Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
EEN203การแปลสำหรับครูภาษาอังกฤษ, นายนาถวิช สาระจันทร์ 64121020010 - Coggle…
EEN203การแปลสำหรับครูภาษาอังกฤษ
ประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับการแปล (Background)
งานแปลที่เกี่ยวกับศาสนา
งานแปลที่เกี่ยวกับกวีนิพนธ์และปรัชญา
การแปลเป็นสิ่งที่เป็นไปได
ความคิดโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องการแปล
Unit 1 ส่วนของคำในประโยค (Part of Speech)
คือการแบ่งชนิดของคำตามหน้าที่ โดยจะแบ่งได้เป็น 8 ชนิด ได้แก่ คำนาม คำสรรพนาม คำกริยา คำกริยาวิเศษณ์ คำคุณศัพท์ คำบุพบท คำเชื่อม และคำอุทาน
Noun (ตัวย่อ n.) คือคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ กิจกรรม เหตุการณ์ หรือสิ่งที่เป็นนามธรรม อย่างเช่น ความสุข
Pronoun (คำสรรพนาม)
Pronoun คือคำที่ใช้แทน noun อย่างเช่น I, you, he, she, it, we, they
Verb (คำกริยา)
Verb (ตัวย่อ v.) คือคำที่ใช้แสดงการกระทำ สิ่งที่เกิดขึ้น หรือสภาวะ เช่น eat, feel, is, am, are
Adjective (คำคุณศัพท์)
Adjective (ตัวย่อ adj.) คือคำที่ทำหน้าที่ขยาย noun หรือ pronoun อย่างเช่นคำว่า big, good, rich, slow
Adverb (คำกริยาวิเศษณ์)
Adverb (ตัวย่อ adv.) คือคำที่ใช้ขยาย verb, adjective, adverb หรือประโยค Adverb ส่วนใหญ่จะลงด้วย ly อย่างเช่น quickly, slowly, happily, sadly แต่ก็มีบางคำที่ไม่ได้ลงท้ายด้วย ly เช่น always, never, very, fast
Preposition (คำบุพบท)
Preposition (ตัวย่อ prep.) คือคำที่เอาไว้หน้า noun หรือ pronoun เพื่อเชื่อม noun หรือ pronoun นั้นกับคำอื่น
ตัวอย่างคำที่สามารถใช้เป็น preposition ได้ เช่น about, after, as, at, before, by, for, in, into, of, on, to, with, without
Conjunction (คำเชื่อม)
Conjunction (ตัวย่อ conj.) คือคำที่ทำหน้าที่เชื่อมคำ วลี หรือประโยคเข้าด้วยกัน เช่น and, but, while, although
Interjection (คำอุทาน)
Interjection (ตัวย่อ interj.) คือคำสั้นๆ ที่ใช้แสดงอารมณ์ เช่น oh, hey, ouch, wow ถ้าเทียบกับคำไทยก็เช่น โอ้โห โอ๊ย ปัดโธ่ เป็นต้น
Noun (คำนาม)
ทฤษฎีการแปล
ยุคแรก ยุคเริ่มตนเป็นยุคที่ยาวนานมาก คือ เริ่มมาจากซิเซโร
ยุคที่สอง เริ่มต้นมาในช่วงศตวรรษ ที่ ๑๘ - ๑๙ โดยเฉพาะบทความสำคัญมากและก็คนได้อ้างถึงเกี่ยวกับทฤษฎีการแปลนี้ก็คือบทความของซไลเออร์มาเคอร์
ยุคที่สาม พวกโครงสร้างนิยม การเกิดขึ้นของทฤษฎีภาษาศาสตร์แบบพฤติกรรมศาสตร์
ยุคที่สี่ เรียกว่า เป็นยุคของสัญญวทิยาคนที่มีอิทธิพลในทฤษฎีการแปลยุคนี้ก็คีอ อูมเบอร์โต้ เอโก้ เขาเขียนหนังสือเป็นทฤษฎีการแปลเล่มหนึ่งชื่อ "mouse or rat" และคนที่เขียนที่เป็นพวก postmodern
Unit 2 ลักษณะเฉพาะของโครงสร้างภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (Characteristics of Thai and English Structure)
Pro-drop Language
ภาษาไทยเป็นภาษาที่ละประธาน
ภาษาอังกฤษควรหาประธานที่เหมาะสมให้กับโครงสร้างในภาษาอังกฤษ
การเกิดสรรพนามซ้อน (Resumptive Pronoun)
วางไว้หลังคํานาม ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะ ในภาษาไทยเรา
คุณสมบัติเหมือนคํานาม ซึ่งจะเป็นเสมือนหนึ่งคําลักษณะนาม
กริยารองในภาษาไทย (Second Verb)
กริยาแสดงทิศทาง (Directional Verb)
กริยาหลังกริยาแท้ (Post Verb)
โครงสร้างประโยคกรรมวาจก (Passive Construction)
ภาษาไทยและภาษาอังกฤษจะมีความ แตกต่างกัน
ภาษาไทย มีโครงสร้างดังนี้ นาม/สรรพนาม + ถูก + นาม/สรรพนาม+ กริยา
ภาษาองักฤษมีโครงสร้าดังนี้
S+V to BE+v3
ลักษณะนาม (Classifier)
ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษต่างลักษณะนาม
ภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ลักษณะนามจะใช้กับนามนับไม่ได้
ไทยเราจะใชได้กับทั้งนามนับได้และนับไม่ได้
กริยาช่วย(Auxiliary verb)
ในภาษาไทยเราแสดงกาลได้ภาษาอังกฤษก็เช่นกัน
กริยาในภาษาอังกฤษแสดงกาล
กริยาในภาษาอังกฤษจะเปลี่ยนรูปไปตามกาลแต่ภาษาไทยไม่มีการเปลี่ยนรูปไปตามกาล
10.การใช้คําสรรพนาม ‚ one ซึ่งมีทั้งชึ้เฉพาะและไม่ซี้เฉพาะแต่เป็นการแทนคำนามทั่วไป
Phrasal verbs (กริยาคู่)
การมีคําสร้อย (redundancy)
ถือเป็นความฟุ่มเฟือยทางภาษาไม่ผิดหลักไวยากรุณาแต่ไม่ทำให้ความหมายเปลี่ยนไป
คําพิเศษ (particles)
เราจะมีคำขอร้องแสดงความสุภาพ หรือไม่ก็แสดงอารมณ์แต่ภาษาอังกฤษไม่มีเช่น ค่ะ ครับ ขอรับ จ้ะ ว่ะ โว้ย เถอะ น่ะ นะ น่า เหอะ ซิ นิ เป็นต้น
นายนาถวิช สาระจันทร์ 64121020010