Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

ESRD with beta thalassemia ผู้ป่วยชายไทย อายุ 12 ปี 1 เดือน…

- - - - เริ่มตั้งแต่ค่า GFR ลดลงต่ำกว่า 60 มิลลิลิตร/นาที จนถึง 30 มิลลิลิตร/นาทีต่อพื้นที่ผิวร่างกาย 1.73 ตารางเมตร โดยค่า serum creatinine จะอยู่ในช่วง 1.2-2 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
    - - ระยะนี้ผู้ป่วยจะมีการดำเนินของโรคไตเรื้อรังที่รุนแรง ค่า GFR ลดลงอยู่ระหว่าง 15-30 มิลลิลิตร/นาที ต่อพื้นที่ผิวร่างกาย 1.73 ตารางเมตร และค่า serum creatinine จะอยู่ในช่วง 3-5 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
    - - เป็นระยะที่เนื้อไตเริ่มถูกทำลายมากขึ้น และตรวจพบค่า GFR ลดลง โดยค่า GFR ลดลงน้อยกว่า 90 มิลลิลิตร/นาที แต่ไม่เกิน 60 มิลลิลิตร/นาที ต่อพื้นที่ผิวร่างกาย 1.73 ตารางเมตร
    - - หรือระยะไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ในระยะนี้ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย มีค่า GFR ต่ำกว่า 15 มิลลิลิตร/นาที ต่อพื้นที่ผิวร่างกาย 1.73 ตารางเมตร และระยะนี้ผู้ป่วยควรได้รับการบำบัดทดแทนไตอย่างใดอย่างหนึ่ง 1.การล้างไตทางช่องท้อง (peritoneal dialysis) 2.การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (hemodialysis) และ 3.การผ่าตัดเปลี่ยนไต (kidney tranplantation)
        
        โดยกรณีศึกษานี้อยู่ในระยะที่ 5 และได้รับการบำบัดทดแทนไตโดยวิธีการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (hemodialysis)
        
        ข้อวินิจฉัย เสี่ยงต่อการติดเชื้อบริเวณที่ใส่สายสวนหลังกลับไปรักษาตัวที่บ้าน
        
        ข้อมูลสนับสนุน S : ผู้ป่วยเล่าว่า "สายล้างไตทางหน้าท้องเคยติดเชื้อมาแล้ว 1 ครั้ง"
        O : มีสายฟอกเลือดบริเวณคอด้านขวา และสายล้างไตทางหน้าท้อง
        
        วัตถุประสงค์ ไม่เกิดการติดเชื้อบริเวณที่ใส่สายสวน
        
        เกณฑ์การประเมิน
        
        บริเวณที่ใส่สายสวนไม่มีการติดเชื้อ ไม่ปวด บวม แดง ร้อน
        
        ผู้ป่วยสามารถอธิบายวิธีการดูแลตนเองได้และแสดงวิธีการตรวจสอบการทำงานของสายได้อย่างถูกต้อง
        
        1 more item...
    - - เป็นระยะที่เนื้อไตเริ่มถูกทำลาย แต่เมื่อวัดค่า GFR ยังพบว่ามีค่าปกติคือ มากกว่า 90 มิลลิลิตร/นาที ต่อพื้นที่ผิวร่างกาย 1.73 ตารางเมตร
  - - - การได้รับสารพิษที่ทำลายเนื้อไต
        
        ได้แก่ ยาปฏิชีวนะกลุ่มอะมิโนไลโคไซด์(Aminoglycoside) และเซฟาโลสปอริน(Cephalosporin) สารพิษหรือยาที่เป็นพิษต่อไต รังสี หรือการทำลายไมโอโกลบินในกล้ามเนื้อ เช่น การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ สารพิษเหล่านี้หรือสารที่ได้จากการทำลายไมโอโกลบินจะตกตะกอนที่หลอดฝอยไต ทำให้เกิดการอักเสบหรือการตายอย่างเฉียบพลันของหลอดฝอยไต
        
        จากกรณีศึกษานี้พบว่าสาเหตุมาจากการดื่มยาสมุนไพรติดต่อกันนาน
      - ความผิดปกติของหลอดเลือดและระบบไหลเวียนโลหิต
        
        ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคของหลอดเลือดไต หลอดเลือดอักเสบ เส้นเลือดที่ไตอักเสบเฉียบพลัน หลอดเลือดไตตีบจากโรคเบาหวาน ทำให้เนื้อไตขาดเลือดไปเลี้ยง เซลล์ไตขาดเลือดและถูกทำลาย จนไตไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ
      - การอุดตันในเนื้อไต
        
