Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ - Coggle Diagram
การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ
ปัจจัยที่มีผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะ
อายุ
1)วัยเด็ก เด็กทารกกระเพาะปัสสาวะมีความจุน้อย การขับถ่ายปัสสาวะจึงบ่อยครั้งกว่าผู้ใหญ่
2)ผู้สูงอายุ จากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามวัย เมื่อมีน้ําปัสสาวะเพียง150-200 มิลลิลิตร
น้ำและอาหาร
1) จํานวนน้ําที่ร่างกายได้รับ ถ้าร่างกายได้รับน้ํามากจํานวนครั้งของการขับถ่ายและปริมาณปัสสาวะก็จะมาก
2) จํานวนน้ําที่ร่างกายสูญเสียเช่นการสูญเสียเหงื่อ มีไข้สูง เสียเลือดมาก อาเจียน ท้องเสีย
3)อาหารที่ร่างกายได้รับเช่นอาหารที่มีความเค็มมาก ปัสสาวะจะออกน้อยลงและเข้มข้นมาก
ยา
ยาที่ขับออกทางระบบปัสสาวะจะส่งผลให้สีของน้ําปัสสาวะเปลี่ยนแปลงยาที่มีผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติจะรบกวนการขับถ่ายปัสสาวะทําให้ปัสสาวะคั่ง
ด้านจิตสังคม
ความเครียดและความวิตกกังวลกระตุ้นให้อยากถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้น ความกลัวที่รุนแรงอาจทําให้กลั้นปัสสาวะไม่ได้
สังคมและวัฒนธรรม
สังคมและวัฒนธรรมประเพณี รวมถึงการอบรมเลี้ยงดูในครอบครัวมีอิทธิพลต่อนิสัยการขับถ่ายของบุคคล
ลักษณะท่าทาง
ผู้ชายจะใช้ท่ายืนซึ่งพบว่าผู้ชายบางรายจะมีปัญหาในการขับถ่ายปัสสาวะเมื่ออยู่ในท่านอนราบ ส่วนผู้หญิงจะใช้ท่านั่ง
กิจกรรมและความตึงตัวของกล้ามเนื้อ
2) ผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะไว้เป็นเวลานาน ทําให้กระเพาะปัสสาวะตึงตัวน้อยลงเนื่องจากปัสสาวะไหลตลอดเวลา
3) สตรีในภาวะหมดประจําเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง
1) การออกกําลังกายสม่ําเสมอ
4)ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงนานๆ ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว มีผลทําให้ความตึงตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะและกล้ามเนื้อหูรูดลดลง การควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะไม่ดีและมีปัสสาวะตกตะกอนได้
พยาธิสภาพ
พยาธิสภาพของโรคหลายชนิดมีผลต่อการสร้างปัสสาวะทั้งปริมาณและคุณภาพ
การผ่าตัดและการตรวจเพื่อการวินิจฉัยต่างๆ
1) ความเครียดและความวิตกกังวลในกระบวนการรักษาทําให้ร่างกายหลั่ง ADH และยังทําให้มีการเพิ่มขึ้นของ Aldosteroneทําให้เกิดการคั่งของโซเดียมและน้ํา
2) การตรวจวินิจฉัยในระบบทางเดินปัสสาวะ
3) การฉีดยาชาที่ไขสันหลัง ส่งผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะของผู้ป่วย ทําให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะ การได้รับยาสลบ ยาแก้ปวดชนิดเสพติด
