Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection : UTI) -…
การพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
(Urinary Tract Infection : UTI)
UTI
การเกิดการอักเสบในระบบทางเดินปัสสาวะ
ที่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ ตั้งแต่ไตลงไปจนถึงท่อปัสสาวะ
ผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ไปจนถึงอาการรุนแรงนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือดได้
เชื้อก่อโรค (Pathogen) UTI
E.Coli/UPEC 75%
เชื้อแบคทีเรียประจำถิ่น (Normal flora/normal microbiota) ในระบบทางเดินอาหาร
อื่นๆ
K. pneumoniae, S. saprophyticus, Enterococcus spp., GBS, P.mirabilis, P. aeruginosa, S. aureus, Candida spp.
กลไกทางเข้าของเชื้อโรค (Route of entry of pathogen)
เชื้อโรคกระจายตัวมาทางกระแสเลือด (Hematogenous route)
พบน้อย ส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ/ ผู้ป่วยวัณโรค(TB) มีฝีที่ไต หรือ ฝีรอบไต
เชื้อก่อโรคกระจายมาทางกระแสน้ำเหลือง (Lymphatic spread)
พบน้อยมากในทางปฏิบัติ เป็นการกระจายของเชื้อมาจากระบบน้ำเหลืองของอวัยวะข้างเคียงที่ติดต่อกับระบบทางเดินปัสสาวะ
เชื้อโรคย้อนกลับขึ้นไปสู่ท่อปัสสาวะ (Ascending infection)
ส่วนใหญ่เกิดจากการทำความสะอาดบริเวณ perineum ไม่ถูกวิธี ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ หรือการคาสายสวนปัสสาวะ
เชื้อก่อโรคส่วนใหญ่ คือ E.Coli
เชื้อก่อโรคแพร่เข้ามาโดยตรง (Direct extension)
พบน้อยมากในทางปฏิบัติ มักสัมพันธ์กับผู้ป่วยที่มีการอักเสบหรือติดเชื้อในช่องท้อง เช่น PID, peritoneal abscesses เป็นต้น
การวินิจฉัย
การตรวจปัสสาวะ
Urinary culture : U/C
เชื้อก่อโรค >= 10^5 CFU/ml
ในกรณีเก็บจาก mid-stream urine
เชื้อก่อโรค >= 10^3 CFU/ml
ในกรณีเก็บจาก Foley's cath
เชื้อก่อโรค >= 10^2 CFU/ml
ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับยา ATB มาก่อน/เก็บจาก Suprapubic cath
Urine gram stain U/G
Urinary analysis : UA
Bacteria > 20 cell/HPF (Bacteriuria)
Nitrite = positive
WBC > 10 cells/HPF (Pyuria)
RBC = positive (นิ่ว ติดเชื้อ อักเสบ บาดเจ็บ เนื้องอก)
Epithelial > 20 cell/HPF อาจเกิดจากการปนเปื้อน
อาการและอาการแสดง
Upper UTI
BUN, Cr เพิ่มขึ้น Urine output ลดลง
ปัสสาวะมีเลือดปน (Hematuria)
คลื่นไส้อาเจียน
ปวดร้าวลงมาที่บริเวณขาหนีบ
ปวดหลังบริเวณบั้นเอว (Flank pain) บริเวณ CVA
อาจมีหรือไม่มีอาการของ Lower UTI ร่วมด้วย
ไข้สูง (Fever) หนาวสั่น (Chill)
Lower UTI
ปัสสาวะขุ่น (Pyuria)
ปัสสาวะมีกลิ่น (Foul-smelling)
ปัสสาวะขัด/ลำบาก (Dysuria)
ปัสสาวะบ่อย (Urinary frequency)
ปวดท้องน้อย (Suprapubic pain)
กลั้นปัสสาวะไม่ได้ (Urgency)
คันบริเวณรูเปิดท่อปัสสาวะ
มีหนองออกมาทางท่อปัสสาวะ
การตรวจเพิ่มเติม
X-ray plain KUB
CT scan
U/S KUB
Cystoscope
Digital rectal exam.(DRE)
Voiding cystourethrography (VCUG)
Blood sampling : CBC, H/C, BUN, Cr, E'lyte
Intravenous pyelogram (IVP)
ปัจจัยเสี่ยง
มีโครงสร้างผิดปกติ
ท่อปัสสาวะตีบ
มีการอุดกั้น
นิ่ว ต่อมลูกหมากโต
มีปัญหาระบบประสาทกระเพาะปัสสาวะบกพร่อง
เพศชายวัยสูงอายุ
โรคเบาหวาน
เพศหญิง
การคาสายสวนปัสสาวะ
พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
