Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่9 การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ - Coggle Diagram
บทที่9
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ
9.1 ปัจจัยที่มีผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะ
1.5 สังคมและวัฒนธรรม
(Sociocultural factor)
สังคมและวัฒนธรรมประเพณี รวมถึงการอบรมเลี้ยงดูในครอบครัว
มีอิทธิพลต่อนิสัยการขับถ่ายของบุคคล
1.6 ลักษณะท่าทาง
(Body position)
โดยปกติผู้ชายจะใช้ท่ายืนซึ่งพบว่าผู้ชายบางรายจะมีปัญหาในการขับถ่ายปัสสาวะเมื่ออยู่ในท่านอนราบ ส่วนผู้หญิงจะใช้ท่านั่ง ถ้าจําเป็นต้องใช้หม้อนอนบนเตียงราบก็อาจจะไม่สามารถขับถ่ายปัสสาวะได้หมดเช่นเดียวกัน
1.4 ด้านจิตสังคม
(Psychosocial factors)
เช่น ความเครียดและความวิตกกังวลกระตุ้นให้อยากถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้น ความกลัวที่รุนแรงอาจทําให้กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ความปวดมีผลยับยั้งการถ่ายปัสสาวะความรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะเมื่อได้ยินคนพูดเรื่องถ่ายปัสสาวะหรือได้ยินเสียงน้ำไหล เป็นต้น
1.7กิจกรรมและความตึงตัวของกล้ามเนื้อ
(Activity and Muscle tone)
2) ผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะไว้เป็นเวลานาน ทําให้กระเพาะปัสสาวะตึงตัวน้อยลงเนื่องจากปัสสาวะไหลตลอดเวลา ทําให้กระเพาะปัสสาวะไม่มีโอกาสยืดขยาย
3) สตรีในภาวะหมดประจําเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง
ก็ทําให้กระเพาะปัสสาวะตึงตัวลดลงด้วยเช่นกัน
1) การออกกําลังกายสม่ําเสมอ ทําให้การเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น
ทําให้มีการผลิตปัสสาวะมากขึ้นและถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้น
และกล้ามเนื้อหูรูดทําหน้าที่ได้ดี
4)ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงนานๆ ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว มีผลทําให้ความตึงตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะและกล้ามเนื้อหูรูดลดลง การควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะไม่ดีและมีปัสสาวะตกตะกอนได้
1.3 ยา (Medication)
เช่น ยาที่ขับออกทางระบบปัสสาวะจะส่งผลให้สีของน้ำปัสสาวะเปลี่ยนแปลงยาที่มีผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติจะรบกวนการขับถ่ายปัสสาวะทําให้ปัสสาวะคั่ง เป็นต้น
1.8พยาธิสภาพ
(Pathologic conditions)
พยาธิสภาพของโรคหลายชนิดมีผลต่อการสร้างปัสสาวะ
ทั้งปริมาณและคุณภาพ
1.2น้ำและอาหาร(Food and fluid)
2) จํานวนน้ำที่ร่างกายสูญเสีย (Loss of body fluid)เช่นการสูญเสียเหงื่อ มีไข้สูง เสียเลือดมาก อาเจียน ท้องเสีย เป็นต้นก็มีผลต่อลักษณะ
