Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความผิดปกติการทำหน้าที่ของระบบไหลเวียนเลือด, หลอดเลือดหัวใจ,…
ความผิดปกติการทำหน้าที่ของระบบไหลเวียนเลือด
หลอดเลือด
Aorta
Aortic aneurysmโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง
ปัจจัยเสี่ยง
Hypertension
Hyperlipidemia
การสูบบุหรี่
Diabetes mellitus
เพศ
อายุ
พันธุกรรม
สาเหตุ
การสูบบุหรี่
การติดเชื้อ
Atherosclerosis
โรคแพ้ภูมิตัวเอง SLE
ชนิดของAortic aneurysm
Abdominal Aortic Aneurysm (AAA)
การโป่งพองของหลอดเลือดแดงใหญ่ที่เกิดในช่องท้อง
อาการ
ไม่มีอาการใด ๆ แต่อาจพบจากการ ตรวจสุขภาพหรือเอกซเรย์ หรือ ultra sounds
มีความรู้สึกว่ามีเสียงดังในท้องหรือท้อง เต้นแรงเป็นพัก ๆ
ท้องโตขึ้น ปวดท้อง ปวดหลัง
Aortic Aneurysm (TAA)
Descending Thoracic
Ascending Thoracic
การโป่งพองของหลอดเลือดแดงใหญ่ที่เกิดในช่องอก
อาการ
ไม่มีอาการใด ๆ เลย
เจ็บหน้าอก ปวดร้าวไปหลัง
หายใจลำบาก
ไอ กลืนลำบาก
เสียงแหบ
หน้าบวม แดง คั่งเลือด
ถ้ามี aortic regurgitation ร่วมด้วย อาจมาด้วยอาการหัวใจล้มเหลว นํ้าท่วมปอดตามมา
การวินิจฉัย
ECG
CT และ CTA ตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ร่วมกับการฉีดสารทึบแสง
Aortography
MRI และ MRA
การรักษา
การรักษาแบบประคับประคองด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
การใช้ยา ประคับประคอง โดยให้ยาตามสาเหตุที่เกิดโรค เช่น ความดันโลหิตสูง ก็ควรได้รับยาควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ต่ำกว่า 130/80 mmHg10 โดยเน้นการใช้ยากลุ่ม beta-blocker
การผ่าตัดใส่กราฟและท่อหลอดเลือดเทียม (Dacron or Gore-Tex prosthesis) และการเย็บซ่อม
การสวนหลอดเลือดแดงแล้วใส่ขดลวดค้ำยัน (T)EVAR ((Thoracic) Endovascular Aortic Repair))
Aorta Dissection การฉีกขาดภายในผนังหลอดเลือดแดง
ชนิด
ชนิด A เป็นชนิดที่พบได้มากและเป็นอันตรายเนื่องจากการฉีกขาดเกิดขึ้นกับหลอดเลือดแดงใหญ่ที่นำเลือดออกจากหัวใจหรืออยู่ด้านบนในตำแหน่งใกล้กับหัวใจ
ชนิด B เป็นชนิดที่เกิดการฉีกขาดของหลอดเลือดแดงใหญ่ที่อยู่ทางด้านล่างห่างจากหัวใจ
เกิดจากการที่ผนังหลอดเลือดแดงใหญ่บริเวณที่มีความเปราะบางได้รับความเสียหายหรือฉีกขาด
ปัจจัยอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงฉีกขาด
เพศชายจะมีความเสี่ยงจะมากกว่าเพศหญิง
มีอายุมาก ส่วนใหญ่ผู้ที่มีภาวะ Aortic Dissection จะมีอายุในช่วง 60–80 ปี
มีภาวะความดันโลหิตสูง
เป็นโรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหลอดเลือดหัวใจพิการแต่กําเนิด (Aortic Coarctation) โรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกผิดปกติแบบสองใบแต่กำเนิด (Bicuspid Aortic Valve)
เป็นโรคทางพันธุกรรม เช่น กลุ่มอาการเทอร์เนอร์หรือมาร์แฟนซินโดรม (Marfan Syndrome)
เป็นโรคของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือด อย่างโรคหนังยืดผิดปกติ (Ehlers-Danlos Syndrome)
อาการ
ปวดหรือเจ็บท้องอย่างฉับพลันและรุนแรง
มีเหงื่ออกมาก
หายใจไม่อิ่มหรือหายใจลำบากขณะนอนราบ
อาเจียน
Perfusio deficits
อาการสำคัญ
Temponade
Cardiogenis shock
Diastolis murmur (40-50% type A )
