถึง “หลักศีลธรรมจรรยาที่
กำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติหรือควบคุมการใช้ระบบคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ”
จริยธรรมเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ
2.ความถูกต้อง (Accuracy)
3.ความเป็นเจ้าของ (Property)
4.การเข้าถึงข้อมูล (Data accessibility)
1.ความเป็นส่วนตัว (Privacy)
จรรยาบรรณของนักคอมพิวเตอร์
จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ
จรรยาบรรณต่อสั่งคม
จรรยาบรรณต่อผู้ร่วมงาน
จรรยาบรรณต่อตนเอง
จรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2560
พระราชบัญญัติที่ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งคอมพิวเตอร์ที่ว่านี้ก็เป็นได้ทั้งคอมพิวเตอร์
ตั้งโต๊ะ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก สมาร์ทโฟน รวมถึงระบบต่างๆ ที่ถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ด้วย ซึ่งเป็น
พ.ร.บ.ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อป้องกัน ควบคุมการกระทำผิดที่จะเกิดขึ้นได้จากการใช้คอมพิวเตอร์ หากใคร
กระทำความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นี้ ก็จะต้องได้รับการลงโทษตามที่พ.ร.บ.กำหนดไว้
เราอาจจะได้ยินข่าวเรื่องการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งบาง
เหตุการณ์ก็สร้างความเสียหายไม่น้อยเลย เพื่อจัดการกับเรื่องพวกนี้ เลย
ต้องมีพ.ร.บ.ออกมาควบคุม ในเมื่อการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเรื่องใกล้ตัวเรา
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ก็เป็นเรื่องใกล้ตัวเราเช่นกัน หากเราไม่รู้เอาไว้ เราอาจ
จะเผลอไปทำผิด โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจก็ได้
ปัจจุบันมีคนใช้คอมพิวเตอร์ รวมถึงสมาร์ทโฟนเป็นจำนวนมาก บาง
คนก็อาจจะใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ แต่บางคนก็อาจใช้สิ่งนี้ทำร้าย
คนอื่นในทางอ้อมด้วย
บทที่ 7 นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่
การประมวลผลแบบคลาวน์
เป็นรูปแบบหนึ่งของการให้บริการทรัพยากร
คอมพิวเตอร์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น หน่วย
ประมวลผล หน่วยความจำ พื้นที่เก็บข้อมูล ซอฟต์แวร์
ซึ่งสามารถอำนวยความสะดวกได้ทุกที่ทุกเวลา โดย
ไม่สนใจว่าทรัพยากรที่ใช้นั้นอยู่ที่ใด เปรียบเสมือน
การใช้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า น้ำ
ประปา นั่นคือใช้บริการได้โดยไม่ต้องรู้ว่าโรงผลิตอยู่
ที่ใด เพียงแต่ต้องจ่ายค่าบริการตามปริมาณที่ใช้
การประมวลผลแบบคลาวด์สามารถใช้งานได้ผ่าน
อุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ เช่น คอมพิวเตอร์
โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต โดยเรียกใช้ผ่านเบราว
เซอร์หรือแอปพลิเคชั่น
ข้อดีของการประมวลผลแบบคลาวด์
เชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อใช้งานได้ทุกที่
ทุกเวลาใช้งานฟรี หรือจ่ายเงินเพิ่ม เพื่อเพิ่มเติมความ
สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์ แอปพลิเคชั่น
และจ้างผู้ดูแลระบบยืดหยุ่นในการปรับเพิ่ม-ลดขนาดทรัพยากร
ข้อเสียของการประมวลผลแบบคลาวด์
ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในการรับ-ส่งข้อมูล
ข้อมูลอาจถูกโจรกรรมจากช่องโหว่ด้านการรักษา
ความปลอดภัยหากระบบขัดข้องอาจทำให้สูญเสียโอกาส
ทางธุรกิจ
เทคโนโลยีเสมือนจริง
เทคโนโลยีที่จำลองสภาพแวดล้อมผ่านระบบ
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เกิดการรับรู้เสมือน
กับอยู่ในสภาพแวดล้อมจริง โดยจะกล่าวถึงความเป็น
จริงเสริม (Augmented Reality: AR) และความเป็น
จริงเสมือน (Virtual Reality: VR)
การใช้ประโยชน์จากความเป็นจริงเสริม
ด้านการโฆษณาและการส่งเสริมการขาย
ด้านการท่องเที่ยว/การเดินทาง
ด้านการศึกษา
ด้านความบันเทิง/เกม
ด้านการแพทย์
ด้านการสร้างงานศิลปะ
อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง
เป็นเทคโนโลยีจากการที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ
สามารถเชื่อมต่อหรือสื่อสารถึงกันได้ผ่านทางอิน
เทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน สมาร์ทวอทช์
รถยนต์อัจฉริยะ และอุปกรณ์อื่นๆ โดยมีจำนวน
อุปกรณ์ IoT ทั่วโลกนับหลายพันล้านชิ้นและมี
แนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ความสำคัญของอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง
อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง ทำให้อุปกรณ์
อิเล็กทรอนิกส์เชื่อมต่อและมีการแลกเปลี่ยนข้อมูล
ระหว่างกัน ส่งผลให้ในแต่ละวันเกิดข้อมูลปริมาณมาก
สะสมกันเป็นจำนวนมหาศาล การดำเนินการทางธุรกิจ
จึงหันมาใช้เทคโนโลยี IoT เพื่อเพิ่มศักยภาพในการ
แข่งขันทางธุรกิจและการให้บริการ
ปัญญาประดิษฐ์
แนวคิดด้านปัญญาประดิษฐ์
การเรียนรู้ (Learning)
การปฏิสัมพันธ์อย่างเป็นธรรมชาติ (NaturalInteraction)
การแทนความรู้และการให้เหตุผล
(Representation and Reasoning)
ผลกระทบทางสังคม (Social Impact)
การรับรู้ (Perception)
ในปัจจุบัน ปัญญาประดิษฐ์เข้ามามีบทบาทสำคัญใน
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ผู้ช่วย
อัจฉริยะ (Intelligent personal assistant) อย่าง Siri ของ
Apple, Cortana ของ Microsoft, Alexa ของ Amazon,
Google Assistant ของ Google ที่สามารถรับคำสั่งเสียง
ของมนุษย์ ไปประมวลผลแล้วตอบคำถาม จัดการสิ่ง
ต่างๆ ตามคำสั่งที่ได้รับ หรือรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
ที่สามารถแล่นไปยังจุดหมายปลายทางโดยที่ผู้โดยสาร
บนรถไม่ต้องขับขี่เอง
บทที่ 5 การแบ่งปันข้อมูล
เทคนิดและวิธีการแบ่งปันข้อมูล
ช่องทางในการสื่อสาร
1 การสื่อโดยตรง
2 สื่อมวลชน
3 สื่อสังคมออนไลน์
1 การพูดคุยต่อหน้าหรือ
ทางโทรศัพท์ การ
รายงานหน้าห้อง เป็น
ช่องทางที่ผู้ส่งสามารถ
สังเกตและรับรู้ปฏิกิริยา
ของผู้รับได้โดยตรง
2 วิทยุ โทรทัศน์
หนังสือพิมพ์ เป็นสื่อที่
เน้นการสื่อสารทางเดียว
แต่สามารถกระจายสาร
ไปยังคนหมู่มากได้
3 เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือเว็บ
บอร์ด โดยสื่อสังคมจะเป็นช่อง
ทางสื่อสารที่มีการโต้ตอบ
ค่อนข้างสูง ทำให้ผู้ส่งมีโอกาส
อธิบายเพิ่มเติม หรือแก้ไข
ปรับปรุงรูปแบบสารได้อย่าง
ข้อควรระวังในการแบ่งปันข้อมูล
ไม่มีความลับในสังคมออนไลน์
คนในกลุ่มที่เราแบ่งปันอาจคัดลอกข้อมูลนำ
ไปเผยแพร่ต่อสาธารณะ รวมทั้ง อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจทำให้ข้อมูลกลายเป็นข้อมูลสาธารณะ
ข้อมูลบางชนิดอาจถูกนำมาใช้หลอกลวง
ผู้ไม่ประสงค์ดี อาจใช้ข้อมูลเหล่านี้
ทำ การฟิชชิง (phishing) เพื่อหลอกลวงเอา
ข้อมูลสำคัญของเราได้ เช่น เราอาจจะได้รับ
อีเมลปลอมจากธนาคารที่ระบุตำแหน่ง
หน้าที่การงานของเราได้ถูกต้อง ทำให้เรา
รู้สึกว่าเป็นอีเมลจากธนาคารจริงและให้
ข้อมูลที่สำคัญไป
ข้อมูลบางชนิดไม่ควรเปิดเผย
ข้อมูลด้านสุขภาพ ด้านการเงิน หรือ
หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน เป็น
ข้อมูลที่ต้องระวัง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลของตน
เอง หรือของผู้อื่นก็ตาม เพราะเป็นข้อมูลที่
ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถนำไปใช้แสวงหาผล
ประโยชน์ได้
ข้อมูลที่มีลิขสิทธิ์หรือข้อมูลส่วนตัว
เช่น ผลงานเพลง ประวัติคนไข้ หรือหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน เป็นข้อมูลที่ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย หากนำไปเผยแพร่อาจทำให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของข้อมูล และผู้แบ่งปันอาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอีกด้วยการรักษาข้อมูลที่ได้รับการปกป้อง
องค์ประกอบและรูปแบบพื้นฐานในการสื่อการ
คล็อด แชนนอน (ClaudeShannon) และ
วาร์เรน วีฟเวอร์ (Warren Weaver)
ได้นำเสนอรูปแบบการสื่อสาร
ซึ่งประกอบด้วย ผู้ส่ง ช่องทาง
และผู้รับ เพื่ออธิบายรูปแบบการสื่อสาร
ด้วยโทรศัพท์และวิทยุสื่อสาร
เดวิด เบอร์โล (DavidBerlo)
ได้ขยายรูปแบบและองค์ประกอบ
พื้นฐานของการสื่อสารโดย
เพิ่ม สาร เข้าไปในองค์ประกอบหลั
กด้วย รูปแบบการสื่อสารนี้ เป็น
พื้นฐานในการศึกษาด้านการ