จํานวนครั้ง และปริมาณปัสสาวะเช่นเดียวกัน
3)อาหารที่ร่างกายได้รับ (Food intake)เช่นอาหารที่มีความเค็มมาก
(มีปริมาณโซเดียมสูง) ปัสสาวะจะออกน้อยลงและเข้มข้นมาก
เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนจะทําให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น เป็นต้น
1) จํานวนน้ำที่ร่างกายได้รับ (Fluid intake)ถ้าร่างกายได้รับน้ำมาก
จํานวนครั้งของการขับถ่ายและปริมาณปัสสาวะก็จะมาก ลักษณะของปัสสาวะก็จะเจือจางตามปริมาณน้ำที่ร่างกายได้รับ
1.9การผ่าตัดและการตรวจเพื่อการวินิจฉัยต่างๆ
(Surgical and diagnostic procedure)
1) ความเครียดและความวิตกกังวลในกระบวนการรักษาทําให้ร่างกายหลั่ง ADH และยังทําให้มีการเพิ่มขึ้นของ Aldosteroneทําให้เกิดการคั่งของ
โซเดียมและน้ำ
2) การตรวจวินิจฉัยในระบบทางเดินปัสสาวะ
3) การฉีดยาชาที่ไขสันหลัง ส่งผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะของผู้ป่วย
ทําให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะ การได้รับยาสลบ ยาแก้ปวดชนิดเสพติด(Narcotic analgesics)ทําให้อัตราการกรองที่โกลเมอรูสัส(Glomerulus)ลดลง ส่งผลให้ปริมาณปัสสาวะลดลง
1.1อายุ หรือ พัฒนาการในวัยต่างๆ
(Developmental growth)
1)วัยเด็ก
เด็กทารกกระเพาะปัสสาวะมีความจุน้อย การขับถ่ายปัสสาวะจึงบ่อยครั้งกว่าผู้ใหญ่ เด็กวัยก่อนเรียนจะเริ่มควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะได้เองโดยจะควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะในตอนกลางวันก่อนกลางคืน
(Shirley,2017)ส่วนเด็กวัยเรียนระบบขับถ่ายปัสสาวะจะเจริญเต็มที่ จะปัสสาวะ 6-8 ครั้งต่อวัน ปัสสาวะรดที่นอนในตอนกลางคืนจะลดลงแต่ถ้าอายุมากกว่า 5ปีไปแล้วยังมีปัสสาวะรดที่นอน ควรต้องหาสาเหตุ ว่าเกิดจากอะไร เช่น ความเครียดการเจ็บป่วยเป็นต้น
2)ผู้สูงอายุ
จากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามวัย เมื่อมีน้ำปัสสาวะเพียง150-200 มิลลิลิตร กระเพาะปัสสาวะก็จะบีบตัวทําให้รู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะและทําให้ถ่ายปัสสาวะบ่อยครั้งขึ้นและมักจะตื่นขึ้นมาปัสสาวะในตอนกลางคืน (Nocturia)นอกจากนี้การที่กล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะบีบตัวลดลง
ทําให้มีปัสสาวะคั่ง ทําให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
9.5การสวนปัสสาวะ
5.2ชนิดของการสวนปัสสาวะ
1)การสวนปัสสาวะเป็นครั้งคราว (Intermittent catheterization)
2)การสวนคาสายสวนปัสสาวะ
(Indwelling catheterization or retained catheterization)
5.3 อุปกรณ์
5)กระบอกฉีดยาปลอดเชื้อ (Sterile syringe)ขนาด 10 มิลลิลิตร 1 อัน
6)Transfer forceps
4)น้ำกลั่นปลอดเชื้อ (Sterile water)และน้ำยาทําลายเชื้อ (Antiseptic solution) เช่น Povidone-iodine (บางโรงพยาบาลไม่ใช้)เป็นต้น
