Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่9การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ - Coggle Diagram
บทที่9การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ
ปัจจัยที่มีผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะ
อายุ หรือ พัฒนาการในวัยต่างๆ(Developmental growth)
วัยเด็ก เด็กทารกกระเพาะปัสสาวะมีความจุน้อย การขับถ่ายปัสสาวะจึงบ่อยครั้งกว่าผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ จากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามวัย เมื่อมีน้ําปัสสาวะเพียง150-200 มิลลิลิตร
น้ําและอาหาร(Food and fluid)
จํานวนน้ําที่ร่างกายได้รับ (Fluid intake)ถ้าร่างกายได้รับน้ํามากจํานวนครั้งของการขับถ่ายและปริมาณปัสสาวะก็จะมาก
จํานวนน้ําที่ร่างกายสูญเสีย (Loss of body fluid)เช่นการสูญเสียเหงื่อ มีไข้สูง เสียเลือดมาก อาเจียน ท้องเสีย
อาหารที่ร่างกายได้รับ (Food intake)เช่นอาหารที่มีความเค็มมาก (มีปริมาณโซเดียมสูง)
ยา (Medication)
ยาที่ขับออกทางระบบปัสสาวะจะส่งผลให้สีของน้ําปัสสาวะเปลี่ยนแปลงยาที่มีผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติจะรบกวนการขับถ่ายปัสสาวะทําให้ปัสสาวะคั่ง เป็นต้น
ด้านจิตสังคม (Psychosocial factors)เช่น ความเครียดและความวิตกกังวลกระตุ้นให้อยากถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้น
สังคมและวัฒนธรรม (Sociocultural factor)สังคมและวัฒนธรรมประเพณี รวมถึงการอบรมเลี้ยงดูในครอบครัวมีอิทธิพลต่อนิสัยการขับถ่ายของบุคคล
ลักษณะท่าทาง (Body position) โดยปกติผู้ชายจะใช้ท่ายืนซึ่งพบว่าผู้ชายบางรายจะมีปัญหาในการขับถ่ายปัสสาวะเมื่ออยู่ในท่านอนราบ
กิจกรรมและความตึงตัวของกล้ามเนื้อ(Activity and Muscle tone)
พยาธิสภาพ (Pathologic conditions) พยาธิสภาพของโรคหลายชนิดมีผลต่อการสร้างปัสสาวะทั้งปริมาณและคุณภาพ
การผ่าตัดและการตรวจเพื่อการวินิจฉัยต่างๆ (Surgical and diagnostic procedure)
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาการขับถ่ายปัสสาวะ
การประเมิน
1)การซักประวัติแบบแผนและลักษณะการขับถ่ายปัสสาวะปกติ จํานวนครั้งใน 24 ชั่วโมง ลักษณะและสีของปัสสาวะ ปริมาณน้ําดื่มต่อวัน ยาที่รับประทานประจํา
2)ตรวจร่างกายในระบบทางเดินปัสสาวะ ได้แก่ การเคาะบริเวณไต เพื่อหาตําแหน่งที่ปวด การคลําและเคาะกระเพาะปัสสาวะ ตรวจสีลักษณะและความตึงตัวของผิวหนัง และภาวะบวม
3)วิเคราะห์ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การวินิจฉัยทางการพยาบาลจากข้อมูลของกรณีตัวอย่างร่วมกับข้อมูลสนับสนุนที่ได้จากการประเมินสามารถกําหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลดังนี้1) มีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
