Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ - Coggle Diagram
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ
ปัจจัยที่มีผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะ
อายุ
เด็กทารกกระเพาะปัสสาวะมีความจุน้อย ปัสสาวะบ่อยครั้ง
เด็กวัยก่อนเรียนเริ่มควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะได้เอง
เด็กวัยเรียนระบบขับถ่ายปัสสาวะเจริญเต็มที่ ปัสสาวะ 6-8 ครั้งต่อวันถ้าอายุมากกว่า 5ปีไปแล้วยังมีปัสสาวะรดที่นอน
ผู้สูงอายุ มีน้ำปัสสาวะ 150-200 ml มีการปัสสาวะบ่อยคั้งเนื่องจากกระเพาะปัสสาวะมีการบีบตัวบ่อย และมีการตื่นมาปัสสาวะในกลางคืน
น้้าและอาหาร (Food and fluid)
จำนวนน้ำในร่างกายหากมีการรับประทานน้ำในปริมาณมากจะทำให้ปัสสาวะออกมามีสีที่เจือจาง และมีการปวกปัสสาวะบ่อยครั้ง
จ้านวนน้้าที่ร่างกายสูญเสีย (Loss of body fluid)การสูญเสียเหงื่อ มีไข้สูง เสียเลือดมาก อาเจียน ท้องเสีย ก็มีผลต่อลักษณะ จ้านวนครั้ง และปริมาณปัสสาวะ
อาหารที่ร่างกายได้รับ (Food intake)อาหารที่มีความเค็มมาก (มีปริมาณโซเดียมสูง) ปัสสาวะจะออกน้อยลงและเข้มข้นมาก เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนจะท้าให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น
ยา (Medication)
ยาที่ขับออกทางระบบปัสสาวะจะส่งผลให้สีของน้้าปัสสาวะเปลี่ยนแปลง ยาที่มีผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติจะรบกวนการขับถ่ายปัสสาวะท้าให้ปัสสาวะคั่ง
ด้านจิตสังคม (Psychosocial factors)
ความเครียดและความวิตกกังวลกระตุ้นให้อยากถ่ายปัสสาวะบ่อยความกลัวที่รุนแรงอาจท้าให้กลั้นปัสสาวะไม่ได้
ความเจ็บปวดมีผลยับยั้งการถ่ายปัสสาวะ
ความรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะเมื่อได้ยินคนพูดเรื่องถ่ายปัสสาวะหรือได้ยินเสียงน้้าไหล
สังคมและวัฒนธรรม (Sociocultural factor)
การอบรมเลี้ยงดูในครอบครัวมีอิทธิพลต่อนิสัยการขับถ่ายของบุคคล
ลักษณะท่าทาง (Body position)
ผู้ชายจะใช้ท่ายืนผู้หญิงจะใช้ท่านั่งถ้าจ้าเป็นต้องใช้หม้อนอนบนเตียงราบก็อาจจะไม่สามารถขับถ่ายปัสสาวะได้หมด
กิจกรรมและความตึงตัวของกล้ามเนื้อ (Activity and Muscle tone)
การออกก้าลังกายสม่ำเสมอท้าให้การเผาผลาญเพิ่มขึ้น มีการผลิตปัสสาวะมากขึ้นและถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้น และกล้ามเนื้อหูรูดท้าหน้าที่ได้ดี
ผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะไว้เป็นเวลานาน ยืดขยายท้าให้กระเพาะปัสสาวะตึงตัวน้อยลง เนื่องจากปัสสาวะไหลตลอดเวลา ท้าให้กระเพาะปัสสาวะไม่มีโอกาส
กิจกรรมและความตึงตัวของกล้ามเนื้อ (Activity and Muscle tone)
สตรีในภาวะหมดประจ้าเดือนฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ท้าให้กระเพาะปัสสาวะตึงตัวลดลงด้วย
ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงนาน ๆ ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว มีผลท้าให้ความตึงตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะและกล้ามเนื้อหูรูดลดลง
พยาธิสภาพ (Pathologic conditions)
โรคหลายชนิดมีผลต่อการสร้างปัสสาวะทั้งปริมาณและคุณภาพ เช่นนิ่ว ความดันโลหิตสูง เบาหวาน
ในสตรีตั้งครรภ์มดลูกมีการขยายตัวขึ้นกดทับกระเพาะปัสสาวะ ความจุของกระเพาะปัสสาวะลดลงจึงรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะบ่อย
การผ่าตัดและการตรวจเพื่อการวินิจฉัยต่าง ๆ
ความเครียดและความวิตกกังวลในกระบวนการรักษา
การฉีดยาชาที่ไขสันหลัง
การตรวจวินิจฉัยในระบบทางเดินปัสสาวะ
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะและการขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะปกติ
กรณีอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะได้ทันที ต้องสามารถกลั้นได้ และเมื่อจะปัสสาวะก็สามารถปัสสาวะได้ทันที
เวลาที่ใช้ในการถ่ายปัสสาวะแต่ละครั้งมักไม่เกิน 30วินาที และไม่มีอาการเจ็บปวด
ปัสสาวะประมาณ 4-6ครั้งต่อวัน และปัสสาวะกลางวันบ่อยกว่ากลางคืน
มักถ่ายปัสสาวะก่อนนอน ตอนเช้าหลังตื่นนอน ก่อนหรือหลังรับประทานอาหาร
การถ่ายปัสสาวะจะเว้นช่วงห่างประมาณ 2–4 ชั่วโมง ในเวลากลางวัน และ 6-8 ชั่วโมง ในเวลากลางคืน
จ้านวนปัสสาวะประมาณ 250-400 มิลลิลิตรต่อครั้ง หรือไม่ควรน้อยกว่า 30 มิลลิลิตร ใน 1 ชั่วโมง
Residual urine ไม่ควรเกิน 50 มิลลิลิตร ในผู้ใหญ่ และไม่ควรเกิน 100 มิลลิลิตรในผู้สูงอายุ
ลักษณะของปัสสาวะที่ปกติ
ลักษณะใส ไม่ขุ่น ไม่มีตะกอน
ปริมาณปัสสาวะปกติในผู้ใหญ่ ประมาณวันละ 800–1,600 มิลลิลิตร
สีเหลืองจางจนถึงสีเหลืองเข้มสีเหลืองฟางข้าวหรือสีเหลืองอ้าพัน
มีความเป็นกรดอ่อนๆpHประมาณ4.6-8.0
การขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
ไม่มีปัสสาวะ (Anuria/Urinary suppression)มีปริมาณปัสสาวะน้อยกว่า 50มิลลิลิตรต่อวัน หรือไม่มีการปัสสาวะเลย
ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ (Oliguria)
ปัสสาวะมากกว่าปกติ (Polyuria หรือ Diuresis)
ปัสสาวะตอนกลางคืน (Nocturia)มากกว่า 2 ครั้งขึ้นไป
ปัสสาวะขัด ปัสสาวะล้าบาก (Dysuria)
การอักเสบติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ
นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
การบาดเจ็บของท่อปัสสาวะ
ต่อมลูกหมากโต
ถ่ายปัสสาวะบ่อยหรือกะปริบกะปรอย (Pollakiuria)
ปัสสาวะรดที่นอน (Enuresis)
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่/ กลั้นปัสสาวะไม่ได้
ส่วนประกอบของปัสสาวะที่ผิดปกติ
ปัสสาวะเป็นเลือด (Hematuria)ภาวะที่มีเม็ดเลือดแดงปนออกมาในน้้าปัสสาวะ ท้าให้ปัสสาวะเป็นสีแดง
น้้าตาลในปัสสาวะ (Glycosuria)มีน้้าตาลปนออกมาในน้้าปัสสาวะโดยคนปกติจะตรวจไม่พบน้้าตาลในปัสสาวะ
โปรตีนในปัสสาวะ (Proteinuria หรือ Albuminuria)ภาวะที่มีโปรตีนหรือแอลบูมินในปัสสาวะมากกว่า 150 มิลลิกรัมต่อวัน
คีโตนในปัสสาวะ (Ketonuria)พบคีโตนในน้้าปัสสาวะ โดยคีโตนเป็นผลจากการเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงาน
ปัสสาวะมีสีด้าของฮีโมโกลบิน (Hemoglobinuria)มีการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงท้าให้เกิด Oxyhemoglobinหรือ Methemoglobin ในปัสสาวะ
ปัสสาวะเป็นหนอง (Pyuria)มีเซลล์หนอง เม็ดเลือดขาวในน้้าปัสสาวะบางครั้งอาจพบมีแบคทีเรียร่วมด้วย
นิ่วในปัสสาวะ (Calculi) ภาวะที่มีก้อนนิ่วปนออกมากับน้้าปัสสาวะ เนื่องจากมีการตกตะกอนของเกลือแร่ในร่างกาย
ไขมันในปัสสาวะ (Chyluria) มีไขมันออกมาในน้้าปัสสาวะเป็นสีขาวขุ่น
หลักการส่งเสริมสุขภาพในระบบทางเดินปัสสาวะ
ส่งเสริมให้ได้รับน้้าอย่างเพียงพอ
ผู้ใหญ่ควรได้รับน้้าสะอาด อย่างน้อยวันละ 6-8แก้วหรือประมาณ 1,500-2,000มิลลิลิตร
ผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ หรือมีนิ่วในทางเดินปัสสาวะ จะต้องได้รับน้้าเพิ่มมากขึ้นประมาณวันละ 2,000-3,000 มิลลิลิตร
กรณีผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจวายหรือไตวาย จะต้องจ้ากัดน้้าให้น้อยลง เพื่อป้องกันภาวะน้้าเกินและภาวะบวม
ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
ดื่มน้้าอย่างน้อยวันละ 8 -10 แก้ว
ฝึกถ่ายปัสสาวะบ่อยๆ ทุก 2-4 ชั่วโมง
ดื่มน้้า 2 แก้วก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ และปัสสาวะทิ้งทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์