        เช่น การอุดตันในท่อฝอยของไต (intratubular obstruction) นิ่วในไต เนื้องอกที่ไต ก้อนไขมันอุดตันในเส้นเลือด (cholesterol emboli) หรือเกิดถุงน้ำในไต จนเกิดการทำลายโดยตรงต่อเนื้อไต
    - - ภาวะการไหลเวียนเลือดก่อนถึงไตลดลง
        
        เกิดจากการมีพยาธิสภาพที่หัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจล้มเหลวเลือดคั่ง มีการคั่งของของเหลวหรืออากาศในเยื่อหุ้มหัวใจ
        
        จากพยาธิสภาพของหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดอักเสบ ความดันโลหิตสูงชนิดรุนแรง การลดปริมาณเลือดในร่างกายเนื่องจากการเสียเลือด การเสียน้ำทั้งในและนอกเซลล์จากความร้อนลวก การอักเสบของเยื่อบุช่องท้อง ภาวะติดเชื้อในร่างกาย
      - ภาวะแตกทำลายของเม็ดเลือดแดง (Hemolysis)
        
        จากสาเหตุต่างๆ เช่น จากการให้เลือดผิดหมู่ โรคมาลาเรีย การขาดเอนไซม์ G6PD การมีเม็ดเลือดแดงน้อยทำให้ปริมาณออกซิเจนที่เซลล์ของไตใช้สร้างพลังงาน เพื่อใช้ในการาดูดกลับและขับออกของสารต่างๆ ที่ผลอดเลือดฝอยไตลดลง เกิดการเสียหน้าที่ของหน่วยไตได้
      - ภาวะขาดโซเดียม
        
        เกิดจากการสูญเสียโซเดียวปริมาณมากออกจากระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องร่วง อาเจียนรุนแรง ทำให้ปริมาณเลือดไปเลี้ยงที่ไตลดลง
      - ภาวะขาดน้ำในผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว ผู้สูงอายุ ผู้ที่ไตเสียหน้าที่ในการปรับความเข้มข้นของปัสสาวะ และผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถคสบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
      - ภาวะเครียด หรือรบกวนสมดุลของร่างกาย
        
        เช่น การเกิดบาดแผลฉกรรจ์ ภาวะหลังผ่าตัดใหญ่ หรือการได้รับยาสลบเป็นเวลานาน ซึ่งรบกวนการหลั่งฮอร์โมน Antidiuretic hormone และทำให้ปริมาณสารกระตุ้นการหดรัดตัวของหลอดเลือดต่างๆ เพิ่มขึ้น และการไหลเวียนผ่านจึงลดลง
- - - - การตัดม้าม
      - Folic acid
    - - การรักษาแบบประคับประคอง (ให้เลือด)
        
        ให้เลือดตามอาการ ให้เลือดเป็นครั้งคราวเมื่อมีอาการ
        
        ผู้ป่วยเคสนี้ได้รับการรักษาโดยการให้เลือดเป็นครั้งคราว 3เดือน/1ครั้ง
        
        ข้อวินิจฉัย เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับเลือด
        
        ข้อมูลสนับสนุน S : ผู้ป่วยเล่าว่า "หนูต้องมาให้เลือดทุก 3-4 เดือน"
        O : ผู้ป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย ต้องมารับเลือดที่โรงพยาบาลชลบุรีทุก 3-4 เดือน
        
        วัตถุประสงค์ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับเลือด : เลือดเกิน
        
        1 more item...
        
        การให้เลือดประจำ
        
        intermediate transfusion
      - การรักษาที่ต้นเหตุ
        
        การปลูกถ่ายไขกระดูก
        
        Gene therapy
  - - - ข้อวินิจฉัย เสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบต่างๆเนื่องจากมีภาวะซีด
        
        ข้อมูลสนับสนุน S : ผู้ป่วยเล่าว่า "หนูป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย"
        O : Hb = 12-16 g/dl
        Hct = 38-47 %
        มีโรคประจำตัวเป็นโรคธาลัสซีเมีย
        
        วัตถุประสงค์ : เพื่อป้องกันภาวะติดเชื้อในระบบต่างๆ เนื่องจากมีภาวะซีด
        
        เกณฑ์การประเมิน
        
        ไม่มีอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ เช่น มีไข้ ไอ มีเสมหะ ผิวหนังอักเสบ บมแดงร้อน มีสิ่งคัดหลั่งผิดปกติ อุจจาระเหลง ปัสสาวะขุ่นหรือมีอาการแสบขัด ปวดบวมอักเสบตามข้อต่างๆ เป็นต้น
        
