Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

01162611 Curriculum Innovation and Educational Change รศ,ดร,นาตยา…

- - - - New Professionalism
        
        มีความเป็นมืออาชีพ
      - Citizen Empowermen
        
        มีความเป็น Citizenship
      - คือ การคำนึงถึงส่วนรวม (มีจิตสำนึกที่ดี)
        Responsibility : ความรับผิดชอบตามตำเเหน่งหน้าที่/บทขาท/การงาน (Physical)
        Accountability : การคำนึงต่อส่วนรวม/รับผิดชอบผลกระทบต่อสังคม (จิตสำนึก)
        สิ่งเหล่านี้มีความเปราะบางในสังคม ละเอียดอ่อน และเสี่ยงเกิดความขัดเเย้ง
    - - การจัดการศึกษาแบบ Routine จะไปไม่รอด เพราะเมื่อเกิด Pattern จะถูกใช้ AI เข้าเเทนที่
    - - MOOCs เป็น Personalized (Individual Needs)
    - - ควรบรรจุความหลากหลายลงไปในหลักสูตร
    - - Premodern
        
        วังวน
        ติดอยู่ในพื้นที่จำกัด
        พระเจ้าสูงสุด
        Leader เป็นศูนย์กลาง
        ยึดกรอบความคิดตนเอง
      - Modern
        
        เจ้าหลักการ มีระเบียบ
        ยึดติดกรอบความคิด
        มีเเบบแผน (Pattern) กฎ ระเบียบ กติกา
        มุ่งก้าวไปข้างหน้า
        ร่วมมือ ช่วยกัน เเต่อยู่เเนวเดียวกัน
        ไม่ตกอยู่ในวังวนเเบบ Premodern
        มีข้อจำกัดด้านความคิดสร้างสรรค์/จินตนาการ
      - Postmodern
        