การวางแผนการพยาบาล และการปฏิบัติการพยาบาล
1)ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะทั้งก่อนและหลังให้การพยาบาล ได้แก่ ปัสสาวะสีขาวขุ่น มีตะกอน 2)ประเมินสัญญาณชีพ3)ให้การพยาบาลโดยยึดหลัก Aseptic technique4)Force oral fluid มากกว่า 2,000-3,000มิลลิลิตรต่อวันถ้าไม่มีข้อห้าม
5)ทําความสะอาดบริเวณฝีเย็บให้สะอาด วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น และหลังถ่ายอุจจาระทุกครั้ง โดยเฉพาะรอบๆ รูเปิดของท่อปัสสาวะ 6)ใช้สบู่อ่อนและน้ําหรือน้ํายาทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ในการทําความสะอาดบริเวณฝีเย็บ
7)รักษาระบบการระบายปัสสาวะให้เป็นระบบปิดอยู่เสมอ ไม่ปลดสายสวนและท่อสายยางของถุงรองรับปัสสาวะออกจากกัน เพื่อเก็บปัสสาวะส่งตรวจ8)อย่าปล่อยให้ปัสสาวะเต็มถุงรองรับ ควรเททิ้งอย่างน้อยทุก 8 ชั่วโมง ด้วยวิธีที่ถูกต้องคือก่อนและหลังเทปัสสาวะออกจากถุงควรใช้สําลีชุบแอลกอฮอล์ 70%
9)ส่งเสริมให้ปัสสาวะเป็นกรด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ และป้องกันการเกิดนิ่ว10)การเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะควรทําเมื่อจําเป็น ระยะเวลาในการเปลี่ยนไม่เจาะจง ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละคนอาจอยู่ระหว่าง 5 วัน ถึง 2 สัปดาห์ 11)ดูแลให้ถุงรองรับปัสสาวะอยู่ต่ํากว่าระดับกระเพาะปัสสาวะเสมอ จะทําให้ปัสสาวะไหลสะดวกตามหลังแรงโน้มถ่วงของโลก
12)ตรวจดูสายสวนและท่อระบายของถุงรองรับปัสสาวะเป็นระยะไม่ให้หักพับงอ หรือถูกทับ เพราะจะปิดกั้นการไหลของปัสสาวะ13)กระตุ้นให้ผู้ป่วยลุกขึ้นเคลื่อนไหวและออกกําลังกาย จะทําให้ปัสสาวะไหลสะดวกและป้องกันการอุดตันของสายสวนปัสสาวะ14)ถ้าเป็นไปได้ให้แยกห้องผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากการสวนคาสายสวนปัสสาวะออกจาก
15)ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา16)ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ17)รายงานแพทย์เมื่อพบความผิดปกติ
ประเมินผลการพยาบาล
ภายหลังให้การพยาบาลควรมีการประเมินทุกครั้งตามเกณฑ์การประเมินผลเช่น ปัสสาวะสีเหลืองใสไม่มีตะกอน สัญญาณชีพปกติ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อ เป็นต้น
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะและการขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะ
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะในคนปกติ
(1)อยากถ่ายปัสสาวะเมื่อมีปริมาณปัสสาวะอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ100-400มิลลิลิตร (2) กรณีอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะได้ทันที ต้องสามารถกลั้นได้ และเมื่อจะปัสสาวะก็สามารถปัสสาวะได้ทันที (3)เวลาที่ใช้ในการถ่ายปัสสาวะแต่ละครั้งมักไม่เกิน 30วินาที (4)ตลอดการถ่ายปัสสาวะจะไม่มีอาการเจ็บปวด (5)ลําปัสสาวะช่วงแรกจะพุ่งแรงและใหญ่กว่าตอนสุด (6)ปัสสาวะประมาณ 4-6ครั้งต่อวันและปัสสาวะกลางวันบ่อยกว่ากลางคืน (7)มักถ่ายปัสสาวะก่อนนอน ตอนเช้าหลังตื่นนอน ก่อนหรือหลังรับประทานอาหาร
