Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
จิตวิทยาการเรียนรู้, 306912275_1117414428893253_6154925988288287602_n,…
จิตวิทยาการเรียนรู้
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม
1.Classical Conditioning Theory :ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแลบบคลาสสิก
คือ การตอบสนองหรือการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นนั้น ๆ ต้องมี
เงื่อนไขหรือมีการสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้น เช่น สุนัขได้ยินเสียงกระดิ่ง
แล้วน้ำลายไหล เป็นต้น
by Pavlov
ขั้นที่ 1 ขั้นก่อนวางเงื่อนไข
US= สิ่งเร้าที่อยู่ตามธรรมชาติ ไม่มีเงือนไข
UCR= การตอบสนองที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากการวางเงื่อนไข
CS= สิ่งเร้าที่เป็นเงื่อนไข ปกติแลล้วไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาหรือพฤติกรรมใด ๆ
ขั้นที่ 2 ขั้นวางเงื่อนไข
CS + US =UCR
ขั้นที่ 3 ขั้นการเรียนรู้จากการวางเงื่อนไข
ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเรียนรู้
CS ต้องเด่นชัดในช่วงแรก ๆ (เสียงดัง ตีเจ็บ รสชาติอร่อยมาก)
CS และ UCS ต้องมาตามล าดับกันในระยะเวลาที่ต่อเนื่อง
CS และ UCS ต้องเกิดขึ้นซ้ำ ๆ
by Watson
Watson นำเอาทฤษฎีของ Pavlov มาเป็นหลักสำคัญ
“บิดาของจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม”
ข้อสรุปที่เกิดจากการเรียนรู้
พฤติกรรมเป็นสิ่งที่สามารถควบคุมให้เกิดขึ้นได้ โดยการ ควบคุมสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขให้สัมพันธ์กับสิ่งเร้าตามธรรมชาติ
การเรียนรู้จะคงทนถาวร หากมีการให้สิ่งเร้าที่สัมพันธ์กันนั้นควบคู่กันไปอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อสามารถทำให้เกิดพฤติกรรมใด ๆ ได้ ก็สามารถลดพฤติกรรมนั้นให้หายไปได้
2.Operant Conditioning Theory :ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบการกระทำ
by Skinner
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต
2 แบบ
1. Respondent Behavior
เป็นปฏิกิริยาสะท้อน (Reflex)ซึ่งสิ่งมีชีวิตไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เช่น การกระพริบตา น้ำลายไหล
2.Operant Behavior
พฤติกรรมที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตเป็นผู้กำหนด หรือเลือกที่จะแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมที่บุคคล แสดงออกในชีวิตประจำวัน เช่น กิน นอน พูด เดิน ทำงาน ขับรถ
องค์ประกอบของการเรียนรู้
A
Antecedents คือ เงื่อนไขน าหรือสิ่งเร้าที่กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรม (สิ่งที่
ก่อให้เกิดขึ้นก่อน)
B
Behavior คือ พฤติกรรมที่แสดงออก
C
Consequences หรือผลกรรม เกิดขึ้นหลังการทำพฤติกรรม เป็นตัวบอกว่าเราจะทำพฤติกรรมนั้นอีกหรือไม่ ดังนั้น ไม่มีใครที่ทำอะไรแล้วไม่หวังผลตอบแทน