        กำลังมาเเรง
        อาจก่อให้เกิด Selfishness ได้
        มีอิสระทางความคิด
        มีความกระจัดกระจาย หลากหลาย นอกกรอบ
        ไร้รูปแบบ ยุ่งเหยิง หา Pattern ไม่ได้
      - สามารถนำ 3 เเนวคิดนี้ ทำความเข้าใจผู้อื่นได้
      - ในสังคมจะมีทั้ง 3 ลักษณะ
      - สามารถนำไปใช้เทียบเคียงความเป็นจริงในปัจจุบัน
      - สภาพของสังคม 3 รูปแบบนี้ มีความหมายกลาง ๆ
      - มองมุมบวก : เป็นการทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
        มองในมุมลบ : เป็นการตัดสิน
    - - สังคมข่าวสาร (สมัยก่อน) สังคมอุดมปัญญา (ปัจจุบัน)
      - มีคำเกิดขึ้นมากมาย อาทิ Data/Information/Knowledge/Contents/Facts
      - Data (ก้อนใหญ่) > Information (แยกออกมาเเล้ว) > Knowledge (เริ่มสร้างความหมาย) > Concepts
      - Knowledge Society เป็นการก้าวข้ามจาก Modern ไปสู่ Postmodern
        มีความหลากหลาย (จาก Static เป็น Dynamic)
        1+1 ไม่เป็น 2 เสมอไป
        ไม่มีการเรียงเป็นลำดับหรือแบบเเผนก่อนหลัง
      - การทำสิ่งใหม่ (เปลี่ยนเเปลง) ที่ต่างไปจากเดิมมีความเสี่ยง ต้องสร้างภูมิคุ้มกัน (โอกาส) เเละมีเเผนการบริหารความเสี่ยงที่ดี
      - รอยต่อระหว่างสิ่งเก่าเเละใหม่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ คือ มีความไม่เเน่ใจ สับสน ท้าทาย
    - - เลือกเป็นรูปแบบอื่นได้
    - - ผู้คนหลากหลายวัย/ประสบการณ์ ที่อยู่ร่วมกัน
        ในวงการศึกษาพบได้น้อย
        มีทางเลือกที่หลากหลาย อยู่ร่วมกันแต่คนละบริบท
    - - Recruitment (บริบท)
      - On the Job Training (บริบท)
      - Other Learning & Development (บริบท)
      - Performance Appraisal (บริบท)
      - Compensation (บริบท)
      - Career Path Planning (บริบท)
      - Succession Planning (บริบท)
      - Internal Selection (บริบท)
      - Phase : be able to,,,> Reskill/Upskill > Skill Map
        อุดมศึกษาเริ่มให้ความสนใจกับ Skill Map
        Skill Map : Skills อะไรที่จะ Map กับรายวิชา (กว้างกว่า Curriculum Mapping)
        Skills เป็นเป้าหมายปลายทางในการศึกษา
        Reskill : เมื่อทำงานใหม่ที่ต่างจากเดิมให้เรียนรู้งานเดิมจากบริบทใหม่ (ครูสอนภาษาอังกฤษไปสอนสังคมศึกษา)
        Upskill : เพิ่มความรู้ให้มากขึ้นจากงาน
        Reskill > Upskill > Newskill
    - - High Impact Practices
      - Experiental Co-Curriculum
      - Participatory Culture
      - Informal Learning
      - หลักสูตรฝึกอบรม หาก Formal มากเกินไปจะทำให้ขาดอรรถรส
        กฎ ระเบียบ กติกา ที่มากเกินไป เป็นเหมือนเม็ดกรวดเม็ดทรายที่ทำให้ไม่ราบรื่น
        Action Knowledge เป็นสิ่งที่สำคัญ
    - - University
      - Education
      - School
      - Curriculum & Instruction
      - Teacher
      - Service
      - จะทำอย่างไรให้ปัจจัยเหล่านี้ Smart
        Soft Power : สามารถทำให้ Smart ได้ เพราะจะเกิดความโดนใจ/มีเสน่ห์/ผู้เรียนสามารถเลือกได้
    - - Standard-Based Curriculum เป็น รูปแบบหลักสูตร
      - Tyler เเละ Taba มองว่าการพัฒนาหลักสูตรเป็น Process
      - เมื่อรู้ Factors แล้วต้องนำมาใช้ประโยชน์/จัดการศึกษา/หลักสูตร/การประเมิน/ฯลฯ
      - Sandbox เป็น นวัตกรรม
      - Gestalt's Theory ให้ความสำคัญกับ รูปธรรม เเละ จับต้องได้ (ไม่ใช่การบรรยาย)
      - นักหลักสูตรต้องมีลักษณะ Future-Oriented คือ มองไปข้างหน้า
    - - ในการจัดทำหลักสูตรควรคำนึงถึงประเด็นปัญหาทางสังคม
  - - - ทั่วโลกมีมาตรฐานเป็นตัวกำหนดทุก Sessions
        เพราะมีการกระจายอำนาจจากศูนย์กลางออกไป (ไม่ใช่เเบบ Premodern)
      - มีการกำหนดมาตรฐานเพราะมี Accountability
        เเละเพื่อสร้างหลักประกันให้เเก่ผู้บริโภค (หลักสูตร)
      - หลักสูตรของประเทศไทยถูกกำกับด้วยมาตรฐาน
      - มหาวิทยาลัยไม่ได้นำ มคอ,1 ใช้สอน (ถูก) เเต่โรงเรียนนำหลักสูตรเเกนกลางไปใช้ (ผิด)
      - มาตรฐาน ไม่ใช่ หลักสูตร
      - หลักสูตรในโรงเรียน ฉบับบ พ,ศ, 2533 เป็นยุคสุดท้ายที่ยังไม่เป็นเเบบมาตรฐานเหมือนปัจจุบัน
        ซึ่งทั้ง 3 เล่ม (ประถมศึกษา ม,ต้น เเละ ม,ปลาย) ถือเป็น หลักสูตรของจริง