ทำความสะอาดบริเวณ perineum ไม่ถูกวิธี, กลั้นปัสสาวะ, ดื่่มน้ำน้อย, ใส่กางเกงแน่นรัดรูป มีการอับชื้น, การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยและไม่ใช้ถุงยางอนามัย
ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิต้านทาน/ภูมิคุ้มกันบกพร่อง (HIV/AIDS)
ปัจจัยอื่นๆ
การใช้ยาบางชนิดที่มีอาการข้างเคียงไปรบกวนการทำงานของระบบประสาทที่เป็นตัวส่งสัญญาณไปยังกระเพาะปัสสาวะและต่อมลูกหมาก ได้แก่ ยาคลายกล้ามเนื้อ, TCA, Anticholinergics, Ipratropium bromide
CAUTI : Catheter associated UTI
การคาสายสวนปัสสาวะ ต้องมีข้อบ่งชี้หรือมีความจำเป็นเท่านั้น หากไม่มีความจำเป็นหรือแก้ไขปัญหาได้แล้วต้องเอาสายสวนปัสสาวะออกทันที เร็วที่สุด หรือหากความจำเป็นไม่เคร่งครัดมาก แนะนำให้ใช้วิธีการสวนปัสสาวะเป็นครั้งคราว (intermittent catheter) ทดแทน
Catheter care
ยึดหลัก Standard precautions และใช้ CAUTI bundle ในการดูแลผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะ
ทำความสะอาดด้วยบริเวณรูเปิดท่อปัสสาวะ ด้วยน้ำสะอาดและสบู่วันละ 2 ครั้ง และทุกครั้งหลังถ่ายอุจจาระ *ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ
ดูแลสายสวนปัสสาวะให้เป็นระบบปิดเสมอ ห้ามปลดข้อต่อ
ดูแลให้ปัสสาวะไหลได้สะดวก สายไม่หักพับงอหรืออุดตัน และพยายามไม่ให้สายงอโค้งในลักษณะท้องช้าง
ถุงรองรับปัสสาวะต้องอยู่ต่ำกว่ากระเพาะปัสสาวะ ของผู้ป่วยเสมอ และไม่สัมผัสกับพื้นห้อง
ตรึงสายสวนปัสสาวะให้แน่นและอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม คือพาดสายขึ้นมาทางด้านหน้าท้อง แต่ไม่ให้ตึงเกินไปจนเกิดการดึงรั้ง และไม่หย่อนไปทางด้านทวารหนัก เพื่อป้องกันการเปื้อนเมื่อผู้ป่วยถ่ายอุจจาระ
ร่วมพิจารณากับแพทย์ถึงความจำเป็นในการคาสายสวนปัสสาวะทุกวัน
ตวงปัสสาวะอย่างน้อยเวรละ 1 ครั้ง หรือปริมาณปัสสาวะไม่เกิน 2 ใน 3 ของถุง
ล้างมือ ใส่ถุงมือ เช็ดรูเปิดของถุงปัสสาวะด้วย 70% alcohol ก่อนและหลังเทปัสสาวะ ระหว่างเทนํ้าปัสสาวะระวังไม่ให้ปลอยเปิดสัมผัสกับภาชนะรองรับปัสสาวะ และไม่ใช้ภาชนะ รองรับน้ำปัสสาวะร่วมกับผู้ป่วยรายอื่น
หลีกเลี่ยงการ clamp Foley's catheter โดยไม่จำเป็น ถ้าต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากเตียงไปรถนอนและ ต้องยกถุงรองรับปัสสาวะเหนือกระเพาะปัสสาวะ สามารถ clamp Foley's catheter ไว้ได้ชั่วคราวเพื่อ ป้องกันปัสสาวะไหลย้อนกลับกระเพาะปัสสาวะ และปล่อย clamp ทันทีเมื่อเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเรียบร้อย
เปลี่ยนสายสวนและถุงรองรับปัสสาวะใหม่ ทั้งชุดเมื่อมีการอุดตันรั่ว ข้อต่อต่างๆ เลื่อนหลุด หรือมีการ ทำลาย closed system โดยไม่ต้องกำหนดวันเปลี่ยนไว้ล่วงหน้า
ข้อบ่งชี้การคาสายสวนปัสสาวะ
ต้องการติดตามปริมาณ urine output อย่างละเอียด เช่น Sepsis, Shock, CHF, AKI
ผ่าตัดโดยให้ยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย (general anesthesia: GA), ใช้ระยะเวลาผ่าตัดนาน
เสียเลือดมาก หรือได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำปริมาณมาก ระหว่างการผ่าตัด
หลังผ่าตัดระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบสืบพันธุ์ ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ใน 5-7 วันแรก
หลังผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะใน 7 วันแรก
ต้องสวนล้างกระเพาะปัสสาวะ (continuous irrigate bladder: CBI) ใช้สาย Foley 3 หาง
มีการอุดตันของระบบทางเดินปัสสาวะอย่างรุนแรง ไม่สามารถปัสสาวะได้เอง
มีแผลกดทับขนาดใหญ่บริเวณก้นกบหรืออวัยวะสืบพันธุ์ และไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้
ผู้ป่วย end of life care
การเกิด UTI หลังจากที่ผู้ป่วยคาสายสวนปัสสาวะ (Foley's catheter) นานมากกว่า 48 ชั่วโมง หรือ หลังจากเอาสายสวนปัสสาวะออก ภายใน 48 ชั่วโมง
เชื้อก่อโรคจะเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะ
รูเปิดท่อปัสสาวะกับสายสวน
ข้อต่อระหว่างสายสวนกับถุง
ขณะใส่สายสวนปัสสาวะ
รูเปิดของถุงรองรับปัสสาวะ
การแบ่งชนิด UTI
แบ่งตามความรุนแรง
Uncomplicated UTI
สาเหตุ UTI เกิดจากปัจจัยที่ไม่ซับซ้อน เชื้อก่อโรคไม่ใช่เชื้อดื้อยา รักษาไม่ยุ่งยาก ไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
Complicated UTI
เกิด จากความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้การรักษายุ่งยากซับซ้อน หรือ ต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน เชื้อก่อโรคเป็นเชื้อดื้อยา หรือมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น AKI, sepsis
แบ่งตามลักษณะการเกิดซ้ำ (Recurrent UTI)
UTI > 3 ครั้งใน 1 ปี / >2 ครั้งใน 6 เดือน
Reinfection
เกิด UTI ซ้ำหลังการรักษามากกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป ส่วนใหญ่มากกว่า 2 เดือน พบการเกิดสูงถึงร้อยละ 80 ของ recurrent UTI ทั้งหมด โดยจะพบเชื้อก่อโรคตัวใหม่หรือเชื้อตัวเดิมสายพันธุ์ใหม่ก็ได้
สาเหตุส่วนใหญ่ คือ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพอนามัยส่วนบุคคลไม่ถูกวิธี โดยเฉพาะการทำความสะอาดบริเวณ perineum หรือเกิดจากต่อมลูกหมากอักเสบ (prostatitis)
Relapse UTI
การเกิด UTI ซ้ำหลังการรักษา UTI โดยจะพบเชื้อก่อโรคตัวเดิมภายใน 2 สัปดาห์ แต่ก็ไม่สามารถขจัดเชื้อก่อโรคให้หมดได้เพราะปัจจัยบางอย่าง เช่น รับประทานยาปฏิชีวนะไม่ ครบตามแผนการรักษา ใช้ยาปฏิชีวนะไม่เฉพาะเจาะจงกับเชื้อก่อโรค เชื้อที่ก่อให้เกิดโรคกลายเป็นเชื้อ ดื้อต่อยาปฏิชีวนะที่ได้รับ
สาเหตุส่วนใหญ่ คือ มีความผิดปกติของโครงสร้างหรือการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ มีการติดเชื้อ ที่ไต (renal infection) ที่ยังไม่ได้รับการรักษา จำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมเพื่อค้นหาและแก้ไขสาเหตุนั้น
แบ่งตามตำแหน่งของการติดเชื้อ
Upper UTI
กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis)
เชื้อก่อโรค
ส่วนใหญ่เป็นเชื้อแบคทีเรียกรัมลบ ได้แก่ E.coli รองลงมา ได้แก่ Klebsiella pneumoniae, Enterobacter Staphylococcus
อาการและอาการแสดง
มีไข้สูง หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน และจะพบอาการเฉพาะ คือ ปวดหลังบริเวณบั้นเอว (flank pain) ตรวจร่างกายโดยการเคาะ (percussion) พบ costovertebral angle (CVA) tenderness
อาจมีอาการปวดร้าวลงมาที่ขาหนีบ (หากผู้ป่วยมีนิ้ว) นอกจากนี้อาจมีอาการ/อาการแสดงของ lower UTI ร่วมด้วย ในกรณีที่เกิด Lower UTI จากนั้นลุกลามขึ้นมาที่ upper UTI