หลักการและแนวคิด
การเรียนรู้ คือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ถ้าการตอบสนองมีที่ท่าหรือมี โอกาสจะเกิดเพิ่ม แสดงว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
พฤติกรรมที่ได้รับการเสริมแรง จะมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอีก และ พฤติกรรมที่ไม่ได้รับการเสริมแรงจะมีแนวโน้มค่อย ๆ เลือนหายไป
ให้ความสำคัญต่อการตอบสนองมากกว่าสิ่งเร้า และให้ความสำคัญต่อการเสริมแรง (Reinforcement) ว่ามีผลทำให้เกิดการเรียนรู้ที่คงทนถาวรยิ่งขึ้น
อัตราการเกิดพฤติกรรมหรือการตอบสนองขึ้นอยู่กับผลของการกระทำ ได้แก่ การเสริมแรง หรือการลงโทษ ทั้งทางบวกและทางลบ
1.การเสริมแรง (Reinforcement)
แบ่งตามสภาพการเกิด
ตัวเสริมแรงปฐมภู
มิ ตัวเสริมแรงที่ไม่ได้เกิดจาการวางเงื่อนไขเปรียบได้กับ UCS เช่น เมื่อเกิดความต้องการอาหาร อาหารก็จะเป็นตัวเสริมแรงปฐมภูมิที่จะลดความหิวลง
ตัวเสริมแรงทุติยภูมิ
ตัวเสริมแรงที่เกิดจาการวางเงื่อนไขเป็น CS หรือสิ่งเร้าทีได้รับการวางเงื่อนไข เช่น จะเก็บแสตมป์ 7-11ไว้ก็ต่อเมื่อรู้ว่านำไปแลกของได้
แบ่งตามลักษณะ
ตัวเสริมแรงทางบวก
เมื่อได้รับหรือนำเข้ามาในสถานการณ์นั้นแล้วจะมีผลให้เกิดความพึงพอใจ และทำให้อัตราการตอบสนองเปลี่ยนแปลงไปใน ลักษณะเข้มข้นขึ้น การตอบสนองดีขึ้น หรือคงไว้ เช่น อาหาร คำชมเชย รางวัล
ตัวเสริมแรงทางลบ
เมื่อตัดออกไปจากสถานการณ์นั้นแล้ว จะมีผลให้อัตราการตอบสนองเปลี่ยนไปในลักษณะเข้มข้นขึ้น เพราะตัดสิ่งที่ไม่ชอบออกไป
ปัจจัยที่มีผลต่อการเสริมแรง
Timing
การเสริมแรงต้องทำทันที เช่น เมื่อเด็กหยุดดิ้น ต้องชมทันที เพื่อให้เด็กรู้ว่าการไม่ดิ้นคือสิ่งที่แม่ชอบ
Magnitude & Appeal
การเสริมแรงต้องตอบสนองความต้องการอย่างพอเหมาะ อย่ามากไปหรือน้อยไป เช่น ให้ดาวเด็กดีเฉพาะพฤติกรรมที่เด็กควบคุมตนเองได้จริง ๆ
Consistency
การเสริมแรงต้องให้สม่ำเสมอ เช่น ชมทุกครั้งที่เด็กช่วยงานบ้านอย่างเต็มใจ
ลักษณะของตัวเสริมแรง
Material Reinforcers ตัวเสริมแรงที่เป็นวัตถุสิ่งของ เช่น ขนม ของเล่น
Social Reinforcers
ตัวเสริมแรงที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์
Verbal เป็นคำพูด เช่น การชม
Nonverbal ภาษากาย เช่น กอด
Activity Reinforcers เป็นการใช้กิจกรรมที่ชอบทำที่สุดมาเสริมแรงกิจกรรมที่อยากทำน้อยที่สุด เช่น เด็กที่ชอบเล่นเกม แต่ไม่ชอบเล่นทำการบ้าน ก็ให้ทำการบ้านก่อนแล้วจึงให้เล่นเกม
Token Economy เป็นตัวเสริมแรงได้เฉพาะเมื่อแลกเป็น Backup Reinforcers ได้ เช่น เงินธนบัตรก็เป็นแค่กระดาษใบหนึ่ง
Positive Feedback การให้ข้อมูลป้อนกลับทางบวก มองในส่วนที่ดี เช่น บอกเด็กว่าครูชอบที่นักเรียนทำการบ้านวิชาภาษาไทย และอย่าลืมทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ด้วย
Intrinsic Reinforcers ตัวเสริมแรงภายใน เช่น การชื่นชมตัวเอง ไม่ต้องให้มีใครมาชม