อาบน้้าด้วยฝักบัวแทนอาบในอ่างอาบน้้า หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่แรง
หลีกเลี่ยงการใส่กางเกงที่แน่นหรือคับเกินไป
เพิ่มความเป็นกรดของปัสสาวะ โดยการรับประทานวิตามินซี และดื่มน้้าผลไม้ที่เป็นกรด
ใช้ Estrogen creamตามแผนการรักษาของแพทย์ ส้าหรับผู้หญิงวัยหมดประจ้าเดือน
ส่งเสริมให้กล้ามเนื้อท้างานอย่างเต็มที่
การท้าKegelexercise
อย่างมีประสิทธิภาพสามารถลดอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้มากถึง 60 % ของผู้ที่ร่วมมือในการปฏิบัติอย่างสม่้าเสมอ
การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ กรณีปัสสาวะไม่ออก
จัดให้ผู้ป่วยอยู่คนเดียวในที่มิดชิดขณะถ่ายปัสสาวะ สิ่งแวดล้อมในห้องน้้าสะอาดและปลอดภัย
ช่วยให้ผู้ป่วยได้ถ่ายปัสสาวะในท่าที่สะดวกเป็นธรรมชาติ
การเปิดก๊อกน้้าให้ได้เห็น หรือได้ยินเสียงน้้าไหลจะช่วยในด้านองค์ประกอบทางอารมณ์
สอนให้นวดกระเพาะปัสสาวะ
การสวนปัสสาวะ
เป็นการใส่สายสวนปัสสาวะ (Urinary catheter)ที่ปลอดเชื้อผ่านท่อปัสสาวะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะเพื่อระบายปัสสาวะออกมา
ชนิดของการสวนปัสสาวะ มี 2 ชนิด
การสวนคาสายสวนปัสสาวะ (Indwelling catheterization or Retained catheterization)
เป็นการสอดใส่สายสวนปัสสาวะชนิด Foley catheter ผ่านทางท่อปัสสาวะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะแล้วคาสายสวนปัสสาวะไว้
บอกความจ้าเป็น วิธีปฏิบัติตัวของผู้ป่วย และประโยชน์ของการสวนปัสสาวะ
ล้างมือให้สะอาด เตรียมของใช้ ไปที่เตียงผู้ป่วย
กั้นม่าน และจัดให้มีแสงสว่างเพียงพอ
แขวนถุงรองรับปัสสาวะกับขอบเตียงให้อยู่ต่้ากว่ากระเพาะปัสสาวะ
ผู้หญิงจัดท่า Dorsal recumbent position
ผู้ชายจัดท่า Supine position
การถอดสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
ท้าความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ และบริเวณ Urethra meatusให้สะอาด
ใช้ Syringeดูดน้้ากลั่นออกจนหมด
ให้หายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยผ่อนคลาย ขณะที่ค่อยๆ ดึง สายสวนออก
เช็ดบริเวณ Perineumให้แห้
สังเกตลักษณะ จ้านวนปัสสาวะในถุงก่อนเอาไปเททิ้ง
การสวนปัสสาวะเป็นครั้งคราว (Intermittent catheterization)
ป็นการใส่สายสวนปัสสาวะผ่านทางท่อปัสสาวะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ เพื่อระบายน้้าปัสสาวะออกจากกระเพาะปัสสาวะ
สายสวนปัสสาวะ
Straight catheter
ใช้สวนเป็นครั้งคราว
Foley catheter
ใช้สวนคาสายสวนปัสสาวะ มีบอลลูนอยู่ส่วนปลายสาย ช่วยให้สายสวนปัสสาวะไม่เลื่อนหลุดออกมา
ขนาดของสายสวนปัสสาวะ
ผู้หญิงใช้ขนาด 14-16 Fr.
ผู้ชายใช้ขนาด 16-20 Fr.
เด็กใช้ขนาด 8-10 Fr.
ผู้สูงอายุใช้ขนาด 22-24 Fr.
การพยาบาลผู้ป่วยได้รับการใส่ถุงยางอนามัยเพื่อระบายปัสสาวะ
ผู้ที่ไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ
ถุงยางอนามัยลดอัตราเสี่ยงการติดเชื้อเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ และไม่ท้าให้เกิดอันตรายต่อท่อปัสสาวะ
ต้องเปลี่ยนถุงยางอนามัยอย่างน้อย 24 ชั่วโมง และต้องท้าความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ทุกครั้ง
การเก็บปัสสาวะส่งตรวจ
วิธีการเก็บปัสสาวะแบบรองเก็บปัสสาวะช่วงกลาง (Clean mid-stream urine)
ให้ผู้ป่วยทำความสะอาดอวัยวะด้วยตนเองและให้ปัสสาวะช่วงต้นทิ้งไปเล็กน้อยเก็บปัสสาวะถัดมา 30-50 ml.
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาการขับถ่ายปัสสาวะ
การประเมิน
การวินิจฉัยทางการพยาบาล
การวางแผนการพยาบาล
การปฏิบัติการพยาบาล