      - หลักสูตรต้องมีกลุ่มรายวิชา (หลายรายวิชา) เป็นกลุ่ม ภายในจะบรรจุด้วย Courses ย่อย ๆ
        เเละต้องมีรายวิชา รหัสรายวิชา คำอธิบายรายวิชา ระยะเวลาเรียน เป็นต้น
        หากไม่มีองค์ประกอบเหล่านี้ ไม่ถือเป็น หลักสูตร
      - หลักสูตรในโรงเรียน ฉบับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (3 เล่ม) เป็นเหมือน มคอ,1 ของมหาวิทยาลัย
        ไม่ถือเป็น หลักสูตร
      - หัวใจสำคัญของหลักสูตร คือ รายวิชา
        และ หลักสูตร ต้องมีชื่อหลักสูตร
    - - ในหลักสูตรแกนกลาง (2 เล่ม) จะมีตัวชี้วัดระดับชาติเเละสถานศึกษา
        คล้ายกับ LOs ของมหาวิทยาลัย
      - หลักสูตรท้องถิ่น (มีใช้)
        สาระท้องถิ่น (ไม่มีการใช้คำนี้)
      - สาระ (Strand) กำกับมาตรฐานที่ครบองค์ประกอบ
      - มคอ,1 เป็น หลักสูตรเเกนกลาง
        มคอ,2 คือ หลักสูตร
      - สาระการเรียนรู้เเกนกลาง (Topics of Contents)
      - ในโรงเรียนเข้าใจผิดเพราะว่ามองตัวชี้วัดเป็นหลักสูตร
        ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านี้ไม่ครอบคลุมตัวชี้วัด
    - - ต่างชาติไม่ให้การยอมรับเพราะไม่มีการกระจายอำนาจเเละนำตัวชี้วัดมาสอน (นำมาใช้เเบบดิบ ๆ)
      - การนำมาตรฐานเเละตัวชี้วัดมาใช้สอนแบบดิบ ๆ
    - - มีการนำมาตรฐานเเละตัวชี้วัดมาปรุงรส (ถักทอ ปรุงเเต่ง ผสมผสาน) ไม่ได้นำมาใช้สอนแบบดิบ ๆ
      - Standard-Based (เป็นหน้าที่ของรัฐที่ให้คำเเนะนำเท่านั้น) จะเเตกต่างจาก Outcomes-Based (สถานศึกษากำหนดเอง)
    - - สพฐ, เเละ อว, คือ ผู้กำกับมาตรฐาน
      - โครงสร้างหลักสูตร ถือเป็น หัวใจ
      - วิชาเพิ่มเติม (ในโรงเรียน) คือ รายวิชาเลือก
    - - นัก,,, (การศึกษา/วิขาการ/,,,) ต้องมี Character และต้องสร้างขึ้นมาด้วยตนเอง
      - ครูต้องให้ความเคารพหลักสูตร (เป็นพันธสัญญาว่าข้าพเจ้าจะ,,,)
      - Misconcepts : หลักสูตรอบรม หลักสูตรในโรงเรียน หลักสูตรในมหาวิทยาลัย ฯลฯ
        เมื่อเกิดความเข้าใจผิดพลาดก็ทำให้คนทำผิดบทบาทหน้าที่
      - การทำหลักสูตร คือ การเดินเรื่องไปตามกติกา มีลำดับขั้นตอน
      - หลักสูตรรายวิชา (ผิด) เพราะหลักสูตร (Curriculum) ไม่ใช่รายวิชา (Course)
        หลักสูตร คือ รายวิชาทั้งหมดที่รวมกันอยู่ (บริบทในโรงเรียนมักสับสน)
        หากใช้ผิดพลาดจะส่งผลต่อหลักสูตรและเกิดความเสียหายได้
      - ยุคมาตรฐานของโลก อยู่ที่ USA ราวปี ค,ศ,1989
        ควรศึกษาเรื่อง Standard-Based/นวัตกรรม/เเนวคิดการศึกษา จากนักการศึกษาชาวอเมริกัน (ต้นเเบบ)
      - Subject-Matter Curriculum : หลักสูตรเเบบรายวิชา (ไม่ใช่ หลักสูตรรายวิชา)
      - วิชา ส,ป,ช, เเละ ส,ล,น, : บูรณาการ
      - ควรค้นคว้าข้อมูลจากเเหล่งข้อมูลต่างประเทศ ไม่ควรศึกษาจากฉบับแปล เพราะอาจมีการเเปลที่ผิดเพี้ยน
      - หากออกเเบบมาตรฐานอย่างเข้าใจ มาตรฐานนั้นจะมีชีวิตชีวา
- - - - Standard-Referenced : ยึดเเต่ตัวชี้วัด (ไม่ดี)
      - Standard-Based : ปัจจุบันเป็นเเนวนี้เหมือนกันหมด
        มีการปรุงรสเเละไม่นำมาตรฐานเเละตัวชี้วัดมาใช้เเบบดิบ ๆ เหมือน Standard-Referenced ที่นำตัวชี้วัดมาใช้เเบบตรง ๆ ไม่ปรุงเเต่ง
      - Standard-Based มีคุรุสภากำกับมาตรฐาน
      - ใน Stndard-Based จะมี Standard-Referenced
        คือ เอามาตรฐานเเละตัวชี้วัดถักทออยู่ในรายวิชา
      - มาตรฐานเเละตัวชี้วัด (Standard-Referenced) นำมาปรุงเเต่งเป็น Standard-Based
    - - กลุ่มรายวิชาพื้นฐาน (บังคับ)
      - กลุ่มรายวิชาเพิ่มเติม (เลือก)
    - - ขอบเขตสาระ/ขอบข่ายสาระ : คำเรียกสมัยเเรกของ Standard-Based
      - ต้องคำนึงถึง เพื่อความรอบคอบ/ครบถ้วน/ครอบคลุม
      - ประเด็น/ขอบเขตเนื้อหาสาระ/เกี่ยวกับ,,,
    - - การเรียงลำดับก่อนหลัง
      - เพื่อไม่ให้สะเปะสะปะ สับสน วุ่นวาย
    - - เหมือนเกลียวของเชือกที่นำมามัดรวมกัน
        เพื่อให้องค์ความรู้เข้มเเข็ง ทนทาน
    - - ปรัชญา
      - วิสัยทัศน์
      - เอกลักษณ์
      - อัตลักษณ์
      - พันธกิจ
      - ภารกิจ
      - เป้าหมาย
      - หลักสูตรสถานศึกษา
      - align
      - weave
      - map
    - - Content-Centered
        