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะและการขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะ
1) แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะในคนปกติ พบได้ดังนี้
(1)อยากถ่ายปัสสาวะเมื่อมีปริมาณปัสสาวะอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ100-400มิลลิลิตร
(2) กรณีอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะได้ทันที ต้องสามารถกลั้นได้ และเมื่อจะปัสสาวะก็สามารถปัสสาวะได้ทันที
(3)เวลาที่ใช้ในการถ่ายปัสสาวะแต่ละครั้งมักไม่เกิน 30วินาที
(4)ตลอดการถ่ายปัสสาวะจะไม่มีอาการเจ็บปวด
(5)ลําปัสสาวะช่วงแรกจะพุ่งแรงและใหญ่กว่าตอนสุด
(6)ปัสสาวะประมาณ 4-6ครั้งต่อวันและปัสสาวะกลางวันบ่อยกว่ากลางคืน
(7)มักถ่ายปัสสาวะก่อนนอน ตอนเช้าหลังตื่นนอน ก่อนหรือหลังรับประทานอาหาร
(8)การถ่ายปัสสาวะจะเว้นช่วงห่างประมาณ 2–4 ชั่วโมงในเวลากลางวัน และ 6-8 ชั่วโมง ในเวลากลางคืน
(9)จํานวนปัสสาวะประมาณ 250-400 มิลลิลิตรต่อครั้งหรือไม่ควรน้อยกว่า 30มิลลิลิตรใน 1 ชั่วโมง
(10)Residual urineไม่ควรเกิน 50 มิลลิลิตร ในผู้ใหญ่ และไม่ควรเกิน 100 มิลลิลิตรในผู้สูงอายุ
2) ลักษณะของปัสสาวะที่ปกติมีดังนี้
(4)มีความเป็นกรดอ่อนๆ pH ประมาณ 4.6-8.0
(5)มีความถ่วงจําเพาะ (Specific gravity) ประมาณ 1.015-1.025
(3)สีเหลืองจางจนถึงสีเหลืองเข้ม สีเหลืองฟางข้าว หรือสีเหลืองอําพัน
(6)เมื่อตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Microscopic examination) ไม่พบ Casts,Bacteria, Albumin หรือน้ําตาล ไม่พบเม็ดเลือดแดง
(2)ลักษณะใส ไม่ขุ่น ไม่มีตะกอน
(7)ปัสสาวะใหม่มีกลิ่นแอมโมเนียอ่อนๆ ถ้าตั้งทิ้งไว้นานๆ จะได้กลิ่นแอมโมเนียที่แรง
(1)ปริมาณปัสสาวะปกติในผู้ใหญ่ ประมาณวันละ 800–1,600 มิลลิลิตร
การขับถ่ายปัสสาวะที่ผิดปกติ
4)ปัสสาวะตอนกลางคืน (Nocturia)เป็นภาวะที่มีการถ่ายปัสสาวะในตอนกลางคืนมากกว่า 2 ครั้งขึ้นไป ถือเป็นความผิดปกติที่ต้องสังเกต
5)ปัสสาวะขัด ปัสสาวะลําบาก
3)ปัสสาวะมากกว่าปกติเป็นภาวะที่ไตผลิตปัสสาวะออกมาจํานวนมากกว่าปกติ
6)ถ่ายปัสสาวะบ่อยหรือกะปริบกะปรอย เป็นภาวะที่มีการถ่ายปัสสาวะบ่อยครั้งกว่าปกติ และมีจํานวนปัสสาวะที่ถ่ายออกแต่ละครั้งลดน้อยลง
2)ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ (Oliguria)เป็นภาวะที่มีปัสสาวะน้อยกว่า 500 มิลลิลิตร ใน 24 ชั่วโมงหรือน้อยกว่า 30 มิลลิลิตรต่อชั่วโมง หรือ น้อยกว่า0.5-1 มิลลิลิตร/น้ําหนักตัว 1 กก./ชั่วโมง
7)ปัสสาวะรดที่นอน เป็นภาวะที่มีปัสสาวะไหลออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจในเด็กที่มีอายุมากกว่า 5 ปีขึ้นไป แต่ถ้าเกิดกับเด็กอายุน้อยกว่านี้ถือว่าปกติ เพราะประสาทที่ควบคุมการขับถ่ายยังเจริญไม่เต็มที่