(8)การถ่ายปัสสาวะจะเว้นช่วงห่างประมาณ 2–4 ชั่วโมงในเวลากลางวัน และ 6-8 ชั่วโมง ในเวลากลางคืน (9)จํานวนปัสสาวะประมาณ 250-400 มิลลิลิตรต่อครั้งหรือไม่ควรน้อยกว่า 30มิลลิลิตรใน 1 ชั่วโมง (ในคนปกติทั่วไปร่างกายจะผลิตน้ําปัสสาวะในอัตรา (10)Residual urineไม่ควรเกิน 50 มิลลิลิตร ในผู้ใหญ่ และไม่ควรเกิน 100 มิลลิลิตรในผู้สูงอายุ
ลักษณะของปัสสาวะที่ปกติ
(1)ปริมาณปัสสาวะปกติในผู้ใหญ่ ประมาณวันละ 800–1,600 มิลลิลิตร (2)ลักษณะใส ไม่ขุ่น ไม่มีตะกอน (3)สีเหลืองจางจนถึงสีเหลืองเข้ม สีเหลืองฟางข้าว หรือสีเหลืองอําพัน (4)มีความเป็นกรดอ่อนๆ pH ประมาณ 4.6-8.0 (5)มีความถ่วงจําเพาะ (Specific gravity) ประมาณ 1.015-1.025 (6)เมื่อตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Microscopic examination) ไม่พบ Casts,Bacteria, Albumin หรือน้ําตาล ไม่พบเม็ดเลือดแดง
การขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
1)ไม่มีปัสสาวะ (Anuria/Urinary suppression)เป็นภาวะที่มีปริมาณปัสสาวะน้อยกว่า 50 มิลลิลิตรต่อวันหรือไม่มีการปัสสาวะเลย
2)ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ (Oliguria)เป็นภาวะที่มีปัสสาวะน้อยกว่า 500 มิลลิลิตร ใน 24 ชั่วโมงหรือน้อยกว่า 30 มิลลิลิตรต่อชั่วโมง หรือ น้อยกว่า0.5-1 มิลลิลิตร/น้ําหนักตัว 1 กก./ชั่วโมง
3)ปัสสาวะมากกว่าปกติ (Polyuria หรือ Diuresis)เป็นภาวะที่ไตผลิตปัสสาวะออกมาจํานวนมากกว่าปกติ
4)ปัสสาวะตอนกลางคืน (Nocturia)เป็นภาวะที่มีการถ่ายปัสสาวะในตอนกลางคืนมากกว่า 2 ครั้งขึ้นไป
5)ปัสสาวะขัด ปัสสาวะลําบาก (Dysuria)เป็นภาวะที่มีการเบ่งถ่ายปัสสาวะ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดเวลาถ่ายปัสสาวะ ถ่ายลําบาก
6)ถ่ายปัสสาวะบ่อยหรือกะปริบกะปรอย (Pollakiuria) เป็นภาวะที่มีการถ่ายปัสสาวะบ่อยครั้งกว่าปกติ และมีจํานวนปัสสาวะที่ถ่ายออกแต่ละครั้งลดน้อยลง
.ส่วนประกอบของปัสสาวะที่ผิดปกติ
ปัสสาวะเป็นเลือด (Hematuria)หมายถึง ภาวะที่มีเม็ดเลือดแดงปนออกมาในน้ําปัสสาวะ ทําให้ปัสสาวะเป็นสีแดง อาจเห็นชัดเป็นเลือดสดๆ
น้ําตาลในปัสสาวะ (Glycosuria)หมายถึง ภาวะที่มีน้ําตาลปนออกมาในน้ําปัสสาวะโดยคนปกติจะตรวจไม่พบน้ําตาลในปัสสาวะ
โปรตีนในปัสสาวะ (Proteinuria หรือ Albuminuria)หมายถึง ภาวะที่มีโปรตีนหรือแอลบูมิน ในปัสสาวะมากกว่า 150 มิลลิกรัมต่อวัน
คีโตนในปัสสาวะ (Ketonuria)หมายถึง ภาวะที่ตรวจพบคีโตนในน้ําปัสสาวะโดยคีโตนเป็นผลจากการเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงาน แทนพลังงานที่ได้จากน้ําตาล