Hypovolemic shock
Abdominal bruit
การรักษา
ผ่าตัดบริเวณที่เกิดการฉีกขาด
เส้นเลือด
Atherosclerosis
หลอดเลือดหัวใจตีบ
Fibrofatty plague สะสมในชั้น Tunica intima
การใช้ยาละลายไขมันในเลือด การผ่าตัดขยายหลอดเลือด การทำบายพาส
การหนาตัวของผนังหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดหัวใจตีบ
เจ็บหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย ปวดหรือมีอาการชาที่ขา
โรคหัวใจขาดเลือดหรือโรคหลอดเลือดแดงโคโรนารี ( Coronary Artery Disease: CAD)
อาการ
ตำแหน่ง
ตรงกลางหรือหน้าอกด้านซ้าย มักบอกตำแหน่งที่
ชัดเจนไม่ได้
ลักษณะการเจ็บ
แน่นๆ บีบๆ เหมือนมีอะไรมากดทับหน้าอก
ระยะเวลาที่เจ็บ
ช่วงสั้นๆ มักไม่เกิน 10 นาที โดยมากจะเป็นนานประมาณ 2 - 5นาที
ปัจจัยกระตุ้นรวมถึงปัจจัยที่ทำให้อาการดีขึ้น
กระตุ้นด้วยการออกแรง อารมณ์เครียด โกรธ อากาศเย็น
หลังรับประทานอาหารมื้อหนัก และ อาการมักทุเลาลงเมื่อได้พัก หรือ ได้ยาขยายหลอดเลือดหัวใจ ( nitrates )
ผลมาจากโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว ( Atherosclerosis ) การเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวเป็นภาวะที่เกิดจากหลากหลายปัจจัยที่มีผลเกี่ยวเนื่องกันไม่ว่าจะเป็นเซลล์ที่ผนังหลอดเลือดแดงเซลล์เม็ดเลือดขาวและขบวนการการอักเสบ ( inflammation )
การประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะรุนแรง ( Stratification for risk of events) :
การประเมินความเสี่ยงโดยอาศัยคลื่นไฟฟ้าหัวใจหัวใจ
(left ventricular ejectionfraction )
การเลือกวิธีประเมินความเสี่ยงโดย stress testing
กระตุ้นด้วยการออกกำลังกายหรือด้วยยาร่วมกับการประเมินด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
สารรังสี หรือ CMR
การตรวจด้วยการฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ ( coronary angiography )
ปัจจัยที่มีผลต่อการพยากรณ์โรค
อายุ
เพศ
การสูบบุหรี่
ความดันโลหอตสูง
เบาหวาน
การรักษา
ลดอาการ
ป้องกันการเกิดอุบัติการณ์ของโรคหัวใจและหลอดเลือด
การเปิดหลอดเลือดที่อุดตัน ( revascularization )
หัตถการรักษาโรคหลอดเลือดโคโรนารียผานสายสวน
(Percutaneous Coronary Intervention: PCI)
การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (coronary artery bypass surgery: CABG)
การตรวจวินิจฉัย ( Non-invasive cardiac investigations )
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ( Electrocardiogram: ECG )
การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ( echocardiography)
Coronary computed tomography angiography (CTA) และ coronary calcium
Cardiac magnetic resonance ( CMR )
Electrocardiogram exercise testing หรือ exercise stress test ( EST )
หัวใจ
ภาวะหัวใจล้มเหลว (Congestive Heart Failure)
ภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้เพียงพอ ส่งผลให้อวัยวะต่างๆเกิดการขาดออกซิเจน
ชนิดของหัวใจล้มเหลว
แบ่งตามการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
Systolic heart failure หรือ heart failure with reduced EF (HFrEF)
Diastolic heart failure หรือ heart failure with preserved EF (HFpEF)