1)ไม่มีปัสสาวะ เป็นภาวะที่มีปริมาณปัสสาวะน้อยกว่า 50 มิลลิลิตรต่อวันหรือไม่มีการปัสสาวะเลย
8)ปัสสาวะคั่ง
9)กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือกลั้นปัสสาวะไม่ได้
กลั้นปัสสาวะไม่ทัน หรือ ภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน
ปัสสาวะเล็ด
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่โดยสิ้นเชิง
ปัสสาวะท้น
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ที่เกิดจากภาวะหรือโรคอื่นๆ
ส่วนประกอบของปัสสาวะที่ผิดปกติ
ปัสสาวะเป็นเลือด (Hematuria)
ภาวะที่มีเม็ดเลือดแดงปนออกมาในน้ําปัสสาวะ ทําให้ปัสสาวะเป็นสีแดง อาจเห็นชัดเป็นเลือดสดๆ หรือเห็นเมื่อดูจากกล้องจุลทรรศน์พบเม็ดเลือดแดงมากกว่า 3 ตัวต่อ 1 ช่อง
น้ําตาลในปัสสาวะ
ภาวะที่มีน้ําตาลปนออกมาในน้ําปัสสาวะโดยคนปกติจะตรวจไม่พบน้ําตาลในปัสสาวะ
โปรตีนในปัสสาวะ
ภาวะที่มีโปรตีนหรือแอลบูมิน ในปัสสาวะมากกว่า 150 มิลลิกรัมต่อวัน
คีโตนในปัสสาวะ
ภาวะที่ตรวจพบคีโตนในน้ําปัสสาวะโดยคีโตนเป็นผลจากการเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงาน แทนพลังงานที่ได้จากน้ําตาล
ปัสสาวะมีสีเหลืองน้ําตาลของบิลิรูบิน
ภาวะที่ตรวจพบบิลิรูบินในน้ําปัสสาวะ โดย bilirubin เป็น Breakdown product ของ Hemoglobinซึ่งปกติจะไม่พบในปัสสาวะ ถ้าพบ Conjugated bilirubinในปัสสาวะ แสดงว่ามีการอุดตันของทางเดินน้ําดีจากการมี Hemolytic jaundice
ปัสสาวะมีสีดําของฮีโมโกลบิน
ภาวะที่มีการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงทําให้เกิด Oxyhemoglobin หรือ Methemoglobin ในปัสสาวะ อาจเกิดจากการได้รับเลือดผิดกลุ่ม
ปัสสาวะเป็นหนอง
ภาวะปัสสาวะที่มีเซลล์หนอง เม็ดเลือดขาวในน้ําปัสสาวะบางครั้ง อาจพบมีแบคทีเรียร่วมด้วย จะเห็นปัสสาวะเป็นตะกอนสีขาวคล้ายน้ํานม พบในผู้ป่วยที่มีการอักเสบติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
นิ่วในปัสสาวะ
ภาวะที่มีก้อนนิ่วปนออกมากับน้ําปัสสาวะเนื่องจากมีการตกตะกอนของเกลือแร่ในร่างกาย
ไขมันในปัสสาวะ
ภาวะปัสสาวะที่มีไขมันออกมาในน้ําปัสสาวะทําให้เห็นปัสสาวะเป็นสีขาวขุ่น แยกสีขาวขุ่นจากหนองโดยการใส่อีเธอร์ลงในปัสสาวะถ้าปัสสาวะเปลี่ยนเป็นใส แสดงว่าเป็นไขมัน ถ้ายังขุ่นเหมือนเดิม แสดงว่าอาจเป็นหนองหรือแบคทีเรีย
หลักการส่งเสริมสุขภาพในระบบทางเดินปัสสาวะ
ส่งเสริมให้ได้รับน้ําอย่างเพียงพอ
ในผู้ใหญ่ควรได้รับน้ําสะอาด อย่างน้อยวันละ 6-8แก้วหรือประมาณ 1,500-2,000 มิลลิลิตร
ผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ หรือมีนิ่วในทางเดินปัสสาวะ จะต้องได้รับน้ําเพิ่มมากขึ้นประมาณวันละ 2,000-3,000 มิลลิลิตร
ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
4)อาบน้ําด้วยฝักบัวแทนอาบในอ่างอาบน้ํา หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่แรง