ปัสสาวะมีสีเหลืองน้ําตาลของบิลิรูบิน(Bilirubinuria หรือ Choluria)หมายถึง ภาวะที่ตรวจพบบิลิรูบินในน้ําปัสสาวะ
ปัสสาวะมีสีดําของฮีโมโกลบิน(Hemoglobinuria)หมายถึง ภาวะที่มีการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงทําให้เกิด
ปัสสาวะเป็นหนอง (Pyuria)หมายถึงภาวะปัสสาวะที่มีเซลล์หนอง เม็ดเลือดขาวในน้ําปัสสาวะบางครั้ง อาจพบมีแบคทีเรียร่วมด้วย
นิ่วในปัสสาวะ (Calculi) หมายถึง ภาวะที่มีก้อนนิ่วปนออกมากับน้ําปัสสาวะเนื่องจากมีการตกตะกอนของเกลือแร่ในร่างกาย
ไขมันในปัสสาวะ (Chyluria)หมายถึงภาวะปัสสาวะที่มีไขมันออกมาในน้ําปัสสาวะทําให้เห็นปัสสาวะเป็นสีขาวขุ่น
หลักการส่งเสริมสุขภาพในระบบทางเดินปัสสาวะ
ส่งเสริมให้ได้รับน้ําอย่างเพียงพอ
ในผู้ใหญ่ควรได้รับน้ําสะอาด อย่างน้อยวันละ 6-8แก้วหรือประมาณ 1,500-2,000 มิลลิลิตร อาจต้องเพิ่มขึ้นให้สัมพันธ์กับจํานวนน้ําที่สูญเสียออกจากร่างกาย
ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
1)ดื่มน้ําอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว (แก้วละ 240 มิลลิลิตร) เพื่อชะล้างแบคทีเรียออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ2)ฝึกถ่ายปัสสาวะบ่อยๆ ทุก 2-4 ชั่วโมง เพื่อชะล้างแบคทีเรียออกจากท่อปัสสาวะและป้องกันจุลชีพเคลื่อนขึ้นไปยังกระเพาะปัสสาวะ
3)ดื่มน้ํา 2 แก้วก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ และปัสสาวะทิ้งทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันแบคทีเรียเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะ4)อาบน้ําด้วยฝักบัวแทนอาบในอ่างอาบน้ํา หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่แรง การแช่ฟองสบู่ในอ่างอาบน้ํา การใช้แป้งหรือสเปรย์บริเวณฝีเย็บ
5)ใส่ชุดชั้นในที่ทําด้วยผ้าฝ้ายดีกว่าทําด้วยไนล่อน เนื่องจากผ้าฝ้ายทําให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ช่วยลดความอับชื้นบริเวณฝีเย็บได้ดี เนื่องจากความอับชื้นทําให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี6)หลีกเลี่ยงการใส่กางเกงที่แน่นหรือคับเกินไป เพราะทําให้ระคายเคืองบริเวณรูเปิดท่อปัสสาวะ
7)เพิ่มความเป็นกรดของปัสสาวะ โดยการรับประทานวิตามินซี และดื่มน้ําผลไม้ที่เป็นกรด เช่น น้ํากระเจี๊ยบแดง แครนเบอรี่
8)ใช้ Estrogen creamตามแผนการรักษาของแพทย์ สําหรับผู้หญิงวัยหมดประจําเดือน ที่มีแนวโน้มจะติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะได้ง่าย
ส่งเสริมให้กล้ามเนื้อทํางานอย่างเต็มที่
ถ้ากล้ามเนื้อภายในอุ้งเชิงกรานและช่องคลอดหย่อนสมรรถภาพ จะทําให้ปัสสาวะไม่ออกและกลั้นปัสสาวะไม่ได้ การกระตุ้นให้บริหารร่างกายอย่างสม่ําเสมอจะช่วยป้องกันกล้ามเนื้อหย่อนสมรรถภาพได้
การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะกรณีปัสสาวะไม่ออก
1)จัดให้ผู้ป่วยอยู่คนเดียวในที่มิดชิดขณะถ่ายปัสสาวะ สิ่งแวดล้อมในห้องน้ําสะอาดและปลอดภัย เช่น มีแสงสว่างเพียงพอ พื้นไม่ลื่น เป็นต้น2)ช่วยให้ผู้ป่วยได้ถ่ายปัสสาวะในท่าที่สะดวกเป็นธรรมชาติ
3)การเปิดก๊อกน้ําให้ได้เห็น หรือได้ยินเสียงน้ําไหลจะช่วยในด้านองค์ประกอบทางอารมณ์ ซึ่งมีบทบาทสําคัญในการทําให้ถ่ายปัสสาวะได้4)การใช้ความร้อนช่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ เช่นการใช้น้ําอุ่นราดบริเวณฝีเย็บ การวางกระเป๋าน้ําร้อนที่ท้องน้อย
5)ให้เวลาในการขับถ่ายปัสสาวะ ไม่เร่งรัดผู้ป่วยเกินไป
106)ช่วยกดหน้าท้องเบาๆ เหนือบริเวณกระเพาะปัสสาวะจะช่วยให้ปัสสาวะสะดวก
สอนให้นวดกระเพาะปัสสาวะ
การนวดกระเพาะปัสสาวะเป็นเทคนิคที่ช่วยทําให้กระเพาะปัสสาวะว่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีความบกพร่องที่ระบบประสาทควบคุมการถ่ายปัสสาวะจนทําให้มีปัสสาวะจํานวนมาก คั่งอยู่ในกระเพาะปัสสาวะแต่ถ่ายไม่ออก
เสริมสร้างนิสัยของการถ่ายปัสสาวะ
เป็นวิธีที่ใช้สําหรับผู้ป่วยที่มีความบกพร่องเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจในช่วงเวลาถ่ายปัสสาวะที่ยาวนานมาก จนเป็นผลให้เกิดการกลั้นปัสสาวะ
การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะกรณีที่ไม่สามารถไปห้องน้ําได้
พยาบาลอาจต้องนําหม้อนอน (Bedpan)ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นผู้หญิง หรือ กระบอกปัสสาวะ (Urinal) ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นผู้ชายมาให้ผู้ป่วยที่เตียง
การเก็บปัสสาวะส่งตรวจ
วิธีการเก็บปัสสาวะแบบรองเก็บปัสสาวะช่วงกลาง(Clean mid-streamurine)
โดยให้ผู้ป่วยทําความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ด้วยน้ําสะอาด ล้างมือให้สะอาด และเช็ดให้แห้ง ให้ปัสสาวะทิ้งช่วงต้นไปเล็กน้อย เก็บปัสสาวะในช่วงถัดมาประมาณครึ่งภาชนะ หรือประมาณ 30-50 ml. โดยห้ามสัมผัสด้านในของภาชนะแล้วปัสสาวะช่วงสุดท้ายทิ้งไป
วิธีการเก็บปัสสาวะจากสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
1)ใช้Clamp หนีบสายสวนปัสสาวะที่ใต้รอยต่อระหว่างสายต่อของถุงกับสายสวนไว้นานประมาณ 15–30 นาทีเพื่อให้มีปัสสาวะใหม่เก็บอยู่ก่อน2)เตรียม Syringe sterile เข็มปลอดเชื้อ Sterile swab น้ํายาฆ่าเชื้อ
3)ล้างมือสวมถุงมือสะอาดเช็ดบริเวณที่จะเก็บปัสสาวะด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อ4)ใช้กระบอกฉีดยาที่มีเข็มปลอดเชื้อแทงที่สายสวนปัสสาวะตรงตําแหน่งที่ทําความสะอาดฆ่าเชื้อไว้แล้ว ดูดปัสสาวะออกมาประมาณ 10 มล. ส่งตรวจเพาะเชื้อทันที
วิธีการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