7)ถุงรองรับปัสสาวะปลอดเชื้อและเป็นระบบปิด (Sterile urine bag) 1 ใบ
3)สารหล่อลื่นสายสวนชนิดละลายน้ําได้ เช่น KY-jellyเป็นต้น
8)โคมไฟ หรือไฟฉาย
2)ชุดสวนปัสสาวะที่ปราศจากเชื้อ
(Sterile catheterization set)
-ถุงมือปลอดเชื้อ (บางโรงพยาบาลอาจแยกออกจากชุดสวนปัสสาวะ)
-ผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลาง 1 ผืน
-ชามกลมใหญ่ 1ใบ
-ถ้วย 2 ใบ สําหรับใส่สําลี 6-8 ก้อน และผ้าก๊อส 1-2 ผืน
-Forceps 1-2อัน
9)พลาสเตอร์, เข็มกลัด, ผ้าปิดตา
1)ชุดทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ 1ชุด หม้อนอน ถุงมือสะอาด 1 คู่ ถุงกระดาษหรือถุงพลาสติกสําหรับทิ้งสําลีใช้แล้ว
10)สายสวนปัสสาวะการเลือกใช้สายสวนปัสสาวะควรพิจารณาวัตถุประสงค์ของการใช้งานและขนาดของสายสวนปัสสาวะ
5.1วัตถุประสงค์ของการสวนปัสสาวะ
4)เพื่อเก็บน้ำปัสสาวะส่งตรวจเพาะเชื้อ
5)เพื่อสวนล้างกระเพาะปัสสาวะ หรือใส่ยาในกระเพาะปัสสาวะ
3)เพื่อตรวจสอบจํานวนน้ำปัสสาวะที่เหลือค้างในกระเพาะปัสสาวะ
6)เพื่อศึกษาความผิดปกติของท่อปัสสาวะ
2)เพื่อช่วยให้กระเพาะปัสสาวะว่างในผู้ป่วยที่ต้องทําหัตถการต่างๆ
7)เพื่อตรวจสอบจํานวนน้ำปัสสาวะที่ขับออกมา
ในผู้ป่วยอาการหนักอย่างถูกต้อง
1)เพื่อระบายเอาน้ำปัสสาวะออกในผู้ป่วยที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะเองได้
5.4 วิธีการสวนปัสสาวะ
1)การสวนคาสายสวนปัสสาวะ (Indwelling หรือRetention catheter)
2)การถอดสายสวนปัสสาวะที่คาไว้ (Removing Indwellingor
Retention catheters)
9.7การเก็บปัสสาวะส่งตรวจ
7.2 วิธีการเก็บปัสสาวะจากสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
2)เตรียม Syringe sterile เข็มปลอดเชื้อ Sterile swab น้ำยาฆ่าเชื้อ
3)ล้างมือสวมถุงมือสะอาดเช็ดบริเวณที่จะเก็บปัสสาวะด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
1)ใช้Clamp หนีบสายสวนปัสสาวะที่ใต้รอยต่อระหว่างสายต่อของถุงกับสายสวนไว้นานประมาณ 15–30 นาทีเพื่อให้มีปัสสาวะใหม่เก็บอยู่ก่อน
4)ใช้กระบอกฉีดยาที่มีเข็มปลอดเชื้อแทงที่สายสวนปัสสาวะตรงตําแหน่งที่ทําความสะอาดฆ่าเชื้อไว้แล้ว ดูดปัสสาวะออกมาประมาณ 10 มล. ส่งตรวจเพาะเชื้อทันที
7.3 วิธีการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
เป็นการเก็บปัสสาวะที่มีการรวบรวมไว้จนครบ 24 ชั่วโมงแล้วส่งตรวจ เริ่มเก็บปัสสาวะเวลา 08.00 น. โดยให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะทิ้งก่อนเริ่มเก็บ และรวบรวมน้ำปัสสาวะที่เก็บได้หลัง 08.00 น.จนครบกําหนด 24 ชั่วโมง แล้วถ่ายปัสสาวะเก็บเป็นครั้งสุดท้าย คือ เวลา08.00 น. เช้าวันรุ่งขึ้นควรแนะนําให้งดโปรตีน คาเฟอีนก่อนการเก็บปัสสาวะประมาณ 6 ชั่วโมง และให้ผู้ป่วยดื่มน้ำำมากๆก่อนและระหว่างการเก็บ (ถ้าไม่มีข้อห้าม)