5)ใส่ชุดชั้นในที่ทําด้วยผ้าฝ้ายดีกว่าทําด้วยไนล่อน เนื่องจากผ้าฝ้ายทําให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก
3)ดื่มน้ํา 2 แก้วก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ และปัสสาวะทิ้งทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันแบคทีเรียเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะ
6)หลีกเลี่ยงการใส่กางเกงที่แน่นหรือคับเกินไป เพราะทําให้ระคายเคืองบริเวณรูเปิดท่อปัสสาวะ
2)ฝึกถ่ายปัสสาวะบ่อยๆ ทุก 2-4 ชั่วโมง เพื่อชะล้างแบคทีเรียออกจากท่อปัสสาวะและป้องกันจุลชีพเคลื่อนขึ้นไปยังกระเพาะปัสสาวะ
7)เพิ่มความเป็นกรดของปัสสาวะ โดยการรับประทานวิตามินซี
1)ดื่มน้ําอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว (แก้วละ 240 มิลลิลิตร) เพื่อชะล้างแบคทีเรียออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ
8)ใช้ Estrogen creamตามแผนการรักษาของแพทย์ สําหรับผู้หญิงวัยหมดประจําเดือน ที่มีแนวโน้มจะติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะได้ง่าย
ส่งเสริมให้กล้ามเนื้อทํางานอย่างเต็มที่
กล้ามเนื้อภายในอุ้งเชิงกรานและช่องคลอดหย่อนสมรรถภาพ จะทําให้ปัสสาวะไม่ออกและกลั้นปัสสาวะไม่ได้ การกระตุ้นให้บริหารร่างกายอย่างสม่ําเสมอจะช่วยป้องกันกล้ามเนื้อหย่อนสมรรถภาพได้ โดยการทําKegel exercise ด้วยการขมิบก้น นับ 1 ถึง 10 แล้วคลาย ทําซ้ําเช่นนี้ 10-25ครั้งต่อวัน วันละ 3-4ครั้งเป็นเวลา 2 สัปดาห์
การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะกรณีปัสสาวะไม่ออก
3)การเปิดก๊อกน้ําให้ได้เห็น หรือได้ยินเสียงน้ําไหลจะช่วยในด้านองค์ประกอบทางอารมณ์ ซึ่งมีบทบาทสําคัญในการทําให้ถ่ายปัสสาวะได้
4)การใช้ความร้อนช่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ
2)ช่วยให้ผู้ป่วยได้ถ่ายปัสสาวะในท่าที่สะดวกเป็นธรรมชาติ
5)ให้เวลาในการขับถ่ายปัสสาวะ ไม่เร่งรัดผู้ป่วยเกินไป
1)จัดให้ผู้ป่วยอยู่คนเดียวในที่มิดชิดขณะถ่ายปัสสาวะ
6)ช่วยกดหน้าท้องเบาๆ เหนือบริเวณกระเพาะปัสสาวะจะช่วยให้ปัสสาวะสะดวก
สอนให้นวดกระเพาะปัสสาวะ
การนวดกระเพาะปัสสาวะเป็นเทคนิคที่ช่วยทําให้กระเพาะปัสสาวะว่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีความบกพร่องที่ระบบประสาทควบคุมการถ่ายปัสสาวะจนทําให้มีปัสสาวะจํานวนมาก
เสริมสร้างนิสัยของการถ่ายปัสสาวะ
ใช้สําหรับผู้ป่วยที่มีความบกพร่องเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจในช่วงเวลาถ่ายปัสสาวะที่ยาวนานมาก จนเป็นผลให้เกิดการกลั้นปัสสาวะ วิธีการคือใช้วิธีกระตุ้นให้ผู้ป่วยไปปัสสาวะ ชมเชย และให้กําลังใจ
การช่วยเหลือผู้ป่วยในการขับถ่ายปัสสาวะกรณีที่ไม่สามารถไปห้องน้ําได้