2.การลงโทษ
การลงโทษทางบวก
การให้สิ่งเร้าที่บุคคลไม่พึงประสงค์ เช่น การตีเมื่อนักเรียนคุยในชั้นเรียน
การลงโทษทางลบ
การถอดถอนสิ่งเร้าที่บุคคลพึงพอใจออกเช่น การปิดแอร์เมื่อนักเรียนลุกเดินไป มาในห้องเรียน
วัตถุประสงค์ของการลงโทษ คือ ระงับหรือยุติพฤติกรรม และหลีกเลียงไม่ให้ทำพฤติกรรมนั้นอีก
Time-out การเอาตัวเสริมแรงทางบวกออกจากบุคคล และเมื่อพฤติกรรมทางลบหยุดให้รีบเสริมแรงทันที
Response Cost การปรับสินไหม เป็นการน าเอาสิทธิ์หรือสิ่งของออกจากตัวบุคคล เช่น ปรับเงินคนที่ขับรถผิดกฎ
Verbal Reprimand การตำหนิ โดยการตำหนิที่พฤติกรรม ผ่านน้ำเสียงและใบหน้าเรียบเฉย
Overcorrection การแก้ไขเกินกว่าที่ทำผิด แบ่งออกเป็น
1) Restitution Overcorrection การทำสิ่งที่ผิดให้ถูก ใช้กับสิ่งที่ทำผิดแล้วยังแก้ไขได้ เช่น ทำเลอะแล้วต้องเช็ด
2) Positive-Practice Overcorrectionการฝึกทำสิ่งที่ถูกต้อง ใช้กับสิ่งที่ทำผิดแล้วแก้ไขไม่ได้อีก เช่น ฝึกทิ้งขยะให้ลงถัง
3) Negative-Practiceการฝึกทำสิ่งที่ผิดเพื่อให้เลิกทำไปเอง เช่น ถ้าเด็กชอบลุกเดินตอนเรียน ให้เดินรอบห้อง 20 รอบ
3.Connectionism Theory : ทฤษฎความสัมพันธ์เชื่อมโยง
By Edward L Thorndike
“การเรียนรู้ คือ การที่ผู้เรียนสามารถสร้างความสัม พันธ์เชื่อมโยง (Bond) ระหว่างสิงเร้า(Stimulus) กับการตอบสนอง (Response) และได้รับความพึงพอใจจนเกิดเป็นการเรียนรู้ขึ้น ”
ทำการทดลองขังแมวไว้ในกรงแล้ววางปลาล่อไว้นอกกรงให้ห่างพอประมาณ พบว่าแมวพยายามใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อจะออกไปจากกรง จนกระทั่งเท้าของแมวดึงไปโดนเชือกโดยบังเอิญ ทำให้ประตูเปิดออก
การตอบสนองซึ่งแมวแสดงออกมาเพื่อแก้ปัญหาเป็น
การตอบสนองแบบลองผิดลองถูก (Trial and Error)
การที่แมวสามารถเปิดกรงได้เร็วขึ้น ในช่วงหลังแสดงว่า
แมวเกิดการเรียนรู้ด้วยการสร้างพันธะหรือตัวเชื่อมขึ้น ระหว่างคานไม้กับการดึงเชือก
การลองผิดลองถูก นำไปสู่ การเชื่อมโยง (Connection) ระหว่างสิ่งเร้า กับ การตอบสนอง (s-r)
ลักษณะสำคัญ
ลักษณะการเรียนรู ้แบบลองผิดลองถูก (Trial and Error)
กฎการเรียนรู ้ของ Thorndike
กฎหลัก
Law of Readiness กฎแห่งความพร้อม ความพร้อมหรือวุฒิภาวะของผู้เรียน ทั้งทางร่างกาย อวัยวะต่างๆจิตใจ รวมทั้งพื้นฐาน และประสบการณ์เดิม ความสนใจ
Law of Exercise กฎแห่งการฝึกหัด ธอร์นไดค์ประกาศยกเลิกกฎแห่งการฝึกนี้ แต่ยังเชื่อว่าการฝึกฝนที่มีการ ควบคุมที่ดีก็ยังมีผลดีต่อการเรียนรู้อยู่นั่นเอง
Law of Effect กฎแห่งผล ธอร์นไดค์ได้เหลือกฎแห่งผลในด้านการให้รางวัลไว้ว่ารางวัลเท่านั้นที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น
กฎย่อย
Law of Set or Attitude : การตั้งจดุ มุ่งหมาย ผู้เรียนมีทัศนคติทดี่ต่อการเรียนรู้นั้น ๆ จะเกิดการเรียนรู้ที่ดี
Law of Partial Activity : การเลือกการตอบสนอง บุคคลจะเลือกใช้วิธิการที่สะดวก รวดเร็ว เสียเวลาน้อยทีสุดก่อนเสมอ ุ