เป็นการเก็บปัสสาวะที่มีการรวบรวมไว้จนครบ 24 ชั่วโมงแล้วส่งตรวจ เริ่มเก็บปัสสาวะเวลา 08.00 น. โดยให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะทิ้งก่อนเริ่มเก็บ และรวบรวมน้ําปัสสาวะที่เก็บได้หลัง 08.00 น.จนครบกําหนด 24 ชั่วโมง แล้วถ่ายปัสสาวะเก็บเป็นครั้งสุดท้าย คือ เวลา08.00 น. เช้าวันรุ่งขึ้น
การสวนปัสสาวะ
วิธีการสวนปัสสาวะ
1)การสวนคาสายสวนปัสสาวะ
(1)บอกผู้ป่วยอธิบายให้เข้าใจถึงความจําเป็นของการสวนปัสสาวะ วิธีทําอย่างคร่าวๆ บอกวิธีปฏิบัติตัวของผู้ป่วย และประโยชน์ของการสวนปัสสาวะ(2)ล้างมือให้สะอาด เตรียมของใช้ ไปที่เตียงผู้ป่วย(3)กั้นม่าน และจัดให้มีแสงสว่างเพียงพอ
(4)แขวนถุงรองรับปัสสาวะกับขอบเตียงให้อยู่ต่ํากว่ากระเพาะปัสสาวะ(5)จัดท่า ปิดตา คลุมผ้าผู้ป่วยโดยผู้หญิงจัดท่าDorsal recumbent positionเท้าห่างกันประมาณ 2 ฟุต ถอดผ้าถุงออกจัดผ้า (Drape) ให้เรียบร้อย
(6)ทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้สะอาด(7)วางชุดสวนปัสสาวะลงบนเตียงระหว่างขาของผู้ป่วย และเปิดผ้าห่อออกด้วยเทคนิคปลอดเชื้อ ถ้าผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวและดิ้น ให้วางชุดสวนปัสสาวะไว้บนโต๊ะคร่อมเตียง (Over bed table) ที่สะอาดและวางใกล้เตียงผู้ป่วย
(8)ใช้ Transfer forceps จัดวางเครื่องใช้เรียงไว้ตามลําดับการใช้อยู่ในบริเวณผ้าห่อ Set และวางห่างจากขอบผ้าเข้าไปอย่างน้อยประมาณ 1 นิ้ว(9)เทน้ํายาลงในถ้วย บีบ KY-jelly ลงในผ้าก๊อซ (ถ้ามี) หรือในชามกลมใบใหญ่(10)ฉีกซองใส่สายสวนปัสสาวะ แล้วใช้ Transfer forceps คีบสายสวนออกจากซองวางลงในชามกลม ระวังการปนเปื้อนเชื้อโรค
(11)ฉีกซองกระบอกฉีดยาลงในชุดสวนปัสสาวะด้วยวิธีปลอดเชื้อ(12)เปิดซองถุงมือและใส่ถุงมือด้วยวิธีปลอดเชื้อ(13)ตรวจสอบประสิทธิภาพของบอลลูนที่ปลาย Foley catheterโดยใช้กระบอกฉีดยาดูดน้ํากลั่นแล้วฉีดเข้าตรงปลายหางที่มีแถบสีที่ทําไว้สําหรับใส่น้ํากลั่น
(14)คลี่และวางผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลางบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก โดยให้บริเวณเจาะกลางอยู่ตรงบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกพอดี(15)ใช้มือซ้ายแหวก Labiaให้กว้างจนเห็นรูเปิดของท่อปัสสาวะแล้วใช้ Forceps คีบสําลีชุบน้ําเกลือเช็ดบริเวณเปิดของท่อปัสสาวะ ทิ้งในชามรูปไต
(16)ใช้มือข้างที่ถนัดหยิบสายสวนปัสสาวะหล่อลื่น KY-Jellyประมาณ 1-2 นิ้ว(เพศหญิง) หรือ 6-7 นิ้ว(เพศชาย)(17)ยกภาชนะรองรับปัสสาวะวางบนผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลางระหว่างขาผู้ป่วย
(18)ใช้ Forceps ที่เหลือหรือมือข้างที่ถนัดจับสายสวนปัสสาวะให้มั่นคง ให้ปลายเปิดด้านโคนของสายสวนปัสสาวะวางอยู่ในภาชนะรองรับน้ําปัสสาวะ(19)ค่อยๆ สอดสายสวนปัสสาวะเข้าไปในรูเปิดของท่อปัสสาวะลึก 2-3นิ้ว(เพศหญิง) หรือ 6-8 นิ้ว (เพศชาย) หรือจนกว่าน้ําปัสสาวะจะไหล