พยาบาลอาจต้องนําหม้อนอน (Bedpan)ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นผู้หญิง หรือ กระบอกปัสสาวะ (Urinal) ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นผู้ชายมาให้ผู้ป่วยที่เตียง
การสวนปัสสาวะ
วัตถุประสงค์ของการสวนปัสสาวะ
4)เพื่อเก็บน้ําปัสสาวะส่งตรวจเพาะเชื้อ
5)เพื่อสวนล้างกระเพาะปัสสาวะ หรือใส่ยาในกระเพาะปัสสาวะ
3)เพื่อตรวจสอบจํานวนน้ําปัสสาวะที่เหลือค้างในกระเพาะปัสสาวะ
6)เพื่อศึกษาความผิดปกติของท่อปัสสาวะ
2)เพื่อช่วยให้กระเพาะปัสสาวะว่างในผู้ป่วยที่ต้องทําหัตถการต่างๆ
7)เพื่อตรวจสอบจํานวนน้ําปัสสาวะที่ขับออกมาในผู้ป่วยอาการหนักอย่างถูกต้อง
1)เพื่อระบายเอาน้ําปัสสาวะออกในผู้ป่วยที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะเองได้
ชนิดของการสวนปัสสาวะ
2 ชนิด
1)การสวนปัสสาวะเป็นครั้งคราว
เป็นการใส่สายสวนปัสสาวะผ่านทางท่อปัสสาวะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ
2)การสวนคาสายสวนปัสสาวะ
เป็นการสอดใส่สายสวนปัสสาวะชนิด Foley catheter ผ่านทางท่อปัสสาวะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะแล้วคาสายสวนสวนปัสสาวะไว้
อุปกรณ์
1)ชุดทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ 1ชุด หม้อนอน ถุงมือสะอาด 1 คู่ ถุงกระดาษหรือถุงพลาสติกสําหรับทิ้งสําลีใช้แล้ว
2)ชุดสวนปัสสาวะที่ปราศจากเชื้อ
ผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลาง 1 ผืน
ชามกลมใหญ่ 1ใบ
ถุงมือปลอดเชื้อ
ถ้วย 2 ใบ สําหรับใส่สําลี 6-8 ก้อน และผ้าก๊อส 1-2 ผืน
Forceps 1-2อัน
3)สารหล่อลื่นสายสวนชนิดละลายน้ําได้ เช่น KY-jellyเป็นต้น
4)น้ํากลั่นปลอดเชื้อ
5)กระบอกฉีดยาปลอดเชื้อ (Sterile syringe)ขนาด 10 มิลลิลิตร 1 อัน
6)Transfer forceps
7)ถุงรองรับปัสสาวะปลอดเชื้อและเป็นระบบปิด (Sterile urine bag) 1 ใบ
8)โคมไฟ หรือไฟฉาย
9)พลาสเตอร์, เข็มกลัด, ผ้าปิดตา
10)สายสวนปัสสาวะการเลือกใช้สายสวนปัสสาวะควรพิจารณาวัตถุประสงค์ของการใช้งานและขนาดของสายสวนปัสสาวะ
วิธีการสวนปัสสาวะ
1)การสวนคาสายสวนปัสสาวะ
(13)ตรวจสอบประสิทธิภาพของบอลลูนที่ปลาย Foley catheter
(14)คลี่และวางผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลางบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก โดยให้บริเวณเจาะกลางอยู่ตรงบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกพอดี
(12)เปิดซองถุงมือและใส่ถุงมือด้วยวิธีปลอดเชื้อ
(15)ใช้มือซ้ายแหวก Labiaให้กว้างจนเห็นรูเปิดของท่อปัสสาวะแล้วใช้ Forceps คีบสําลีชุบน้ําเกลือเช็ดบริเวณเปิดของท่อปัสสาวะ
(11)ฉีกซองกระบอกฉีดยาลงในชุดสวนปัสสาวะด้วยวิธีปลอดเชื้อ
16)ใช้มือข้างที่ถนัดหยิบสายสวนปัสสาวะหล่อลื่น KY-Jellyประมาณ 1-2 นิ้ว(เพศหญิง) หรือ 6-7 นิ้ว(เพศชาย)