Law of Multiple Response : การตอบสนองมากรูป บุคคลจะตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือ สถานการณ์ที่เป็นปัญหานั้นหลายรูปแบบ จนกว่าจะพบกับ รูปแบบการตอบสนองที่คิดว่าดีที่สุด
Law of Assimilation or Analogy : การนำความรู้ เดิมไปใช้แก้ปัญหาใหม่ บุคคลจะเลือกเอาวิธีตอบสนองที่ดี่สุด จากสิ่งเร้าหรือ ประสบการณก่อน ๆ ที่ใกล้เคียงกันที่สุด มาใช้สำหรับ ตอบสนองสิ่งเร้า หรือสถานการณ์ปัจจุบัน
Law of Set or Associative Shifting : การย้ายความสัมพันธ์ การเรียนรู้ในสิ่งใหม่จะสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วหากบุคคลผู้เรียนรู้มีความสามารถใน ด้านเชื่อมโยงสิ่งเร้าหรือสถานการณ์ใหม่เข้ากับสิ่งเร้าหรือสถานการณ์เก่าที่เคยเรียนรู้ มาแล้ว
การถ่ายโอนการเรียนรู ้ (Transfer of Learning)
1. Positive Transfer การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางบวก
ประสบการณ์เดิมส่งเสริมให้เรียนรู้ได้ดีขึ้น เช่น คนที่เคยเรียนจิตวิทยาทั่วไปมาแล้ว ก็จะเรียนจิตวิทยาการศีกษาได้เข้าใจง่ายกว่าคนทีไม่ได้เรียน
2. Negative Transfer การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางลบ
ประสบการณ์เดิมขัดขวางให้เรียนรู้ได้ยากหรือช้าลง เช่น เคยเรียนเทควันโดมาก่อน พอต้องไปเรียนมวยไทย จะต้องปรับท่าทางการเตะใหม่ทั้งหมด
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม
Gestalt’s Learning Theory:ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มเกสตัลท์
การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะ
1.การรับรู้ (perception)
คือการใช้ประสาทสัมผัสกับสิ่งเร้าแล้วถ่ายโยงสู่กระบวนการ
คิดตีความด้วยประสบการณ์เดิมแล้วจึงแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง
2.การหยั่งเห็น (insight)
เป็นการค้นพบหรือเห็นแนวทางแก้ปัญหาแบบฉับพลันทันที
เกิดจากการพิจารณาปัญหาโดยรวม
กฎการจัดระเบียบการเรียนรู้ของเกสตัลท์
กฎแห่งความแน่นอน (Law of pragnanz)
จุดเด่น (figure)
พื้นหลัง (ground)
กฎแห่งความคล้ายคลึง (Law of similarity)
กฎแห่งความใกล้เคียง (Law of proximity)
กฎแห่งความสมบูรณ์ (Law of closure)
กฎแห่งความต่อเนื่อง (Law of continuity)
กฎแห่งความคงที่ (Law of stability)
(Information Processing Theory):ทฤษฎีประมวลผลสารสนเทศ
คลอสเมียร์ (Klausmeire, 1985) เปรียบเทียบการทำงานของสมองกับคอมพิวเตอร์ ดังนี้
การรับข้อมูล (Input) โดยผ่านทางอุปกรณ์หรือเครื่องรับข้อมูล
การเข้ารหัส (Encoding) โดยอาศัยชุดคำสั่งหรือซอฟต์แวร์ (Software)
การส่งข้อมูลออก (Output) โดยผ่านทางอุปกรณ์
ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมเชิงพุทธิปัญญา
อัลเบิร์ต แบนดูรา
กระบวนการคิด ความรู้สึกนึกคิด
อิทธิพลของสิ่งแวเล้อม
พฤติกรรม
64B44640621 นางสาวศิริรัตน พรหมแก้ว