7.1 วิธีการเก็บปัสสาวะแบบรองเก็บปัสสาวะช่วงกลาง
(Clean mid-streamurine)
โดยให้ผู้ป่วยทําความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ด้วยน้ำสะอาด ล้างมือให้สะอาด และเช็ดให้แห้ง ให้ปัสสาวะทิ้งช่วงต้นไปเล็กน้อย เก็บปัสสาวะในช่วงถัดมาประมาณครึ่งภาชนะ หรือประมาณ 30-50 ml. โดยห้ามสัมผัสด้านในของภาชนะแล้วปัสสาวะช่วงสุดท้ายทิ้งไปนําปัสสาวะไปส่งให้เจ้าหน้าที่โดยเร็วที่สุด
9.3ส่วนประกอบของปัสสาวะที่ผิดปกติ
3.5 ปัสสาวะมีสีเหลืองน้ำตาลของบิลิรูบิน
(Bilirubinuria หรือ Choluria)
ภาวะที่ตรวจพบบิลิรูบินในน้ำปัสสาวะ โดย bilirubin เป็น Breakdown product ของ Hemoglobinซึ่งปกติจะไม่พบในปัสสาวะ ถ้าพบ Conjugated bilirubinในปัสสาวะ แสดงว่ามีการอุดตันของทางเดินน้ำดีจากการมี Hemolytic jaundiceแต่ถ้าพบ Urobilirubin ในปัสสาวะแสดงว่าเซลล์ตับถูกทําลาย กรณีที่มีการอุดตันของท่อน้ำดีจากตับสู่ลําไส้เล็ก น้ำดีจะไหลย้อนเข้าเซลล์ตับและขับถ่ายออกโดยเปลี่ยนสภาพเป็นเกลือชนิดที่สามารถละลายน้ําได้ขับออกทางปัสสาวะทําให้ปัสสาวะมีสีเหลืองน้ำตาลเข้มของน้ำดี และมีความถ่วงจําเพาะสูง
3.6 ปัสสาวะมีสีดําของฮีโมโกลบิน
(Hemoglobinuria)
ภาวะที่มีการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงทําให้เกิด Oxyhemoglobin
หรือ Methemoglobin ในปัสสาวะ อาจเกิดจากการได้รับเลือดผิดกลุ่ม
ติดเชื้อ ไฟไหม้ น้ําร้อนลวก เม็ดเลือดแดงอายุสั้นกว่าปกติ
3.4 คีโตนในปัสสาวะ
(Ketonuria)
ภาวะที่ตรวจพบคีโตนในน้ำปัสสาวะโดยคีโตนเป็นผลจากการเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงาน แทนพลังงานที่ได้จากน้ำตาลพบในผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับการรักษาไม่ดี ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้และพบในผู้ป่วยที่ขาดอาหารรุนแรง
3.7 ปัสสาวะเป็นหนอง
(Pyuria)
ภาวะปัสสาวะที่มีเซลล์หนอง เม็ดเลือดขาวในน้ำปัสสาวะบางครั้ง อาจพบมีแบคทีเรียร่วมด้วย จะเห็นปัสสาวะเป็นตะกอนสีขาวคล้ายน้ำนม พบในผู้ป่วยที่มีการอักเสบติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
3.3 โปรตีนในปัสสาวะ
(Proteinuria หรือ Albuminuria)
ภาวะที่มีโปรตีนหรือแอลบูมิน ในปัสสาวะมากกว่า 150 มิลลิกรัมต่อวัน
ซึ่งในทางปฏิบัติอนุโลมใช้การตรวจโปรตีนในปัสสาวะในเชิงกึ่งปริมาณวิเคราะห์ โดยใช้แผ่นทดสอบเทียบสี (Urine dipstick for protein) ตรวจพบตั้งแต่ 1+ ขึ้นไปโดยที่ปกติในปัสสาวะจะไม่มีโปรตีนปนอยู่ แต่ถ้ามีโปรตีนในน้ำปัสสาวะแสดงถึงภาวะไตเป็นโรค ทําให้การกรองของกรวยไตไม่ดี ซึ่งอาจเกิดจากกรวยไตอักเสบ(Glomerulonephritis)
3.8 นิ่วในปัสสาวะ
(Calculi)
ภาวะที่มีก้อนนิ่วปนออกมากับน้ำปัสสาวะเนื่องจาก
มีการตกตะกอนของเกลือแร่ในร่างกาย