แบ่งตามอาการและอาการแสดงของหัวใจที่ผิดปกติ
Left sided-heart failure
Right sided-heart failure
แบ่งตามลักษณะของ cardiac output
High output heart failure
ภาวะที่เกิดจากการที่ร่างกายต้องการปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจ (cardiac output) มากกว่าปกติ
Low output heart failure
ภาวะที่หัวใจบีบเลือดออกจากหัวใจได้น้อยลง (low cardiac output) จนเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
ระยะของภาวะหัวใจล้มเหลว
ระยะ B มีพยาธิสภาพของหัวใจแล้ว แต่ยังไม่มีอาการหรืออาการแสดง
ระยะ C ผู้ป่วยมีพยาธิสภาพของหัวใจและกำลังมีหรือเคยมีอาการของภาวะหัวใจหัวใจเหลว
ระยะ A เสี่ยงสูง แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงพยาธิสภาพที่ชัดเจนและไม่มีความผิดปกติของการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ลิ้นหัวใจ
ระยะ D พยาธิสภาพของหัวใจขั้นรุนแรง(ระยะสุดท้าย)มีอาการแม้ในขณะพัก แม้ได้รับการรักษาทางยาอย่างเต็มที่และอาจต้องรับการรักษาพิเศษเพิ่มเติม
พยาธิสรีรวิทยา (pathophysiology) ของภาวะหัวใจลัมเหลวจากกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ
ภาวะที่เกิดจากความผิดปกติทางการไหลเวียนโลหิต (hemodynamic disorder)
ภาวะที่เกิดจากความผิดปกติทางระบบประสาทและฮอร์โมน(neurohormonal disorder)
ภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของการขับเกลือและน้ำ(edematous disorder)
ภาวะที่มีการอักเสบเรื้อรัง (inflammatory syndrome)
อาการและอาการแสดงที่พบบ่อย
อาการ
เหนื่อย
บวม
อ่อนเพลีย
แน่นท้อง ท้องอืด
อาการที่พบบ่อย
หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว
เส้นเลือดดำที่คอโป่งพอง
หัวใจโต
เสียงหัวใจผิดปกติ
เสียงปอดผิดปกติ
ตับโต
บวมกดบุ๋ม
ลิ้นหัวใจ
Aortic Stenosis
กระบวนการเกิด
1.ลิ้นหัวใจมีแคลเซียมมาเกาะทำให้ลิ้นหัวใจแข็งและปิดไม่สนิท
2.เลือดไหลย้อนเข้าหัวใจห้องล่างซ้าย
3.หัวใจห้องล่างซ้ายต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของร่างกาย
Systolic สูง เพื่อส่งเลือดไปส่วนต่างๆของร่างกายให้เพียงพอ
Diastolic ต่ำเพราะเลือดไหลกลับหัวใจห้องล่างซ้าย
หัวใจห้องล่างซ้ายโต
หัวใจเต้นผิดจังหวะ
เลือดที่ค้างอยู่ที่หัวใจห้องล่างซ้ายนานทำให้เลือดตกตะกอน(Emboli)
ทำให้ปอดบวมและหัวใจวายในที่สุด(Heart failure)
Aortic Regurgitation
กระบวนการเกิด (คล้าย AS ต่างกันที่สาเหตุ)
ข้อ 2 - 6
1.ลิ้นหัวใจ Aortic หย่อนทำให้ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท มี 2 ลักษณะ
แบบเฉียบพลัน
เยื้อบุหัวใจอักเสบ
การผ่าตัดเปลิ้นหัวใจ Aortic แบบเรื้อรัง
แบบเรื้อรัง
ลิ้นหัวใจ Mitral มีปัญหา
โรครูมาติก
เยื้อบุหัวใจอักเสบจากการติดเชื้อ
2.เลือดไหลย้อนเข้าหัวใจห้องล่างซ้าย
3.หัวใจห้องล่างซ้ายต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของร่างกาย
Systolic สูง เพื่อส่งเลือดไปส่วนต่างๆของร่างกายให้เพียงพอ
Diastolic ต่ำเพราะเลือดไหลกลับหัวใจห้องล่างซ้าย
หัวใจห้องล่างซ้ายโต
หัวใจเต้นผิดจังหวะ
เลือดที่ค้างอยู่ที่หัวใจห้องล่างซ้ายนานทำให้เลือดตกตะกอน(Emboli) ทำให้ปอดบวมและหัวใจวายในที่สุด(Heart failure)