        Content-Based
      - Teacher-Centered
      - Student-Centered
        
        ผู้เรียนได้ประโยชน์อะไร
      - สร้างมูลค่า
      - มองเห็นรูปแบบหลักสูตร
      - มองเห็นการจัดการเรียนการสอน
        และการประเมิน
      - คำอธิบายรายวิชาต้องมี Curriculum Focus
        ต้องเขียนเเบบสร้างมูลค่า
    - - การทำหลักสูตร มี 2 เเนวทาง : สร้างใหม่ เเละ ปรับปรุง
        จะมี ปี พ,ศ, กำกับเพื่อบอก Version
      - จุดเริ่มต้นการจัดการศึกษา คือ การกระจายอำนาจ
        จึงต้องมีมาตรฐานกำกับ
      - มาตรฐาน ไม่ใช่ หลักสูตร
        การนำมาตรฐานมาใช้ต้องมีศิลปะ
      - Subject-Centered : เเยกเป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้
      - หลักสูตรใหม่ : โครงสร้างเปลี่ยน (ชื่อหลักสูตร)
        เเต่หากไม่กระทบจะเป็น ปรับปรุงหลักสูตร (โครงสร้างเดิม)
      - ไม่ควรนำ มคอ/สภาวิชาชีพ/ฯลฯ มาใช้ผูกขาดการสอน/การประเมิน
      - วิธีที่ง่ายที่สุด : ปรับปรุงหลักสูตรเดิม
        (Standard-Based/Outcome-Based/Competency-Based/,,,)
      - คำอธิบายรายวิชาในโรงเรียนจะมี Pattern คล้าย ๆ กัน (ไม่ดี)
      - หลักสูตรประถมศึกษา : เป็นเเบบรายปี (1 ปี ตัดเกรดเดียว)
        หลักสูตรมัธยมศึกษา : เป็นเเบบรายภาคเรียน
      - เรียนรู้หลักสูตรได้จากคำอธิบายรายวิชาเเละตัวอย่างหลักสูตร
      - เเต่ละรายวิชาต้องหาจุดเน้น (Focus) เเละตั้งชื่อรายวิชาให้ต่างกันไป
      - การกำหนดหมายเลขในรายวิชา
        มหาวิทยาลัย : Prerequisite เเต่ โรงเรียน : ลำดับที่
      - Ultimate Goal : เป้าหมายสูงสุด
        คำอธิบายรายวิชา ควรเขียนเเบบมองเป้าหมาย ไม่ควรลอกตัวชี้วัดมาเขียน เเละไม่ควรเขียนเเบบ Check List
      - Course Focus : สิ่งที่จะมุ่งเน้น/จุดประสงค์ของรายวิชา
      - Writing Style ในการเขียนคำอธิบายรายวิชามีความหลากหลาย
        ควรนำมาตรฐานเเละตัวชี้วัดมาเเต่งตัวร้อยเรียง
      - ต่างชาติเขียนคำอธิบายรายวิชาเเรวมกัน เเต่ของไทยเขียนเเยกเป็นส่วน ๆ
      - ในคำอธิบายรายวิชา จะมีการใส่ Issue ที่จะได้เรียน ควรเขียนสั้น ๆ มีเเก่น เเละ Focus/Concept
      - Thematic-Based Curriculum : หา Theme ของผู้เรียน เเล้วสร้างประเด็นเป็น Theme มีการเรียงลำดับ
        ทำค่อนข้างยาก
      - การออกเเบบ Unit Design (หน่วยการเรียนรู้) ต้องตีความจากบริบท (Situation-Based : มองผู้เรียน/บริบท)
      - มี Style การเขียนคำอธิบายรายวิชาเเบบประโยคคำถาม นำทาง จูงใจ
        หรือพูดคุยให้เกิดความรู้สึกอยากหาคำตอบในเนื้อหาของรายวิชา
      - รายวิชาอาจมี 2 Version
        สำหรับผู้เรียนทั่วไป และ ผู้เรียนที่มีความสามารถพิเศษ
      - การปรับหลักสูตร ไม่ได้รื้อโครงสร้าง เเต่ปรับ Focus
      - หลักตั้งต้นการออกเเบบหลักสูตรหรือรายวิชา
        คือ ต้องการให้ผู้เรียน เป็น นัก,,, แล้วกำหนดจุดเน้น (Focus)
      - รายวิชา Gen Ed ส่วนมากเป็นเเบบ Thematic-Based
        ต้องไม่เขียนคำอธิบายรายวิชาเเบบรายวิชาเอก
- - - - รายวิชาโดด ๆ (เป็นหมวด/กลุ่มรายวิชา)
      - Specific Subject
        Focus on Content
        Correspond to the Textbook
      - เป็นหลักสูตรเเยกรายวิชาตามศาสตร์ (รูปแบบโบราณ)
        เเต่บางศาสตร์ยังคงต้องมีอยู่
      - เน้นสอนเนื้อหา/ตำรา/วิชาการ
      - Monodisciplinary
        