3.2 น้ำตาลในปัสสาวะ
(Glycosuria)
ภาวะที่มีน้ำตาลปนออกมาในน้ำปัสสาวะโดยคนปกติจะตรวจไม่พบน้ำตาลในปัสสาวะ เนื่องจากน้ำตาลที่ Filtrate ผ่าน Glomerulus ทั้งหมดจะมีการ Reabsorb กลับที่ Proximal tubules แต่ถ้าน้ำตาลในกระแสเลือดสูงเกินกว่าRenal threshold (160-180 mg/dL)ที่ไตจะดูดกลับได้แล้วจะพบน้ำตาลปนออกมาในน้ำปัสสาวะมักจะพบในผู้ป่วยเบาหวาน
3.9 ไขมันในปัสสาวะ
(Chyluria)
ภาวะปัสสาวะที่มีไขมันออกมาในน้ำปัสสาวะทําให้เห็นปัสสาวะเป็นสีขาวขุ่น แยกสีขาวขุ่นจากหนองโดยการใส่อีเธอร์ลงในปัสสาวะถ้าปัสสาวะเปลี่ยนเป็นใส แสดงว่าเป็นไขมัน ถ้ายังขุ่นเหมือนเดิม แสดงว่าอาจเป็นหนองหรือแบคทีเรีย
3.1 ปัสสาวะเป็นเลือด
(Hematuria)
ภาวะที่มีเม็ดเลือดแดงปนออกมาในน้ำปัสสาวะ ทําให้ปัสสาวะเป็นสีแดง อาจเห็นชัดเป็นเลือดสดๆ หรือเห็นเมื่อดูจากกล้องจุลทรรศน์พบเม็ดเลือดแดงมากกว่า 3 ตัวต่อ 1 ช่อง(RBC>3cells/HPF) (ณัฐพงศ์ บิณษรี, 2554) มักมีสาเหตุที่ไต ท่อไต กรวยไต กระเพาะปัสสาวะ ต่อมลูกหมาก และท่อปัสสาวะ
9.8กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมและ
ช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาการขับถ่ายปัสสาวะ
8.2 การวินิจฉัยทางการพยาบาล
จากข้อมูลของกรณีตัวอย่างร่วมกับข้อมูลสนับสนุนที่ได้จาก
การประเมินสามารถกําหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
1) มีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
8.3 การวางแผนการพยาบาล
และการปฏิบัติการพยาบาล
10)การเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะควรทําเมื่อจําเป็น ระยะเวลาในการเปลี่ยนไม่เจาะจง ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละคนอาจอยู่ระหว่าง 5 วัน ถึง 2 สัปดาห์
11)ดูแลให้ถุงรองรับปัสสาวะอยู่ต่ํากว่าระดับกระเพาะปัสสาวะเสมอ จะทําให้ปัสสาวะไหลสะดวกตามหลังแรงโน้มถ่วงของโลก และป้องกันไม่ใช้เชื้อโรคจากถุงปัสสาวะย้อนขึ้นไปสู่กระเพาะปัสสาวะ
9)ส่งเสริมให้ปัสสาวะเป็นกรด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ และป้องกันการเกิดนิ่ว
12)ตรวจดูสายสวนและท่อระบายของถุงรองรับปัสสาวะเป็นระยะไม่ให้หักพับงอ หรือถูกทับ เพราะจะปิดกั้นการไหลของปัสสาวะ
8)อย่าปล่อยให้ปัสสาวะเต็มถุงรองรับ ควรเททิ้งอย่างน้อยทุก 8 ชั่วโมง ด้วยวิธีที่ถูกต้องคือก่อนและหลังเทปัสสาวะออกจากถุงควรใช้สําลีชุบแอลกอฮอล์ 70% เช็ดบริเวณปลายท่อเปิดของถุงรองรับปัสสาวะ
13)กระตุ้นให้ผู้ป่วยลุกขึ้นเคลื่อนไหวและออกกําลังกาย จะทําให้ปัสสาวะไหลสะดวกและป้องกันการอุดตันของสายสวนปัสสาวะ
7)รักษาระบบการระบายปัสสาวะให้เป็นระบบปิดอยู่เสมอ ไม่ปลดสายสวนและท่อสายยางของถุงรองรับปัสสาวะออกจากกัน เพื่อเก็บปัสสาวะส่งตรวจ