        อุณหภูมิร่างกายอยู่ระหว่าง 36.7-37.2 เซลเซียส
        
        ผลทางห้องปฏิบัติการปกติ คือ
        WBC = 4.5-13.5 *10^3 cells/mm3
        Neutrophils = 40-75 %
        Lymphocytes = 20-50 %
        Monocytes = 2-10 %
        Eosinophils = 1-6 %
        Basophils = 0-1 %
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        1.ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อ เช่น มีไข้ ไอ มีเสมหะ ผิวหนังอักเสบ บมแดงร้อน มีสิ่งคัดหลั่งผิดปกติ อุจจาระเหลง ปัสสาวะขุ่นหรือมีอาการแสบขัด ปวดบวมอักเสบตามข้อต่างๆ เป็นต้น
        2.วัดสัญญาณชีพ ทุก4 ชั่วโมง เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
        3.ติดตามผลการตรวจนับเม็ดเลือดขาว และผลการเพาะเชื้อ เพื่อติดตามการติดเชื้อ
        4.ดูแลสิ่งแวดล้อม สภาพรอบตัวของผู้ป่วยให้สะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
        5.ดูแลความสะอาดด้านสุขอนามัยของผู้ป่วย ทั้งผิวหนังและปาก ทำความสะอาดปากและฟันทุกครั้งหลังทานอาหาร หากมีอาการอักเสบของลิ้นควรใช้น้ำยาบ้วนปาก เพื่อลดการสะสมเชื้อโรค
        6.ดูแลภาวะโภชนาการของผู้ป่วยให้อยู่ในระดับปกติ ได้รับอาหารที่ปรุงสุก สะอาด เพื่อลดการปนเปื้อนเชื้อ และให้ผู้ป่วยได้รับอาหารครบตามคำสั่งการของแพทย์
        7.ให้การพยาบาลด้วยความระมัดระวังในด้านความสะอาด และเครื่องมือที่ใช้ในการพยาบาลต้องมีความสะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
        8.แนะนำให้ญาติล้างมือให้สะอาดก่อนเข้าเยี่ยมผู้ป่วย เพื่อลดการนำเชื้อจากภายนอกเข้ามาติดผู้ป่วย
        
        กิจกรรมญาติ
        -สังเกตอาการติดเชื้อของบุตร หากมีให้รีบแจ้งพยาบาลทันที
        
        ล้างมือทุกครั้งก่อนเข้าเยี่ยมบุตร
        
        ดูแลสิ่งแวดล้อมของบุตรให้มีความสะอาด
        
        1 more item...
      - ข้อวินิจฉัย เสี่ยงต่อเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจนเนื่องจากภาวะซีด
        
        ข้อมูลสนับสนุน S : ผู้ป่วยเล่าว่า "หนูป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย"
        O : Hb = 12-16 g/dl
        Hct = 38-47 %
        มีโรคประจำตัวเป็นโรคธาลัสซีเมีย ผิวซีด ริมฝีปากและเยื่อบุตาซีด
        
        วัตถุประสงค์ : ลดการใช้ออกซิเจนของเนื้อเยื่อ
        
        เกณฑ์การประเมิน
        
        ไม่มีอาการของภาวะพร่องออกซิเจน เช่น หายใจหอบเหนื่อย ปลายมือปลายเท้าเขียว หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก กระสับกระส่าย เป็นต้น
        
        อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 16-20 ครั้ง/นาที ลักษณะการาหายใจปกติ ไม่มีหายใจเร็ว แรง ลึก
        