        เอกวิทยาการ
      - Subject Design/Discipline Design
      - Broad Fields Design
        
        เพื่อไม่ให้สิ่งที่เรียนกระจัดกระจาย
        
        ภาษาไทย : การฟัง/พูด/อ่าน/เขียน/,,,
        เป็นการนำเเขนงวิชามารวมกัน
      - Correlation Design
        
        ภูมิศาสตร์ + ประวัติศาสตร์ หรือ วิทยาศาสตร์ + สุขศึกษา
        ยังมีความกระท่อนกระเเท่น
      - Cross Disciplinary Design
        
        ข้ามวิทยาการ
    - - Content Driven
      - Skill Driven
      - Knowledge Driven
      - การบูรณาการ
        ในส่วนวิชาการ
    - - Society
      - Issue/Problem
      - Evidence/Case
      - Theme/Concept
      - Focus : ต้องคิด Life ก่อน Academic
        เพราะ Life ทำให้ Academic มีความหมาย
      - Life Driven ทำให้ Contents มีความหมายมากขึ้น ในการกำหนด Focus ของคำอธิบายรายวิชา
    - - Disciplines ในโลกนี้ : Contents เเละ Skills
      - พหุวิทยาการ (มองประโยชน์ผู้เรียนว่าต้องสามารถนำความรู้เหล่านั้นไปประกอบอาชีพได้)
      - มี Theme กลาง เเล้วเเทรกเข้าไปในเเต่ละรายวิชาเพื่อให้เป้าหมายเป็นเเบบเดียวกัน
        (เอา Theme เข้าไปบูรณาการในศาสตร์เดิม)
      - นำความรู้จากสาขาวิชาต่าง ๆ รวมไว้ด้วยกัน เเต่รวมในลักษณะเเยกจากกัน
        เนื้อหาความรู้ของสาขาวิชาต่าง ๆ เเยกจากกันเพียงเเค่นำมารวมไว้ด้วยกัน
        การจัดการงานก่อสร้าง : การจัดการ + ก่อสร้าง
      - ยังไม่บูรณาการเท่า Interdisciplinary เป็นเเค่การนำรายวิชาที่หลากหลายมารวมกันให้ Shopping
        เอาศาสตร์ต่าง ๆ ให้เรียน เเต่ต่างคนต่างสอนไม่เปลี่ยนเเปลงสิ่งใด
      - หลักสูตร STEM ของประเทศไทย มีเพียงเเค่ วิทยาศาสตร์ และ คณิตศาสตร์
        STEM เป็นเพียง Concept เเต่ต่างวิชาต่างสอนเเยกกัน
        เป็นนวัตกรรมที่นำมาใช้ให้ผู้เรียนสร้างชิ้นงาน
      - Grade Focus (Theme ของระดับชั้นเรียน) ไม่ใช่ Course Focus
        Focus : จุดเน้น/เเก่น พบได้ในคำอธิบายรายวิชา
      - หลักสูตร สปช,/สลน,/กพอ,
        เเต่มีการนำชื่อหลักสูตร สปช, ไปเป็นรายวิชา เหมือนกันหมดทุกระดับชั้น ทำให้ขาดความชัดเจน
        หากต้องการปรับ หลักสูตร สปช, ต้องเปลี่ยนชื่อรายวิชา เเละ กำหนด Focus
        สปช, (วิทยาศาสตร์/สังคมศึกษา/สุขศึกษา) มีหน่วยการเรียนรู้ที่เเตกต่างกันมากมาย
        เเต่ไม่มี Focus เพราะว่าเน้น Contents ทำให้ดูเหมือน Broad-Field คือ ต่างคนต่างสอน
        ไม่ถึงขั้น Multidisciplinary
      - ในหลักสูตรจะมีรหัสรายวิชาเเต่ละศาสตร์ที่ต่างกัน โดยเลือกเรียนรายวิชาที่จำเป็น (เรียนเเบบจับฉ่าย)
    - - สหวิทยาการ (มีการสร้างรายวิชาใหม่ กำหนด Theme/Concept ใหม่ ปรุงรสใหม่)
      - มี Theme เเต่มีการเดินเรื่องใหม่โดยดึงรายวิชาอื่น ๆ เข้ามาอยู่ใน Theme นั้น
      - มีการเรียน จาก 1 > 2 > 3 โดยดูธรรมชาติของศาสตร์เเล้วเดินเรื่องเป็น Storyline ใหม่
      - นำความรู้ตั้งเเต่ 2 สาขาวิชาขึ้นไปมาหลอมรวมกันเป็นหลักสูตรใหม่ เช่น นิติวิทยาศาสตร์ ชีวเคมี เป็นต้น
      - ถ้าศาสตร์เป็น Content เเละ Content หรือ Skill เเละ Skill ต้องใช้ Life Driven มาใช้บูรณาการ
        ต้องนำศาสตร์ที่เป็น Content เป็นตัวหลัก เเล้วนำ Skill เป็นตัวเชื่อม ก็จะทำให้เกิด Interdisciplinary
      - มักจะบูรณาการจนมองไม่เห็น Discipline เดิม เพราะมีการละลายศาสตร์เเละเดินเรื่องใหม่
      - พิจารณาได้จาก หมวดที่ 2 รายวิชาเอก
      - พิจารณารหัสรายวิชา ก็จะรู้ว่าเป็น Discipline เเบบใด
      - Multidisciplinary : ตั้งชื่อยาก เเต่ Interdisciplinary : ตั้งชื่อง่ายกว่าเพราะว่ามี Concept
      - Interdisciplinary เป็นการ Merge เเต่ Multidisciplinary เป็นการเลือก Shopping
    - - เปลี่ยนผ่านวิทยาการ เป็นหลักสูตรที่หลุดจาก Discipline เป็นหลักสูตรเพื่อชีวิต (เอา Life Driven เป็นตัวตั้ง)
      - นำความรู้สาขาวิชาต่าง ๆ ผสมผสานหลอมรวมกันเป็นหลักสูตรใหม่หรือเนื้อหาใหม่
      - หลักสูตร IB (นานาชาติ) เป็น Franshise มีลิขสิทธิ์ซื้อขาย
      - มีการกำหนด Theme ที่เชื่อมโยงหมดทุกรายวิชา
      - ละลายศาสตร์เเล้วหลอมรวม เช่น พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ : บริหารฯ + จิตวิทยา + เศรษฐศาสตร์ + ประชากรศาสตร์ เเละ
        เวชศาสตร์ครอบครัว : พยาบาล + สังคมวิทยา + ฯลฯ
      - ในโรงเรียนทำได้ยากเพราะเป็นรูปแบบรายวิชา
    - - หลักสูตรฝึกอบรม (Training) ควรเป็นเเบบ Informal
        น่าสนใจ ยืดหยุ่น ไม่เเข็งกระด้าง ไม่เน้นวิชาการมากเกินไป
      - ผู้สอน/ผู้เรียน ต้องตระหนักว่าหากเราใช้ชีวิตมี Pattern จะสู้ AI ไม่ได้
      - Opportunity to Learn (OTL) : เมื่อกำหนดมาตรฐานก็ต้องจัดเตรียมโอกาสให้ผู้เรียนไปถึงเป้าหมายที่วางไว้
        มาพร้อมกับหลักสูตรอิงมาตรฐาน
      - ระดับโรงเรียนจะไม่ค่อยมีโอกาสบูรณาการระดับหลักสูตร
      - จุดเน้น (Focus) > Scope (เนื้อหา/ชีวิต/ความรู้) > Sequence (วิธีการ/กระบวนการเรียนรู้)
        Scope เเละ Sequence (และ Integration) เป็น หัวใจของหลักสูตร
      - Sequence เเต่ละทักษะต่างกัน ของรายวิชาด้านทักษะจะยากกว่า
      - การเขียนคำอธิบายรายวิชา ควรเขียนเป็นกลางเเละยืดหยุ่นเพื่อสามารถเปลี่ยนเเปลงในอนาคตเเละเขียนโดยคำนึงถึงผู้เรียน
        ศิลปะการเขียนไม่สำคัญเท่าจุดเน้น (Focus) ซึ่งเป็นเสาหลักเเละเป้าหมายปลายทางของรายวิชา
      - รายวิชาทักษะ (Skills) : ภาษา คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี เป็นต้น
        รายวิชาเนื้อหา : วิทยาศาสตร์ เป็นต้น
      - ต้องดูโครงสร้างหลักสูตร จึงรู้ว่าเป็นรูปแบบหลักสูตรใด
      - การบูรณาการ ทำให้เกิดศาสตร์ใหม่/องค์ความรู้ใหม่/หลักสูตรใหม่/โครงสร้างใหม่/รายวิชาใหม่/ผู้เรียนใหม่
      - ตัวเลขในรายวิชา
        ประถมศึกษา : ชั้นปี (ตัวเลขเป็นชั้นเรียน) เเต่ มัธยมศึกษา : รายคาบ (ตัวเลขเป็นแค่ Series Number)
      - หลักสูตร ต้องมีรหัสรายวิชา (ระบบเดียวกันทั้งหมด) เช่น วิชาศึกษาทั่วไป วิชาเอก วิชาเลือก
      - Scope/Sequency/Integration : สำคัญมากในการศึกษาในอนาคต
      - การบูรณาการ Theme/Concept จะเป็นเสาหลักเสมอ
      - Multidisciplinary/Interdisciplinary/Trandisciplinary เป็นระบบ เเละก่อให้เกิดหลักสูตรใหม่ ๆ ขึ้น
- - - - OBE : การศึกษาแบบอิงผลลัพธ์การเรียนรู้ ใช้ Bloom's Taxonomy (1950) เป็นเเนวทางกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้
        ใช้เป็นเเนวทางกำหนด Educational Objectives เพราะมีการ Classify เป็นกลุ่ม
        Learning Outcomes คือ หน้าตาของผู้เรียน เป็นองค์รวม/ภาพรวม
        William Speedy ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง OBE นอกจาก Bloom
      - Course Design : การวาง Course ใน Course Structure ว่าควรวางรายวิชาใดตาม Concept
        ต้องใช้ศิลปะในการดึงจากคำอธิบายรายวิชา ตัดเเบ่งออกมาเป็นหน่วยการเรียนรู้
        เป็นงานหนึ่งของนักพัฒนาหลักสูตร
      - มีศาสตร์/สาขาวิชา/คณะวิชา/หลักสูตร/Discipline ใหม่ ๆ จากการเปลี่ยนเเปลงในโลก
      - Focus on Society : กระเเสสังคมกดดันให้ทำหลักสูตรนี้เพื่อเเก้ปัญหาสังคม
        เช่น SDGs : Sustainbility ตอบสนองสังคม
      - LOs : มีความเป็นองค์รวม (Holistic)
        Objectives : วัตถุประสงค์ทั่วไป
      - Knowledge Skills : Hard Skills
        Study Skills/Work Skills : Soft Skills
      - Multidisciplinary : ตั้งชื่อหลักสูตรใหม่ค่อนข้างยาก จึงเกาะติดชื่อศาสตร์
        Interdisciplinary : ตั้งชื่อหลักสูตรใหม่ได้เป็นปกติ
      - พิจารณารหัสรายวิชา/ชื่อรายวิชาา/คำอธิบายรายวิชา ก็จะพอรู้ได้ว่าเป็น Discipline ใด
      - Focus on Society ไม่ใช่ Disciplines
    - - มหาวิทยาลัยวิจัย : ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์/PIM/MIT
      - ต้องมี Evidence คือ หลักฐาน ร่องรอย เพื่อให้เห็นว่าเป็น Research-Based จริง
      - Curriculum Integration ถือเป็น Core Value ของการพัฒนากลักสูตร
      - ทุกยุคสมัยจะไม่มี Curriculum เเบบเดี่ยว ๆ โดด ๆ ต้อง Integration รูปเเบบใดรูปแบบหนึ่งเสมอ
      - Outcomes ของหลักสูตรต้องสร้างนักวิจัย
      - คำอธิบายรายวิชา ควรใช้คำเลี่ยงความซ้ำซาก เช่น วิจัย ตอบปัญหา ค้นคว้า เเสวงหา
      - Research-Based Learning : RBL
      - (1) Research-Led
        