6)ใช้สบู่อ่อนและน้ำหรือน้ำยาทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ในการทําความสะอาดบริเวณฝีเย็บ หลีกเลี่ยงการใช้แป้งหรือโลชั่น เพราะอาจไปจับกับเยื่อเมือกทําให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค
5)ทําความสะอาดบริเวณฝีเย็บให้สะอาด วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น และหลังถ่ายอุจจาระทุกครั้ง โดยเฉพาะรอบๆ รูเปิดของท่อปัสสาวะ ระวังอย่าดึงสายสวนขณะทําความสะอาดเพราะจะทําให้ท่อปัสสาวะและผนังกระเพาะปัสสาวะได้รับบาดเจ็บ
14)ถ้าเป็นไปได้ให้แยกห้องผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากการสวนคาสายสวนปัสสาวะออกจากผู้ป่วยที่ไม่ติดเชื้อจากการสวนคาสายสวนหรือไม่ควรอยู่เตียงติดกัน
4)Force oral fluid มากกว่า 2,000-3,000มิลลิลิตรต่อวันถ้าไม่มีข้อห้าม
15)ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
3)ให้การพยาบาลโดยยึดหลัก Aseptic technique
16)ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
2)ประเมินสัญญาณชีพ
17)รายงานแพทย์เมื่อพบความผิดปกติ
1)ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะทั้งก่อนและหลังให้การพยาบาล ได้แก่ ปัสสาวะสีขาวขุ่น มีตะกอน
8.1 การประเมิน
2)ตรวจร่างกายในระบบทางเดินปัสสาวะ
3)วิเคราะห์ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1)การซักประวัติ
8.4 ประเมินผลการพยาบาล
ภายหลังให้การพยาบาลควรมีการประเมินทุกครั้งตามเกณฑ์การประเมินผลเช่น ปัสสาวะสีเหลืองใสไม่มีตะกอน สัญญาณชีพปกติ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อ เป็นต้น
9.6 หลักการพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับ
การใส่ถุงยางอนามัยเพื่อระบายปัสสาวะได้
6.1 วัตถุประสงค์
2) ป้องกันการเกิดแผลกดทับในรายที่ต้องรักษาตัวนาน ๆ
3) ป้องกันการติดเชื้อจากการใส่สายสวนปัสสาวะค้างไว้
1)เพื่อรักษาความสะอาด และป้องกันการระคายเคืองของผิวหนัง เนื่องจากเปียกปัสสาวะบ่อย ๆ
4)ป้องกันการอักเสบในรายที่มีแผล
9.2แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะ
และการขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
2.1แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะ
1) แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะในคนปกติ
(6)ปัสสาวะประมาณ 4-6ครั้งต่อวันและปัสสาวะกลางวันบ่อยกว่ากลางคืน
(7)มักถ่ายปัสสาวะก่อนนอน ตอนเช้าหลังตื่นนอน
ก่อนหรือหลังรับประทานอาหาร
(5)ลําปัสสาวะช่วงแรกจะพุ่งแรงและใหญ่กว่าตอนสุด
(8)การถ่ายปัสสาวะจะเว้นช่วงห่างประมาณ 2–4 ชั่วโมง
ในเวลากลางวัน และ 6-8 ชั่วโมง ในเวลากลางคืน
(4)ตลอดการถ่ายปัสสาวะจะไม่มีอาการเจ็บปวด
(9)จํานวนปัสสาวะประมาณ 250-400 มิลลิลิตรต่อครั้งหรือไม่ควรน้อยกว่า 30มิลลิลิตรใน 1 ชั่วโมง (ในคนปกติทั่วไปร่างกายจะผลิตน้ำปัสสาวะในอัตรา 0.5-1 ml./kg./hr.)