        ทางเดินหายใจโล่งไม่มีเสมหะ
        
        Hb = 12-16 g/dl
        
        Hct = 38-47 %
        
        O2sat = >= 95%
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        1.ประเมินภาวะพร่องออกซิเจน ประเมินอัตราการหายใจ ชีพจร สีของเล็บ ปลายมือปลายเท้า เยื่อบุผิวหนัง ลักษณะการซีด เขียว เพื่อประเมินความผิดปกติของร่างกาย
        2.ประเมินสัญญาณชีพ ทุก 4 ชั่วโมง เพื่อทราบการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
        3.ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อนบนเตียง เพราะการพักผ่อนบนเตียงจะช่วยลดการใช้ออกซิเจนในการทำกิจกรรม ทำ
        ให้อาการเหนื่อยอ่อนเพลียลดลง
        4.จำกัดกิจกรรมและช่วยเหลือกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยให้เหมาะสมตามความรุนแรงของภาวะซีด และตามกำลังความสามารถของเด็กป่วย เพื่อลดการใช้ออกซิเจน
        5.ดูแลให้ได้รับ Folic Acid 5 mg. TAB รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1 ครั้ง หลังอาหารเช้า เพื่อช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง
        6.สังเกตุอาการผิดปกติต่างๆที่แสดงถึงภาวะพร่องออกซฺเจน เพื่อประเมินความรุนแรงของภาวะซีด เช่น อาการหอบเหนื่อย อ่อนเพลีย อาการเขียวปลายมือปลายเท้า ภาวะหัวใจวาย เป็นต้น
        7.หลีกเลี่ยงและระวังการติดเชื้อ
        
        กิจกรรมญาติ
        
        สังเกตุอาการและอาการแสดงของภาวะพร่องออกซิเจน เช่น สีของเล็บ ปลายมือปลายเท้า เยื่อบุผิวหนัง ลักษณะการซีด เขียว
        
        ช่วยเหลือกิจกรรมของบุตร
        
        สังเกตุอาการไข้หรือติดเชื้อ หากพบให้รีบแจ้งพยาบาลทันที
        
        1 more item...
- - - - ข้อมูลสนับสนุน S : ผู้ป่วยเล่าว่า "เมื่อก่อนมีสายล้างไตบริเวณหน้าท้องและมีกระเป๋าเก็บสายอยู่ที่เอว ตอนนี้มีสายที่คอ"
        O : ขณะสอบถามหลบสายตา ไม่ค่อยมีความมั่นใจ
        มีสายล้างไตทางหน้าท้องและสายฟอกเลือดบริเวณคอด้านขวา
        
        วัตถุประสงค์ ผู้ป่วยสามารถปรับตัวและยอมรับกับภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้
        
        เกณฑ์การประเมิน
        
        ผู้ป่วยบอกความรู้สึกที่มีคุณค่าต่อตนเอง เข้าใจ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้
        
        ผู้ป่วยสนใจในการดูแลตนเอง มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        1.การประเมินการรับรู้ของผู้ป่วยต่อการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ ความสามารถ บทบาท และแบบแผนชีวิต โดยกระตุ้นให้ผู้ป่วยวพูดถึงความรู้สึก และสังเกตพฤติกรรมการแสดงออก
        2.ร่วมปรึกษากับผู้ป่วยในการปรับปรุงภาพลักษณ์และอื่นๆ ให้ดีขึ้น เน้นความเป็นไปได้ตามสภาพความเป็นจริง
        3.วิเคราะห์ปัญหาทางจิตสังคมร่วมกับผู้ป่วยและครอบครัว แนะนำแหล่งที่ผู้ป่วยสามารถขอความช่วยเหลือได้ เช่น การเลือกอาหารให้เหมาะสมกับสภาพวัของโรค การออกกำลังกาย การป้องกันภาวะแทรกซ้อนขณะที่ได้รับการฟอกเลือด
        4.ให้ผู้ป่วยปฏิบัติตนตามแผนการรักษาโดยประเมินปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติตามแผนการรักษา เช่น ความรู้ความเข้าใจในแผนการรักษา ความสามารถในการปฏิบัติตามแผนการรักษา ความเชื่อมั่นต่อบุคคลากรด้านสุขภาพ ค่าใช้จ่าย ปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติตามแผนการรักษา
        5.ให้กำลังใจและดูแลผู้ป่วยด้วยความเต็มใจ
        
        กิจกรรมญาติ
        
        ร่วมวิเคราะห์ปัญญาหาร่วมกัน
        
        ให้กำลังใจบุตร คอยดูแลบุตร
        
        การประเมินผล
        
        ผู้ป่วยเล่าว่าตนเป็นโรคนี้มานานแล้ว และชินไปแล้ว
        
        ผู้ป่วยมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเตียงข้างเคียง พี่พยาบาล และนิสิตพยาบาล
  - - - ข้อมูลสนับสนุน S : -
        O : ความดันโลหิตแรกรับ 146/102 mmHg. (16/09/65)
        
        วัตถุประสงค์ ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจกาความดันโลหิตสูง
        