        วิจัยเป็นเเค่เเหล่งความรู้
        นำองค์ความรู้/ผลวิจัยวิจัยมาเป็น Contents ใช้สอน
      - (2) Research-Tutored
        
        นำวิจัยมาให้ผู้เรียนได้วิพากษ์
      - (3) Research-Oriented
        
        นำแนวทางเเละกระบวนการวิจัยมาใช้สอน
      - (4) Research-Based
        
        ให้ผู้เรียนทำวิจัยด้วยตนเอง
      - การศึกษาเเบบเน้นวิจัย ทั้ง 4 เเบบ ไต่ระดับให้เป็นนักวิจัยเเบบมีพื้นฐาน
      - Contents + Process
        ไม่ได้นำ Discipline มาใช้ เเค่นำมาเป็นกระบวนการ (Skills)
    - - Problem-Based Learning : PBL
        เป็นรูปแบบหลักสูตร ไม่ใช่นวัตกรรมการเรียนการสอน
        การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหา เพื่อเข้าใจปัญหา เเละเเก้ปัญหาได้
      - นิยมเขียนคำอธิบายรายวิชาเเบบประโยคคำถาม
      - ต้องใส่ Focus/Emphasis ไม่ใช่ Contents ในการสร้างรายวิชา
      - หลักสูตรแบบนี้ไม่นิยมเรียกว่า Multidisciplinary หรือ Interdisciplinary
        เพราะว่าไม่มี Theme
      - หลักสูตรเเพทย์ต่างประเทศจะนิยม PBL
      - มีระบบ Coach อาจารย์ผู้ช่วยผู้เรียน ดูแลจัดการปัญหา
      - เรียนรู้จากปัญหา ศึกษาเหตุปัจจัย เพื่อหาเเนวทางเเก้ปัญหา
      - Coach จะยิ่งกว่า Facilitator ที่ช่วยชี้เเนะร่วมกับผู้สอนหลัก โดยใช้กระบวนการ Problem Solving
      - PJBL : Project-Based Learning
      - ขั้นตอนสร้าง Unit Design จะยากสุด
      - Modules สามารถเป็น Course หรือ เทียบเท่ารายวิชาก็ได้
        มีหน่วยกิตมากหรือน้อยก็ได้
      - ตัวหลักสูตรจะเป็น Modular Curriculum
      - Sandbox : เรียนเป็น Unit สำเร็จรูป (เดี่ยว ๆ)
      - Unit of Learning หรือ Learning Unit (หน่วยการเรียน)
        เป็นตัวเเทนของรายวิชา ไม่ได้ตัดออกมาจากคำอธิบายรายวิชา
        ต้องสังเคราะห์ เเละพิจารณาเลือกเเบบองค์รวม
      - สอนเเบบเป็นทีม มีการ Integration ปริมาณ Contents (What to Teach) จะน้อย เรียนเเบบองค์รวม (Big Idea)
    - - สมรรถนะ
        