(3)เวลาที่ใช้ในการถ่ายปัสสาวะแต่ละครั้งมักไม่เกิน 30วินาที
(10)Residual urineไม่ควรเกิน 50 มิลลิลิตร ในผู้ใหญ่
และไม่ควรเกิน 100 มิลลิลิตรในผู้สูงอายุ
(2) กรณีอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะได้ทันที ต้องสามารถกลั้นได้ และเมื่อจะปัสสาวะก็สามารถปัสสาวะได้ทันที
(1)อยากถ่ายปัสสาวะเมื่อมีปริมาณปัสสาวะอยู่ใน
กระเพาะปัสสาวะ100-400มิลลิลิตร
2) ลักษณะของปัสสาวะที่ปกติ
(4)มีความเป็นกรดอ่อนๆ pH ประมาณ 4.6-8.0
(5)มีความถ่วงจําเพาะ (Specific gravity) ประมาณ 1.015-1.025
(3)สีเหลืองจางจนถึงสีเหลืองเข้ม สีเหลืองฟางข้าว หรือสีเหลืองอําพัน
(6)เมื่อตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Microscopic examination)
ไม่พบ Casts,Bacteria, Albumin หรือน้ำตาล ไม่พบเม็ดเลือดแดง
(2)ลักษณะใส ไม่ขุ่น ไม่มีตะกอน
(7)ปัสสาวะใหม่มีกลิ่นแอมโมเนียอ่อนๆ ถ้าตั้งทิ้งไว้นานๆ
จะได้กลิ่นแอมโมเนียที่แรง
(1)ปริมาณปัสสาวะปกติในผู้ใหญ่ ประมาณวันละ 800–1,600 มิลลิลิตร
2.2 การขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
5)ปัสสาวะขัด ปัสสาวะลําบาก (Dysuria)
6)ถ่ายปัสสาวะบ่อยหรือกะปริบกะปรอย (Pollakiuria)
4)ปัสสาวะตอนกลางคืน (Nocturia)
7)ปัสสาวะรดที่นอน (Enuresis)
3)ปัสสาวะมากกว่าปกติ (Polyuria หรือ Diuresis)
8)ปัสสาวะคั่ง (Urinary retention)
2)ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ (Oliguria)
9)กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือกลั้นปัสสาวะไม่ได้
(Urinary incontinence)
(1)กลั้นปัสสาวะไม่อยู่โดยสิ้นเชิง(True Incontinence)
(2)กลั้นปัสสาวะไม่ทัน หรือ ภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน
(Urge incontinence/ Urgency/ Overactive bladder)
(3)ปัสสาวะเล็ด (Stress incontinence)
(4)ปัสสาวะท้น (Overflow incontinence)
(5)ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ที่เกิดจากภาวะหรือโรคอื่นๆ
(Functional Incontinence)
1)ไม่มีปัสสาวะ (Anuria/Urinary suppression)
9.4หลักการส่งเสริมสุขภาพในระบบทางเดินปัสสาวะ
4.4 การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะกรณีปัสสาวะไม่ออก
4.5 สอนให้นวดกระเพาะปัสสาวะ
4.3 ส่งเสริมให้กล้ามเนื้อทํางานอย่างเต็มที่
4.6 เสริมสร้างนิสัยของการถ่ายปัสสาวะ
4.2 ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
4.7 การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะกรณี
ที่ไม่สามารถไปห้องน้ำได้
4.1 ส่งเสริมให้ได้รับน้eอย่างเพียงพอ