(10)ฉีกซองใส่สายสวนปัสสาวะ แล้วใช้ Transfer forceps คีบสายสวนออกจากซองวางลงในชามกลม ระวังการปนเปื้อนเชื้อโรค
(17)ยกภาชนะรองรับปัสสาวะวางบนผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลางระหว่างขาผู้ป่วย
(9)เทน้ํายาลงในถ้วย บีบ KY-jelly ลงในผ้าก๊อซ (ถ้ามี) หรือในชามกลมใบใหญ่
(18)ใช้ Forceps ที่เหลือหรือมือข้างที่ถนัดจับสายสวนปัสสาวะให้มั่นคง ให้ปลายเปิดด้านโคนของสายสวนปัสสาวะวางอยู่ในภาชนะรองรับน้ําปัสสาวะ
(8)ใช้ Transfer forceps จัดวางเครื่องใช้เรียงไว้ตามลําดับการใช้อยู่ในบริเวณผ้าห่อ Set และวางห่างจากขอบผ้าเข้าไปอย่างน้อยประมาณ 1 นิ้ว
(19)ค่อยๆ สอดสายสวนปัสสาวะเข้าไปในรูเปิดของท่อปัสสาวะลึก 2-3นิ้ว(เพศหญิง) หรือ 6-8 นิ้ว (เพศชาย) หรือจนกว่าน้ําปัสสาวะจะไหล
(7)วางชุดสวนปัสสาวะลงบนเตียงระหว่างขาของผู้ป่วย
(20)เมื่อใส่สายสวนเข้าไป 2-3 นิ้ว (เพศหญิง) หรือ 6-8 นิ้ว (เพศชาย)จะเห็นปัสสาวะไหลออกมาจากนั้นให้ดันสายสวนเข้าไปให้ลึกอีกประมาณ ½-1นิ้ว(เพศหญิง) หรือเกือบสุดสาย (เพศชาย)ถ้ามีแรงต้านขณะที่สายสวนผ่านเข้า Prostaticsphincter อย่าดันสายสวนเข้าไป
(6)ทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้สะอาด
(21)ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดที่แหวก Labia(ในเพศหญิง) หรือ จับ Penis(ในเพศชาย)อยู่เลื่อนมาจับสายสวน ส่วนอีกมือหยิบกระบอกฉีดยาที่บรรจุน้ํากลั่นอยู่
(5)จัดท่า ปิดตา คลุมผ้าผู้ป่วย
(22)สอดปลายสายของถุงรองรับปัสสาวะลอดบริเวณเจาะกลางออกมา ระวังอย่าให้ปลายสาย contaminateแล้วต่อหางสายสวนเข้ากับปลายสายของถุงรองรับปัสสาวะให้แน่นสนิท
(4)แขวนถุงรองรับปัสสาวะกับขอบเตียงให้อยู่ต่ํากว่ากระเพาะปัสสาวะ
(23)เช็ดบริเวณ Vulvaให้แห้งด้วยสําลีที่เหลือ
(24)ถอดถุงมือ ติดพลาสเตอร์ยึดสายสวนกับต้นขาของผู้ป่วย และใช้เข็มกลัดติดสายของถุงรองรับปัสสาวะกับที่นอน
(3)กั้นม่าน และจัดให้มีแสงสว่างเพียงพอ
(2)ล้างมือให้สะอาด เตรียมของใช้ ไปที่เตียงผู้ป่วย
(25)เก็บ Setสวนปัสสาวะออกจากเตียง จัดท่าผู้ป่วยให้สุขสบาย ถ้าผ้าขวางเตียงหรือผ้าปูที่นอนเปียกให้เปลี่ยน
(1)บอกผู้ป่วยอธิบายให้เข้าใจถึงความจําเป็นของการสวนปัสสาวะ
(26)เก็บของใช้ไปทําความสะอาดและบันทึกรายงานการสวนคาสายสวนปัสสาวะ
2)การถอดสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
(4)บอกผู้ป่วยให้หายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อให้ผู้ป่วยผ่อนคลาย ขณะที่ค่อยๆ ดึงเอาสายสวนออกแล้วใส่ในถุงที่เตรียมไว้
(5)ใช้กระดาษชําระเช็ดบริเวณ Perineumให้แห้ง
(3)ต่อ Syringeเข้ากับหางของสายสวนปัสสาวะที่ใช้สําหรับใส่น้ํากลั่นแล้วดูดน้ํากลั่นออกจนหมด