Mitral Stenosis
กระบวนการเกิด
1.ลิ้นหัวใจมีแคลเซียมมาเกาะทำให้ลิ้นหัวใจแข็งและปิดไม่สนิท
2.เลือดไหลไปห้องล่างซ้ายลดลงและมีเลือดค้างที่ห้องบนซ้ายมากขึ้น
หัวใจห้องบนซ้ายต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของร่างกายส่งเลือดไปห้องไปห้องล่างซ้าย
หัวใจห้องบนซ้ายโต ทำให้ หัวใจเต้นผิดจังหวะ(ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว)
เลือดที่ค้างอยู่ที่หัวใจห้องบนซ้ายนานทำให้เลือดตกตะกอน(Emboli) เลือดนี้ไปคั่งที่ปอดจะทำให้ปอดบวมและหัวใจห้องซ้ายวาย
ท้องมาน(ascites) และบวมที่ขาทั้ง 2 ข้าง(peripheral edema)
หัวใจห้องขวาวายและหัวใจทั้งหมดก็จะวายในที่สุด(Heart failure)
Mitral Regurgitation
กระบวนการเกิด (คล้ายกับ MS ต่างกันที่สาเหตุ)
1.ลิ้นหัวใจ Mitral หย่อนหรือฉีกขาดของ code tendene ทำให้ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท มี 2 ลักษณะ
แบบเฉียบพลัน
เยื้อบุหัวใจอักเสบ
กล้ามเนื้อหัวใจตาย
การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ
แบบเรื้อรัง
ลิ้นหัวใจ Mitral เกิดการเสื่อมของลิ้นหัวใจ
กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
โรครูมาติก
เยื้อบุหัวใจอักเสบจากการติดเชื้อ
2.เลือดไหลไปห้องล่างซ้ายลดลงและมีเลือดค้างที่ห้องบนซ้ายมากขึ้น
หัวใจห้องบนซ้ายต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของร่างกายส่งเลือดไปห้องไปห้องล่างซ้าย
หัวใจห้องบนซ้ายโต ทำให้ หัวใจเต้นผิดจังหวะ(ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว)
เลือดที่ค้างอยู่ที่หัวใจห้องบนซ้ายนานทำให้เลือดตกตะกอน(Emboli)
เลือดนี้ไปคั่งที่ปอดจะทำให้ปอดบวมและหัวใจห้องซ้ายวาย
ท้องมาน(ascites) และบวมที่ขาทั้ง 2 ข้าง(peripheral edema)
หัวใจห้องขวาวายและหัวใจทั้งหมดก็จะวายในที่สุด(Heart failure)
เยื่อหุ้มหัวใจ
โรคเยื้อหุ้มหัวใจอักเสบ (Pericarditis)
เกิดได้ 3 ลักษณะ
เยื้อหุ้มหัวใจอักเสบกลับเป็นซ้ำ (Relapsing pericarditis)
เพื่อรักษาอาการเฉียบพลันจนอาการดีขึ้น แล้วมีอาการอักเสบซ้ำอีกรอบ
โรคย้อนเป็นซ้ำอีกในภายหลังรักษาหาย และหยุดยาต่าง ๆ แล้วนานเกิน 6 สัปดาห์ขึ้นไป
เยื้อหุ้มหัวใจอักเสบเรื้อรัง (Chronic pericarditis) คือการอักเสบนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป
เยื้อหุ้มหัวใจอักเสบเฉียบพลัน (Acute pericarditis) คือการอักเสบที่เกิดกับถุงหุ้มหัวใจอย่างเฉียบพลัน มีอาการรุนแรง โดยทั่วไปมักรักษาให้หายภายใน 3 เดือน
อาการของโรคเยื้อหุ้มหัวใจอักเสบ
เจ็บแปลบในช่องอกช่วงบริเวณใต้ต่อกระดูกอกร่วมกับปวดไหล่ด้านใดด้านหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้าง อาการจะดีขึ้นเมื่อนั่งเอนตัวมาข้างหน้า แต่จะแย่ลงเมื่อนอนราบ และเจ็บแปลบเมื่อหายใจลึก ๆ หรือหายใจเข้าแรง ๆ
มีไข้ อ่อนเพลีย และเวียนศีรษะ เบื่ออาหาร
ใจสั่น
ความดันโลหิตต่ำ
หายใจลำบาก ไอแห้ง ๆ
เสียงการเดินหัวใจผิดปกติ
หากมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บหน้าอกมากถึงระดับเหมือนโดนมีดแทง และเป็นอาการปวดที่คล้ายกับอาการปวดจากภาวะหัวใจวาย (Heart Attack) หรือหัวใจล้มเหลว ภาวะนี้ถือว่ามีความอันตรายอย่างสูงมาก และมีโอกาสทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