        เกณฑ์การประเมิน
        
        ไม่มีอาการและอาการแสดงของการมีความดันโลหิตสูง เช่น ปวดศีรษะ หายใจถี่ ตาพร่ามัว มึนงง เลืดกำเดาไหล อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
        
        ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ systolic 95-135 mmHg. diastolic 58-88 mmHg.
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        1.ประเมินอาการและอาการแสดงภาวะความดันโลหิตสูง เช่น ปวดศีรษะ หายใจถี่ ตาพร่ามัว มึนงง เลืดกำเดาไหล อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เพื่อประเมินและเฝ้าระวังความผิดปกติ
        2.ติดตามวัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
        3.ดูแลให้ได้รับยาลดความดันตามแผนการรักษา คือ
        
        Amlodipine 5 mg. TAB รับประทานครั้งละ 2 เม็ด ทุก 12 ชั่วโมง
        
        Apresoline 25 mg. TAB รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหารเช้า กลางวัน เย็น
        
        Atenolol 50 mg. TAB รับประทานครั้งละ 1 เม็ด เวลา 12.00 น. 24.00 น. และเฝ้าระวังอาการข้างเคียงหลังให้ยา
        4.ดูแลตัดท่านอนให้ผู้ป่วยได้รับความสุขสบาย เพื่อป้องกันการนอนหลับไม่เพียงพอก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง
        5.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำและสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย คือ อาหารลดเค็ม จำกัดน้ำวันละ 1 ลิตร
        6.ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการและค่าความดันโลหิต เพื่อติดตามผลของการรักษา
        
        กิจกรรมญาติ
        
        สังเกตอาการของบุตรว่ามีอาการของภาวะความดันโลหิตสูงหรือไม่
        
        ประกอบอาหารโดยลดการใส่เกลือ ซอสปรุงอาหาร
        
        การประเมินผล
        
        ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะความดันโลหิตสูง สอบถามถึงอาการปวดศีรษะก็ปฏิเสธ
        
        ความดันโลหิตวันที่ 17/10/65 117/65 mmHg.
- - - - เกณฑ์การประเมิน
        
        บิดามารดาและครอบครัวไม่แสดงอาการวิตกกังวล เช่น หงุดหงิด กระวนกระวาย ไม่มีสมาธิ เป็นต้น
        
        บิดามารดาและครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        1.สร้างสัมพันธภาพที่ดีแก่ เด็ก บิดามารดาและสมาชิกในครอบครัว และประเมินอารมณ์ด้านความวิตกกังวลและความเครียด พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจให้แก่เด็ก บิดามารดาและครอบครัว
        2.ประเมินความเข้าใจและการรับรู้ของเด็ก บิดามารดาและสมาชิกในครอบครัว
        3.รับฟัง และเปิดโอกาสให้เด็ก บิดามารดาและครอบครัวได้ระบายความรู้สึกและซักถามข้อสงสัยในการรักษาพยาบาล และคอยให้กำลังใจอย่างใกล้ชิด
        4.แนะนำบิดามารดาและครอบครัวอยู่กับผู้ป่วยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ขัดกับแผนการรักษา ได้แก่ ส่งเสริมให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและดูแลเด็ก(family centered care)
        5.อธิบายให้ทราบถึงแผนการรักษาที่จะช่วยให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้น รวมถึงอธิบายให้บิดามารดาและครอบครัวเข้าใจถึงการดำเนินของโรค วิธีการรักษา และตอบคำถามข้อสงสัย รวมทั้งให้โอกาสได้พูดคุยกับแพทย์ที่ดูแล
        6.ให้การพยาบาลอย่างนุ่มนวล ยิ้มแย้มแจ่มใส เอาใจใส่ผู้ป่วย
        7.เน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาล รวมทั้งรับประทานยาอย่างต่อเนื่องตามแผนการรักษา
        8.จัดกิจกรรมการเล่นที่เหมาะสมแก่ผู้ป่วยตามอายุและพัฒนาการ เพื่อเป็นการผ่อนคลาย
        
        กิจกรรมญาติ
        
        สอบถามข้อมูลที่สงสัยกับพยาบาล
        
        ระบายความรู้สึกกับพยาบาลหรือกับครอบครัว
        
        มาเยี่ยมบุตรบ่อยๆ และคอยให้กำลังใจแก่บุตร
        
        ช่วยเหลือกิจกรรมต่างๆ ให้กับผู้ป่วย
        
        การประเมินผล - ไม่ได้มีการพบกับญาติ เนื่องจากหอผู้ป่วยงดให้เข้าเยี่ยม