(6)สังเกตลักษณะ จํานวนปัสสาวะในถุงก่อนเอาไปเททิ้ง ลงบันทึกวันเวลาที่เอาสายสวนออก จํานวน สี ลักษณะของปัสสาวะลงในบันทึกทางการพยาบาล
(2)บอกผู้ป่วย ใส่ถุงมือทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ และบริเวณ Urethra meatusให้สะอาด
(7)กระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ํามากๆ สังเกตความผิดปกติของผู้ป่วย
(1)เตรียมเครื่องใช้ ได้แก่ ถุงมือสะอาด 1 คู่ Syringeสะอาดขนาด 10 มิลลิลิตร 1 อัน กระดาษชําระ ชุดทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ ถุงกระดาษหรือถุงพลาสติก 1 ใบ สําหรับใส่สําลีที่ทิ้งแล้ว และใส่สายสวนปัสสาวะที่ถอดออกมา
หลักการพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการใส่ถุงยางอนามัยเพื่อระบายปัสสาวะได้
วัตถุประสงค์
2) ป้องกันการเกิดแผลกดทับในรายที่ต้องรักษาตัวนาน ๆ
3) ป้องกันการติดเชื้อจากการใส่สายสวนปัสสาวะค้างไว้
1)เพื่อรักษาความสะอาด และป้องกันการระคายเคืองของผิวหนัง เนื่องจากเปียกปัสสาวะบ่อย ๆ
4)ป้องกันการอักเสบในรายที่มีแผล
ป่วยที่ใส่ถุงยางอนามัยเพื่อระบายปัสสาวะเป็นเวลานานมีโอกาสที่ผิวหนังบริเวณองคชาต จะบวม แดง และถลอก ดังนั้น ต้องเปลี่ยนถุงยางอนามัยให้ผู้ป่วยทุกวัน ก่อนที่จะเช็ดตัวหรืออาบน้ํา แล้วใช้น้ํากับสบู่ทําความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ เช็ดให้แห้ง
การเก็บปัสสาวะส่งตรวจ
วิธีการเก็บปัสสาวะแบบรองเก็บปัสสาวะช่วงกลาง
ให้ผู้ป่วยทําความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ด้วยน้ําสะอาด ล้างมือให้สะอาด และเช็ดให้แห้ง ให้ปัสสาวะทิ้งช่วงต้นไปเล็กน้อย
เก็บปัสสาวะในช่วงถัดมาประมาณครึ่งภาชนะ หรือประมาณ 30-50 ml. โดยห้ามสัมผัสด้านในของภาชนะแล้วปัสสาวะช่วงสุดท้ายทิ้งไปนําปัสสาวะไปส่งให้เจ้าหน้าที่โดยเร็วที่สุด
วิธีการเก็บปัสสาวะจากสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
1)ใช้Clamp หนีบสายสวนปัสสาวะที่ใต้รอยต่อระหว่างสายต่อของถุงกับสายสวนไว้นานประมาณ 15–30 นาทีเพื่อให้มีปัสสาวะใหม่เก็บอยู่ก่อน
2)เตรียม Syringe sterile เข็มปลอดเชื้อ Sterile swab น้ํายาฆ่าเชื้อ
3)ล้างมือสวมถุงมือสะอาดเช็ดบริเวณที่จะเก็บปัสสาวะด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อ
4)ใช้กระบอกฉีดยาที่มีเข็มปลอดเชื้อแทงที่สายสวนปัสสาวะตรงตําแหน่งที่ทําความสะอาดฆ่าเชื้อไว้แล้ว ดูดปัสสาวะออกมาประมาณ 10 มล. ส่งตรวจเพาะเชื้อทันที
วิธีการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
เป็นการเก็บปัสสาวะที่มีการรวบรวมไว้จนครบ 24 ชั่วโมงแล้วส่งตรวจ เริ่มเก็บปัสสาวะเวลา 08.00 น. โดยให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะทิ้งก่อนเริ่มเก็บ และรวบรวมน้ําปัสสาวะที่เก็บได้หลัง 08.00 น.จนครบกําหนด 24 ชั่วโมง