        ระดับอาชีวะ และอุดมศึกษา
        มุ่งให้มีสมรรถนะเเละความสามารถจริงจัง
        
        ระดับการศึกษาขั้นพื้นนฐาน
        เตรียมสู่โลกของการทำงานอย่างเป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบ
        
        เกิดจากการสะสม มีเกณฑ์ประเมิน เพราะเป็น Performance
      - Ability
        
        ความสามารถ
        ถูกต้องตามขั้นตอน ทฤษฎี หลักการ
      - Skill
        
        ทักษะ
        มีการฝึกฝน
      - Competency
        
        สมรรถนะ
        เข้ามาในประเทศไทย พ,ศ, 2524
        คำเดิม คือ สมรรถวิสัย
        
        เป็นความสามรถที่โดเด่นกว่าปกติ
        มีการฟูมฟัก ไม่สามารถเกิดได้ตามบริบทปกติ
        
        มีการสร้างโจทย์ที่คาดการณ์ไม่ได้
        เพื่อให้เจอเเรงกดดัน/Challenge
      - แนวคิดดั้งเดิม คือ การเตรียมคนเข้าสู่โลกของการทำงาน
      - ผู้สอนเตรียมประสบการณ์ให้ผู้เรียน (เอางานที่ท้าทายให้ทำ)
      - ผู้เรียนจะเเสดงออกมาว่ามีสมรรถนะ โดยผู้สอนช่วยเหลือ
        ในการใส่ความผิดปกติให้ผู้เรียนเเสดงออกมา
      - CEFR ไม่ใช่ Competency เเต่เป็น Proficiency
      - มีการมอบหมายภาระงานให้ทำ
      - ต้องมอง Character ผู้เรียน เเละมี Rubrics ตาม Scales ต่าง ๆ
      - ถ้ามีรูปแบบ/Pattern/Step จะไม่เกิด ต้องสอดเเทรกความไม่ปกติในการสอน
      - งาน : Work > Task > Job > Career
        ใน Work มี Task ย่อย ๆ (ภาระงาน)
      - ต้องมี Workplace Context คือ โจทย์งงาน
        ในบริบทต่าง ๆ ที่หลากหลายเเละไม่ปกติ
      - ใน Task จะมีบทบาทหน้าที่
      - ใส่เงื่อนไขในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดพฤติกรรม
- - - - ในต่างประเทศมีพื้นฐานมาจากกระเเสการเเบ่งเเยกเชื้อชาติ สีผิว
        เพื่อให้สามารถเรียนข้ามเขตได้ (ค่าใช้จ่ายสูง)
      - ใน Magnet School มี Magnet Program
      - เป็นโรงเรียนปกติ เเต่ Highlight อยู่ที่หลักสูตร
      - มีระบบบริหารจัดการ
    - - โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ (บนลงล่าง) เเละ โรงเรียนกำเนิดวิทย์ (ล่างขึ้นบน)
      - มีความเข้มเเข็งทางวิชาการ เน้นการส่งมอบระดับมหาวิทยาลัย
      - ประเทศไทย มีเเค่ Magnet Program (ไม่มี Magnet School)
      - หลักสูตรความเป็นเลิศ (เรียนครบ 8 กลุ่มสาระ ไม่ได้ตัดอะไรออก)
      - ผู้เรียนมีความเชี่ยวชาญมาก (มีเเฟ้มผลงาน)
        มีการสะสมผลงานเพื่อส่งต่อในระดับที่สูงขึ้น
      - ต้องเป็น Standard-Based ไม่ใช่ Standard-Referenced
      - อาจสร้างรายวิชา 2 Version (ผู้เรียนหลักสูตรปกติ เเละ ผู้เรียนหลักสูตร Magnet)
      - เป็นหลักสูตรสำหรับโรงเรียน (มหาวิทยาลัยสามารถสร้างความร่วมมือ)
    - - โปรเเกรม AP เป็นโปรเเกรมระดับชาติ
      - นักเรียน ม,ปลาย เข้าเรียนในโปรเเกรม (ต่างประเทศมี ม,ต้น ด้วย)
      - เป็นรายวิชาระดับมหาวิทยาลัย สร้างขึ้นมาเพื่อให้นักเรียนในโรงเรียน ม,ต้น ม,ปลาย
        เรียนเเล้วสามารถนำไปเทียบโอนได้ทั่วประเทศ (ตามข้อตกลงกัน)
      - AP College Board ของต่างประเทศ เป็นองค์กรเทียบเท่า สป,อว,
      - ในอดีต สวทช, ให้มหาวิทยาลัยมีการเรียนล่วงหน้า (AP ด้านวิทยาศาสตร์ และ คณิตศาสตร์)
      - เทียบเท่ากับรายวิชาพื้นฐานหรือหมวดวิชาศึกษาทั่วไป (เรียนล่วงหน้า
        ไม่ใช่ Credit Bank หรือ Non-Degree/Pre-Degree
      - ดูเเลเเละควบคุมโดยคณะกรรมการ AP College Board
      - ไม่ให้เรียนเกิน 6 รายวิชา เพราะ Overload เเละมีความเข้มข้น
      - ไม่บังคับเรียน เหมือนเป็นรายวิชาเลือกที่มีเป้าหมาย (ไว้ใช้ในระดับมหาวิทยาลัย)
      - มีการทำ Package สำเร็จรูป โดยอาจารย์ระดับมหาวิทยาลัยสร้างขึ้น
        ผู้สอนเป็นครูในโรงเรียนหรืออาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่ผ่านการอบรมโดย AP College Board
      - ผู้เรียนจะเรียนเเบบรักษาเกรดไว้ใช้
      - AP บางรายวิชาไม่ต้องเรียนก็ได้เเค่สอบ ถ้าสอบผ่านถือว่าผ่าน
      - รายวิชา AP มีเป็นร้อยรายวิชาให้เลือก
      - ต่างประเทศ : มีระบบบริหารจัดการ สามารถใช้ผล AP ได้ทั่วประเทศ
        ประเทศไทย : จำกัดมหาวิทยาลัย
    - - Non Degree
        