ผู้ป่วยกรวยไตอักเสบควรได้รับการรักษาที่รวดเร็วเหมาะสม เพราะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลัน (AKI), ฝีที่เนื้อไต (Renal abscess), ติดเชื้อในกระแสเลือด (septicemia), ช็อก จากการติดเชื้อ (septic shock) ซึ่งอันตรายถึงชีวิต
สาเหตุ
เกิดจากมีการอุดกั้นในทางเดินปัสสาวะจนมีการคั่งของน้ำปัสสาวะ/ไตบวมน้ำ (hydronephrosis) ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง (lower UTI) ลุกลามขึ้นมาถึง กรวยไตและเนื้อไต
การรักษา
ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ และส่งตรวจ UA, U/C ทุกครั้ง
กรณีที่อาการไม่รุนแรง อาจรักษาด้วยยา oral ATB แต่ถ้าสงสัย complicated UTI หรือหลังให้การรักษา ด้วย oral ATB อาการไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง ควรเปลี่ยนชนิดของ ATB หรือเปลี่ยนเป็น IV ATB
ยา ATB ที่นิยมใช้ ได้แก่ ยากลุ่ม fluoroquinolone เช่น ciprofloxacin
ดูแลให้สารน้ำอย่างเพียงพอ ติดตามการทำงานของไต ผู้ป่วยบางรายอาจต้องให้ยาต้านการหดเกร็งของ กระเพาะปัสสาวะบรรเทาอาการปวด และค้นหาสาเหตุของกรวยไตอักเสบ วางแผนการดูแลรักษาให้ครอบคลุม
การติดเชื้อที่บริเวณไตและกรวยไต อาจเกิดขึ้นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้
การพยาบาล
ดูแลความสุขสบาย: เช็ดตัวลดไข้ (tepid sponge) ปวดหลัง
ติดตามผล UA, U/C, CBC, H/C
ดูแลให้ยาลดไข้ตามแผนการรักษา
ติดตามผล BUN, Cr, Electrolyte
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำและอาหารอย่างเพียงพอ
ดูแลผู้ป่วยตาม CAUTI bundle ในกรณีผู้ป่วยคาสายสวนปัสสาวะ
ติดตาม intake/output เพื่อประเมินและเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ AKI, sepsis, septic shock
ติดตามผลการตรวจทางรังสีวิทยา เพื่อค้นหาสาเหตุและแก้ไขสาเหตุของกรวยไตอักเสบ
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
เน้นย้ำให้ติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อค้นหาสาเหตุและแก้ไขสาเหตุกรวยไตอักเสบ
ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพ และระดับความปวด อย่างน้อยทุก 4 ชั่วโมง
Lower UTI
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)
อาการและอาการแสดง
อาการมักเกิดขึ้นทันทีทันใด อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ปัสสาวะแสบขัด (dysuria) ปัสสาวะขุ่น (pyuria) ปัสสาวะมีกลิ่น (foul smelling) ปัสสาวะบ่อย (urinary frequency) ปัสสาวะกระปริดกระปรอย (voiding of small urine volumes) ปวดท้องน้อย (suprapubic / lower abdominal pain)
แต่ถ้ามีไข้สูง อ่อนล้า คลื่นไส้อาเจียน ปวดบริเวณบั้นเอว (flank pain) ที่เป็นอาการของกรวยไตอักเสบร่วม ด้วย หรือ recurrent lower UTI ให้สงสัยเป็น complicated UTI
เชื้อก่อโรคส่วนใหญ่เป็น เชื้อแบคทีเรียกรัมลบ E.Coli
พบบ่อยในบุคคลที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น การดูแลรักษาสุขอนามัยบริเวณอวัยวะเพศไม่เหมาะสม กลั้นปัสสาวะ Honeymoon cystitis, urinary retention, มีนิ่ว/การอุดกั้นในระบบทางเดินปัสสาวะ คาสายสวนปัสสาวะ รับประทานยากดภูมิ
การรักษา
uncomplicated cystitis: oral ATB กลุ่ม fluoroquinolone ได้แก่ norfloxacin, ciprofloxacin, ofloxacin
complicated cystitis: oral ATB กลุ่ม fluoroquinolone ได้แก่ ciprofloxacin, norfloxacin
บางรายอาจต้องให้ยาต้านการหดเกร็งของกระเพาะปัสสาวะร่วมด้วย