แล้วถ่ายปัสสาวะเก็บเป็นครั้งสุดท้าย คือ เวลา08.00 น. เช้าวันรุ่งขึ้นควรแนะนําให้งดโปรตีน คาเฟอีนก่อนการเก็บปัสสาวะประมาณ 6 ชั่วโมง และให้ผู้ป่วยดื่มน้ํามากๆก่อนและระหว่างการเก็บ (ถ้าไม่มีข้อห้าม)
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาการขับถ่ายปัสสาวะ
การประเมิน
2)ตรวจร่างกายในระบบทางเดินปัสสาวะ
3)วิเคราะห์ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1)การซักประวัติแบบแผนและลักษณะการขับถ่ายปัสสาวะปกติ จํานวนครั้งใน 24 ชั่วโมง
การวินิจฉัยทางการพยาบาล
1) มีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
การวางแผนการพยาบาล และการปฏิบัติการพยาบาล
9)ส่งเสริมให้ปัสสาวะเป็นกรด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ และป้องกันการเกิดนิ่ว
10)การเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะควรทําเมื่อจําเป็น ระยะเวลาในการเปลี่ยนไม่เจาะจง ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละคนอาจอยู่ระหว่าง 5 วัน ถึง 2 สัปดาห์
8)อย่าปล่อยให้ปัสสาวะเต็มถุงรองรับ ควรเททิ้งอย่างน้อยทุก 8 ชั่วโมง ด้วยวิธีที่ถูกต้อง
11)ดูแลให้ถุงรองรับปัสสาวะอยู่ต่ํากว่าระดับกระเพาะปัสสาวะเสมอ
7)รักษาระบบการระบายปัสสาวะให้เป็นระบบปิดอยู่เสมอ ไม่ปลดสายสวนและท่อสายยางของถุงรองรับปัสสาวะออกจากกัน เพื่อเก็บปัสสาวะส่งตรวจ
12)ตรวจดูสายสวนและท่อระบายของถุงรองรับปัสสาวะเป็นระยะไม่ให้หักพับงอ หรือถูกทับ เพราะจะปิดกั้นการไหลของปัสสาวะ
6)ใช้สบู่อ่อนและน้ําหรือน้ํายาทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ในการทําความสะอาดบริเวณฝีเย็บ
13)กระตุ้นให้ผู้ป่วยลุกขึ้นเคลื่อนไหวและออกกําลังกาย จะทําให้ปัสสาวะไหลสะดวกและป้องกันการอุดตันของสายสวนปัสสาวะ
5)ทําความสะอาดบริเวณฝีเย็บให้สะอาด วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
14)ถ้าเป็นไปได้ให้แยกห้องผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากการสวนคาสายสวนปัสสาวะออกจากผู้ป่วยที่ไม่ติดเชื้อจากการสวนคาสายสวนหรือไม่ควรอยู่เตียงติดกัน
4)Force oral fluid มากกว่า 2,000-3,000มิลลิลิตรต่อวันถ้าไม่มีข้อห้าม
15)ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
3)ให้การพยาบาลโดยยึดหลัก Aseptic technique
16)ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
2)ประเมินสัญญาณชีพ
17)รายงานแพทย์เมื่อพบความผิดปกติ
1)ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะทั้งก่อนและหลังให้การพยาบาล ได้แก่ ปัสสาวะสีขาวขุ่น มีตะกอน
ประเมินผลการพยาบาล
ภายหลังให้การพยาบาลควรมีการประเมินทุกครั้งตามเกณฑ์การประเมินผลเช่น ปัสสาวะสีเหลืองใสไม่มีตะกอน สัญญาณชีพปกติ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อ เป็นต้น