        (2) Visiting Students
        
        ผู้เรียนเป็นกลุ่มคนทำงาน
        
        (1) Exchange Students
        
        นักเรียนหรือนักศึกษาต่างมหาวิทยาลัยเรียน
        เพื่อรับ Certificate/หน่วยกิตไปใช้
        
        MOOCs Courses
        
        เรียนเเล้วไม่ได้ปริญญาแต่ได้ความรู้/ได้เกียรติบัตร/Certificate
        
        ระดับมหาวิทยาลัย (บริหารจัดการค่อนข้างยาก)
        
        ตลาดวิชา คือ ไม่อยากลงทะเบียนเรียนทั้งหมด แค่เลือกเรียนบางรายวิชา
        
        ไม่ใช่การสร้างรายวิชาใหม่ แค่กำหนดสัญลักษณ์ในรหัสรายวิชา
        
        ควรเป็นรายวิชา Stand Alone ไม่มี Prerequisite เรียนอะไรก่อนหลังได้
        
        Unit มีความน่าสนใจ เรียนเเล้วพร้อมใช้
        
        เป็นลักษณะคล้ายหลักสูตรอบรม
        
        Modules แนว Problem/Issue/Competency/Tasks
        
        กลุ่มเป้าหมาย : นักเรียน/นักศึกษามหาวิทยาลัยอื่น/ประชาชนทั่วไป
      - Dual Degrees
        
        สองคุณวุฒิ/ปริญญา
        Multi/Interdisciplinary
        
        มองมูลค่าในอนาคต
      - Program Double Degree
      - Combined Degree
      - Concurrent
        
        จบ 1 ปริญญา เเล้วต่ออีก 1 ปริญญา
        
        Associate Degree (AAS) : อนุปริญญา
      - Consecutive
        
        มี 1 ปริญญาตั้งต้นเเละเรียนควบอีก 1 ปริญญา
      - Second Degree
      - Dual Credit Program
        
        เก็บสะสมหน่วยกิต เพื่อลดชั่วโมงเรียนเเละค่าใช้จ่าย
    - - หลักสูตรฝึกอบรม
      - Personalized/Inquiry-Based/Collaborative/Interdisciplinary/Networked
    - - หลักสูตรติวเตอร์
      - Equity, safety and cohesion/The tutors/Instruction/Learning integration/Data
    - - ความไม่พอใจ ตอบสนองความต้องการ เป็นเหตุให้เกิด Magnet School/Program
      - ประเทศไทยมีชั้น ม,ปลาย แต่ต่างประเทศมีตั้งเเต่ชั้นประถมฯ
      - สถานประกอบการพร้อมรับนักเรียน Magnet เข้าทำงานทันที
      - การศึกษาทุกระดับต้องมี Track เชื่อมโยงส่งต่อกันในเเต่ละระดับ
      - Frame of Reference : กรอบเเนวคิดเพื่อใช้เลือกตัวเเทนจากสิ่งทั้งหมด
      - รายวิชา Prerequisite ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรมี
        เป็นเเบบ Self-Contained ดีกว่าเพราะยืดหยุ่นเเละบริหารจัดการง่าย
      - รายวิชาที่มี Honors ท้ายชื่อ คือ ห้องเรียนพิเศษ (Gifted/King/Queen)
      - หลักสูตร Magnet มีโครงสร้างปกติ เเต่รายวิชาจะสะท้อนความเป็นเลิศ
      - หมายเลขท้ายชื่อรายวิชา ต่างประเทศ คือ Prerequisite เเต่ประเทศไทย คือ ลำดับที่
      - ม,ปลาย เเบ่งออกเป็นแผนการเรียน (ชื่อสมัยก่อน)/โปรเเกรมการเรียน (ชื่อปัจจุบัน) ตามความชอบของผู้เรียน
      - Magnet คือ การเตรียมตัวเพื่อเดินทางสู่ระดับการศึกษาที่สูงขึ้น
      - Joint Degree Program : โครงการความร่วมมือระหว่างสถาบัน
      - เป้าหมายของ Magnet เเละ AP คือ เพื่อให้โรงเรียนเเละมหาวิทยาลัยเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
      - Honours (1) โปรเเกรมเกียรตินิยม (2) โปรเเกรมปกติ (เกรดดีเยี่ยม)
      - ในต่างประเทศ เกียรตินิยม มีค่าตอบเเทนเพิ่ม
  - - - หลักสูตรที่นำไปสู่ Sandbox
      - เเตกออกเป็นหน่วยย่อยเล็ก ๆ
      - โมดูล : 1 Course หรือ 1 Unit
      - Outcome-Based
        Skill-Based
        Project-Based
        Research-Based
      - เป็นอิสระ เบ็ดเสร็จ ไม่บังคับ ระยะสั้น
      - สะสมหน่วยกิตเป็น Credit Bank
      - เรียนรู้ด้วยตนเอง
      - Mini Course Module :
        คล้ายหลักสูตรฝึกอบรม (ระยะสั้น)
      - รายวิชา MOOCs Course
        มาจาก Module เป็น Non Degree ได้
      - มีการใช้สื่อหลากหลาย
      - เเต่ละ Module จุดเน้น ต้องชัด
      - เสมือนสื่อสำเร็จรูป
      - Module อยู่ภายใต้ Course หรือ
        Module เป็น Course