สาเหตุของโรคเยื้อหุ้มหัวใจอักเสบ
ยังไม่มีการค้นพบสาเหตุที่แน่ชัด
โรค เชื้อไวรัส และภาวะแทรกซ้อนบางอย่างที่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดภาวะเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบได้
โรคมะเร็ง
โรคออโตอินมูน
การติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย
การใช้ยาบางประเภท
ภาวะไตวาย
การผ่าตัดหัวใจ
วัณโรค
ขาดไทรอยด์ ฮอร์โมน
กล้ามเนื้อหัวใจตาย
การวินิจฉัย
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Elektrokardiogram หรือ Electrocardiogram EKG หรือ ECG)
เอกซเรย์ทรวงอก(Chest X-ray: CXR) เพื่อแสดงให้เห็นว่าหัวใจมีการขยายใหญ่ขึ้น หรือมีของเหลวรอบนอกมากเกินไปหรือไม่
การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ CT Scan (Computerised Tomography)
การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ MRI Scan (Magnetic Resonance Imaging)
การตรวจหัวใจด้วยคลื่นความถี่สูง (Echocardiography)
ตรวจเลือด เพื่อหาความเสี่ยงของภาวะหัวใจวาย ประเมินความสามารถในการทำงานของหัวใจ และสาเหตุการอักเสบของถุงหุ้มหัวใจ
การรักษา
การรักษาโดยการใช้ยา
การรักษาโดยการผ่าตัดเยื้อหุ้มหัวใจ
การรักษาโดยการเจาะถุงหุ้มหัวใจ
ความผิดปกติอื่นๆ
ISH
Isolated systolic hypertension
White-coat hypertension
วัดความดันโลหิตที่โรงพยาบาลสูงกว่าปกติ
Systolic BP มากกว่า 140 mmHg
Diastolic BP มากกว่า 90 mmHg
Masked hypertension
วัดความดันโลหิตที่บ้านสูงกว่าปกติ
Systolic BP มากกว่า 135 mmHg
Diastolic BP มากกว่า 85 mmHg
ความดันโลหิตต่ำจากการเปลี่ยนท่า
Orthostatic hypotension
Systolic BP ต่ำกว่าปกติ 20 mmHg
Diastolic BP ต่ำกว่าปกติ 10 mmHg
Raynaud’s syndrome
กลุ่มอาการขาดเลือดเฉียบพลันที่ปลายนิ้วที่เกิดเมื่อไปสัมผัสความเย็น ความตกใจ เครียด
อาการ : ซีด ชา ไม่มีเลือดมาเลี้ยงบริเวณปลายนิ้ว
Carpal tunnel syndrome
กลุ่มอาการจากการหดรัดตัวของเส้นเลือดจนขาดเลือด จนเกิดภาวะ cyanosis
อาการ : ปวด ชา ปลายนิ้วเย็น
Venous thrombosis
ภาวะที่มีลิ่มเลือดอุดตันที่หลอดเลือดที่ขา
อาการ : ปวด บวมแดงที่ขา อาจเกิด PE ได้
Deep vein thrombosis
ภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึกของร่างกายอุดตัน
อาการ : ปวด บวมแดง อาจเกิด PE ได้
Pulmonary embolism (PE)
ลิ่มเลือดอุดกั้นหลอดเลือดบริเวณปอด
อาการ
หอบเหนื่อย
ใจสั่น
แน่นหน้าอก
หน้ามืด เป็นลม หมดสติ
Thrombophlebitis
การอักเสบของเส้นเลือดขอด
อาการ : ปวดบวมแดงตามเส้นเลือดขอด
Varicose vein
การขอดตัวของหลอดเลือดดำที่ขาบริเวณใต้ผิวหนังชั้นตื้น
อาการ : เส้นเลือดปูดและขดเป็นหยักบริเวณขา
ทบทวนความรู้
สูตรที่ใช้บ่อย CO = SV × heart rate
Cardiac output (CO) คือ ปริมาณเลือดที่สูบฉีดออกจากหัว ใจไปเลี้ยงร่างกายในเวลาหนึ่งนาที มี ค่าประมาณ 5 L/min. สูตร CO =SVxHR
Stroke volume คือปริมาณเลือดที่สูบฉีดออกจากหัวใจในแต่ละคร้ัง ในคนปกติที่มี น้ำหนัก ตัว 70 kg จะมี SV ประมาณ 60-90 ml.
หลอดเลือดหัวใจ
อ้างอิงจากชีทเรียนวิชาพยาธิสรีรวิทยาของ พ.ต.ท.ดร.อภิสิทธิ์ ตามสัตย์