(20)เมื่อใส่สายสวนเข้าไป 2-3 นิ้ว (เพศหญิง) หรือ 6-8 นิ้ว (เพศชาย)จะเห็นปัสสาวะไหลออกมาจากนั้นให้ดันสายสวนเข้าไปให้ลึกอีกประมาณ ½-1นิ้ว(เพศหญิง) หรือเกือบสุดสาย (เพศชาย)ถ้ามีแรงต้านขณะที่สายสวนผ่านเข้า Prostaticsphincter อย่าดันสายสวนเข้าไป
(21)ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดที่แหวก Labia(ในเพศหญิง) หรือ จับ Penis(ในเพศชาย)อยู่เลื่อนมาจับสายสวน ส่วนอีกมือหยิบกระบอกฉีดยาที่บรรจุน้ํากลั่นอยู่ ดันน้ํากลั่นเข้าไปทางหาง Foleyที่มีแถบสี ไม่เกิน 10 มิลลิลิตร
(22)สอดปลายสายของถุงรองรับปัสสาวะลอดบริเวณเจาะกลางออกมา ระวังอย่าให้ปลายสาย contaminateแล้วต่อหางสายสวนเข้ากับปลายสายของถุงรองรับปัสสาวะให้แน่นสนิท(23)เช็ดบริเวณ Vulvaให้แห้งด้วยสําลีที่เหลือ
(24)ถอดถุงมือ ติดพลาสเตอร์ยึดสายสวนกับต้นขาของผู้ป่วย และใช้เข็มกลัดติดสายของถุงรองรับปัสสาวะกับที่นอน(25)เก็บ Setสวนปัสสาวะออกจากเตียง จัดท่าผู้ป่วยให้สุขสบาย ถ้าผ้าขวางเตียงหรือผ้าปูที่นอนเปียกให้เปลี่ยน
(26)เก็บของใช้ไปทําความสะอาดและบันทึกรายงานการสวนคาสายสวนปัสสาวะ
การถอดสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
(1)เตรียมเครื่องใช้ ได้แก่ ถุงมือสะอาด 1 คู่ Syringeสะอาดขนาด 10 มิลลิลิตร 1 อัน กระดาษชําระ ชุดทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ ถุงกระดาษหรือถุงพลาสติก 1 ใบ สําหรับใส่สําลีที่ทิ้งแล้ว และใส่สายสวนปัสสาวะที่ถอดออกมา(2)บอกผู้ป่วย ใส่ถุงมือทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ และบริเวณ Urethra meatusให้สะอาด
(3)ต่อ Syringeเข้ากับหางของสายสวนปัสสาวะที่ใช้สําหรับใส่น้ํากลั่นแล้วดูดน้ํากลั่นออกจนหมด(4)บอกผู้ป่วยให้หายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อให้ผู้ป่วยผ่อนคลาย ขณะที่ค่อยๆ ดึงเอาสายสวนออกแล้วใส่ในถุงที่เตรียมไว้
(5)ใช้กระดาษชําระเช็ดบริเวณ Perineumให้แห้ง(6)สังเกตลักษณะ จํานวนปัสสาวะในถุงก่อนเอาไปเททิ้ง ลงบันทึกวันเวลาที่เอาสายสวนออก จํานวน สี ลักษณะของปัสสาวะลงในบันทึกทางการพยาบาล(7)กระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ํามากๆ สังเกตความผิดปกติของผู้ป่วย เช่น ไม่สุขสบาย ปวดแสบเวลาถ่ายปัสสาวะ ปัสสาวะมีเลือดปน หรือสัญญาณชีพเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอุณหภูมิ
หลักการพยาบาลผู้ป่วยได้รับการใส่ถุงยางอนามัยเพื่อระบายปัสสาวะ (Condom catheter)
1)เพื่อรักษาความสะอาด และป้องกันการระคายเคืองของผิวหนัง เนื่องจากเปียกปัสสาวะบ่อย ๆ
2) ป้องกันการเกิดแผลกดทับในรายที่ต้องรักษาตัวนาน ๆ
3) ป้องกันการติดเชื้อจากการใส่สายสวนปัสสาวะค้างไว้
4)ป้องกันการอักเสบในรายที่มีแผล