ค้นหาสาเหตุของกระเพาะปัสสาวะอักเสบและวางแผนการดูแลรักษาเป็นสิ่งสำคัญ เช่น ถ้ามีสาเหตุจากการอุดกั้น ของทางเดินปัสสาวะจำเป็นต้องรีบขจัดสาเหตุการอุดกั้นและรักษาการติดเชื้อทันที เพราะอาจลุกลามจนกลายเป็นสาเหตุ ของการเกิดกรวยไตอักเสบได้
การพยาบาล
ดูแลและเน้นย้ำให้รับประทานยาปฏิชีวนะให้ครบตามแผนการรักษา โดยเฉพาะ complicated cystitis และควรตรวจเพื่อค้นหาสาเหตุของ รวมทั้งการรักษาต่อเนื่องเพื่อแก้ไขสาเหตุนั้น
การประคบด้วยความร้อน ช่วยให้สุขสบายลดความเจ็บปวดได้
ดูแลให้ยาแก้ปวด (analgesic) ยาลดการหดเกร็ง (spasm) ตามแผนการรักษา
ในกรณีผู้ป่วย complicated cystitis ควรติดตามผล UA, U/C, BUN, Cr
การให้ความรู้ การปฏิบัติตัว เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะ โดยพยายามปัสสาวะทุก 2-3 ชั่วโมง
ทำความสะอาดบริเวณ perineum จากด้านหน้าไปด้านหลัง (ไม่ย้อนไปมา)
ปัสสาวะและทำความสะอาดบริเวณ perineum ก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์
แนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน (ในกรณีที่ไม่มีข้อห้าม)
ดื่มน้ำผลไม้ เช่น น้ำกระเจี๊ยบ น้ำแครนเบอร์รี่ หรือแครนเบอร์รี่ชนิดเม็ดทุกวัน เพื่อเพิ่มความเป็นกรดในน้ำปัสสาวะ ทำให้ลดการเกาะตัวของเชื้อก่อโรคที่ผนังของกระเพาะปัสสาวะ สามารถลดการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เพื่อลดการระคายเคืองของกระเพาะปัสสาวะ
สวมกางเกงที่โปร่งสบายไม่แน่นจนเกินไป ควรเป็นผ้าคอตตอลมากกว่าผ้าไนลอน
ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
หลีกเลี่ยงการสวนล้างบริเวณช่องคลอด การใช้น้ำหอมหรือสารเคมี
หลีกเลี่ยงอาบน้ำในอ่างอาบน้ำ ให้อาบน้ำโดยใช้ฝักบัว
ท่อปัสสาวะอักเสบ (Urethritis)
สาเหตุ
ท่อปัสสาวะอักเสบจากที่ไม่ได้เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ (non - sexually transmitted urethritis)
มักเกิดภายหลังการบาดเจ็บของท่อปัสสาวะ เช่น เกิดหลังการทำหัตถการส่องกล้อง (cystoscopy) การใส่สายสวนปัสสาวะ ได้รับสารที่ก่อให้เกิดระคายเคือง
ท่อปัสสาวะอักเสบจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (sexually transmitted urethritis)
โรคหนองในแท้ (Gonococcal urethritis: GU)
โรคหนองในเทียม (non-gonococcal urethritis: NGU)
คือ การบาดเจ็บหรือการอักเสบบวมของเซลล์ที่บริเวณเยื่อเมือกบุท่อปัสสาวะ
อาการและอาการแสดง
เพศชาย เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์และเมื่อหลั่งน้ำอสุจิ ขณะปัสสาวะ และปวดบริเวณอัณฑะ รวมทั้งมี โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น อัณฑะอักเสบ ต่อมลูกหมากอักเสบ ในกรณีเป็น sexually transmitted urethritis
เพศหญิง ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ ส่วนในรายที่มีอาการจะพบมี labia บวมแดง เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ เจ็บขณะปัสสาวะ (burning) ปัสสาวะบ่อย (urinary frequency) และอาจมีตกขาว คันบริเวณช่องคลอด ไข้สูง ปวดท้องน้อยรุนแรง และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อของมดลูก อุ้งเชิงกรานอักเสบ
ปัสสาวะแสบขัด (dysuria) คัน (pruritus) ที่บริเวณรูเปิดท่อปัสสาวะ มีมูกหรือหนองออกมาทางท่อ ปัสสาวะ (urethral discharge or purulent)
การพยาบาล
non - sexually transmitted urethritis
ในผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะ ควรได้รับการถอดออกในระยะที่ท่อปัสสาวะอักเสบ
ทําความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศตามปกติไม่จําเป็นต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ แต่หากมีอาการบวมหรือมี หนองมากอาจใช้นํ้าเกลือ (0.9%NSS) ทําความสะอาดได้
ดูแลให้ยาแก้ปวด (analgesic)
หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าการติดเชื้อจะหายดี
ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
แนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน (ในกรณีที่ไม่มีข้อห้าม)
sexually transmitted urethritis
แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำในอนาคต
แนะนำให้ตรวจเลือดเพื่อหาการติดชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น เอชไอวี ซิฟิลิส เป็นต้น
แนะนำให้พาคู่เพศสัมพันธ์ (sex partner) ของผู้ป่วยภายใน 60 วันก่อนที่จะเริ่มมีอาการ หรือก่อนวินิจฉัยหนองใน ให้มาตรวจและให้การรักษา (presumptive dual treatment) แต่ถ้ามีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายนานมากกว่า 60 วันก่อนมีอาการหรือก่อนได้รับการวินิจฉัยให้ตามคู่เพศสัมพันธ์คนสุดท้ายมารักษา หรือสามารถฝากยารักษาไปกับผู้ป่วยได้
เน้นย้ำให้ผู้ป่วยมาติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามผลการเพาะเชื้อหลังได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ 7 วัน และ 3 เดือน
ต่อมลูกหมากอักเสบ (Prostatitis)*
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
ไม่สุขสบาย : มีไข้/คลื่นไส้อาเจียน/ปวดบั้นเอว/ปวดท้องน้อย/เจ็บปวดขณะปัสสาวะ
มีโอกาสเกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะซ้ำ เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยง/ขาดความรู้ในการปฏิบัติตัว
มีโอกาสได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ เนื่องจากคลื่นไส้อาเจียน/เบื่ออาหาร/มีไข้สูง
วิตกกังวล เนื่องจากขาดความรู้เรื่องโรค/ขาดความรู้ในการปฏิบัติตัว/กลัวเป็นโรคไต/ไม่ทราบแนวทางการรักษา
มีโอกาสเกิดการทำงานของไตลดลงเฉียบพลัน เนื่องจากมีการติดเชื้อที่กรวยไต
มีโอกาสเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด เนื่องจากมีการลุกลามของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
มีโอกาสเกิดภาวะไม่สมดุลของสารน้ำและเกลือแร่ เนื่องจากคลื่นไส้อาเจียน/เบื่ออาหาร/มีไข้สูง
สรุปแนวทางการรักษา
ค้นหาสาเหตุของ UTI และแก้ไขสาเหตุ โดยเฉพาะในผู้ป่วย complicated UTI
ให้ยารักษาตามอาการ ได้แก่ ยาลดไข้ ยาแก้ปวด ยาต้านการหดเกร็งของกระเพาะปัสสาวะ
เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น dehydration, AKI, sepsis, septic shock
ดูแลให้สารน้ำอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีไข้สูง N/V หรือความดันโลหิตต่ำ
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะ ขึ้นอยู่กับชนิดของ UTI และผล urine C/S โดยผู้ป่วยที่ตรวจพบเชื้อแบคทีเรียอยู่ ตลอดเวลา หรือพบเชื้อดื้อยาอาจต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะระยะยาว
ผู้ป่วยที่มีอาการไม่ซับซ้อนสามารถให้การรักษาแบบ OPD ได้ ส่วนกลุ่มที่มีอาการซับซ้อนหรือเกิด ภาวะแทรกซ้อนควรได้รับการรักษาในโรงพยาบาล